Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ประเภทของงานวิจัย, ทรรศนันทน์ บุญสวัสดิ์ รุ่น36/1 เลขที่43 - Coggle Diagram
ประเภทของงานวิจัย
แบ่งตามวิธีการเก็บ
รวบรวมข้อมูล
การวิจัยจากเอกสาร(Documentary research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร รายงาน จดหมายเหตุ ศิลาจารึก แล้วเสนอผลในเชิงวิเคราะห์
การวิจัยจากการสังเกต (Observation research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกต
นิยมใช้มากทางด้าน มานุษยวิทยาซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลใน สังคมในแง่ของ สถานภาพ (Status) และบทบาท (Role)
การวิจัยแบบสำมะโน (Census research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของประชากร
การวิจัยแบบสำรวจจากตัวอย่าง (Sample survey research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
การศึกษาเฉพาะกรณี (Case study)
เป็นการศึกษาเรื่องที่สนใจในขอบเขตจำกัดหรือแคบ ๆ และใช้จำนวนตัวอย่าง ไม่มากนัก แต่จะศึกษาอย่างลึกซึ้งในเรื่องนั้น ๆ เพื่อให้ได้ มาซึ่งข้อเท็จจริง
นักสังคมสงเคราะห์นิยมใช้มาก
การศึกษาแบบต่อเนื่อง (Panel study)
มีการเก็บข้อมูลเป็น ระยะ ๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของกลุ่มตัวอย่าง
ช่วยให้เข้าใจและทราบถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงได้
การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research)
เก็บข้อมูลมาจากการทดลอง
ผลมาจากการกระทำ (Treatment)
มีการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
แบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัย
การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)
มีการทดลอง
การวิจัยเชิงย้อนรอย
(expost facto research)
ศึกษาจากผลไปหาเหตุ
เริ่มจากกำหนดผลหรือตัวแปรตามก่อนแล้วค่อยค้นหาสาเหตุ ซึ่งเป็นตัวแปรอิสระผลอย่างนี้จะเกิดจากเหตุอะไร
คู่เหตุผลคู่ใดที่มีความสัมพันธ์กัน
ก็จะสรุปว่าเป็นสาเหตุของผลนั้น
การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research)
ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่มีการทดลอง
การวิจัยเชิงสำรวจ (survey research)
หาคำตอบ เกี่ยวกับตัวแปรว่ามีคุณลักษณะอย่างไร จำนวน เท่าไร
ในการเก็บข้อมูลนั้น survey หมายถึงสำรวจ(ถาม)ทุกคน แต่คนทั่วไปไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องนี้
การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research)
หาความสัมพันธ์ตัวแปร บางตัวในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อทำนายว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ศึกษาว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้น
การวิจัยเชิงประเมินผล (evaluative research)
ประเมินผลอาจใช้ CIPP
ประเมินว่า context คือบริบทของงานที่ประเมินเป็นอย่างไร วัตถุประสงค์กับ ปัญหาสอดคล้องกันไหม
input คือปัจจัยนำเข้า เช่น งบประมาณ บุคลากร อุปกรณ์ ฯลฯ เพียงพอไหม
process คือกระบวนการทำได้ครบไหม มีปัญหาอะไรเข้ามาแทรกไหม
product คือผลผลิต ได้ผลเป็นอย่างไร บรรลุวัตถุประสงค์ไหม เป็นต้น
แบ่งตามวัตถุประสงค์และวิธีการเสนอข้อมูล
การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research)
คล้ายกับแบบสำรวจตรงที่ไม่มีการทดลองในกาวิจัยนั้นๆ
มีการเปรียบเทียบตัวแปร
การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย (explanatory research)
แต่หาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ หรือหาปัจจัยที่มีผลต่อตัวแปรได้
ไม่มีการทดลอง
การวิจัยเชิงคาดคะเน (predictive research)
ผลการวิจัยที่บอกสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่คาดไว้ว่าจะเกิดอย่างไร
การวิจัยเชิงวินิจฉัย (diagnostic research)
เพื่อค้นหาปัญหาหรือสาเหตุของปัญหา
การวิจัยขั้นสำรวจ (exploratory research)
เป็นการหาคำตอบเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษาว่าเป็นอย่างไร เช่น จำนวน ร้อยละ มาก-น้อย สูง-ต่ำ เป็นต้น
ไม่มีการเปรียบเทียบหรือหาความสัมพันธ์ของตัวแปร
งานวิจัยอื่นๆที่ควรรู้จัก
R2R (routine to research)
ทำงานประจำตามปกติแล้วพบปัญหา/จุดอ่อนในการทำงานแล้วหาวิธี(treatment) มาแก้ไขปัญหา แล้วจึงเปรียบเทียบผลก่อน-หลัง
PAR (participatory action research)
ทำเพื่อพัฒนาชุมชน ให้คนในชุมชนร่วมทำวิจัย
เริ่มตั้งแต่กำหนด ปัญหาไปจนจบ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน และเป็นการ พัฒนาที่เกิดขึ้นจริง
R&D (research and development)
มีหลายขั้นตอน
เริ่มจากทำ research ดูว่าสถานการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหานั้นเป็นอย่างไรบ้าง
นำผลของขั้นแรกมาออกแบบโปรแกรม/โครงการ/หลักสูตร ฯลฯ ที่จะตอบสถานการณ์
ปัญหานั้น หลังจากนั้นก็นำโปรแกรม/โครงการ/หลักสูตรฯลฯ ที่ออกแบบไว้มาใช้
Systematic review, meta-analysis, research synthesis
ไม่เก็บข้อมูลภาคสนาม แต่ใช้งานวิจัยที่มีอยู่แล้วเก็บข้อมูลจากงานวิจัยเหล่านั้น
หลังจากนั้นทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่
แบ่งตามความสามารถใน
การควบคุมตัวแปร
การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)
ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เต็มที่
การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (quasi experimental research)
เป็นการวิจัยที่ควบคุมได้บางส่วน
การวิจัยเชิงธรรมชาติ (naturalistic research)
ไม่ต้องควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
แบ่งตามประโยชน์ของการนำผลการวิจัยไปใช้
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (basic or pure research)
มุ่งสร้างทฤษฎี สูตร หรือกฎ เช่นกฎทางคณิตศาสตร์
ผลจากการวิจัยนี้จะเป็นสูตร กฎ หรือทฤษฎีในการเรียนหรือการวิจัยในสาขานั้นๆต่อไป
การวิจัยประยุกต์ (applied research)
เป็นไปเพื่อจะนำผลวิจัยที่เกิดขึ้นไปใช้ในการทำงานจริง
เช่น เมื่อมีความรู้ ว่าสารในพืชชนิดหนึ่งทำให้น้ำตาลลดลงได้ ก็ทำวิจัยเพื่อทดลอง ยานั้นในผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลสูง เมื่อได้ผลเป็นอย่างไรก็จะนำ ไปสู่การตัดสินใจใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานต่อไป
การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research)
ที่มุ่งทำให้เกิดผลที่เป็นพัฒนางานหรือแก้ไขข้อบกพร่องของหน่วยงาน
ผลมีความเฉพาะเจาะจง
แบ่งตาม
ลักษณะของข้อมูล
การวิจัยแบบผสม (mixed methods)
แบบคู่ขนาน
แบบตามลำดับก่อน-หลัง
การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research)
การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research)
ตัวอย่างประเภทของ
QUALITATIVE
STUDY
การวิจัยชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic study)
หาความจริงโดยการเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่ศึกษา
การวิจัยปรากฏการณ์(Phenomenology study)
อธิบายตัวแปรว่าคืออะไร โดยใช้ประสบการณ์ของผู้ให้ข้อมูลที่เคย
การวิจัยทฤษฎีฐานราก (Grounded theory)
สร้างทฤษฎีจากข้อมูลที่พบ
ทรรศนันทน์ บุญสวัสดิ์ รุ่น36/1 เลขที่43