Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดพื้นฐานในการบำบัดรักษาทางจิต, ทรรศนันทน์ บุญสวัสดิ์ เลขที่43 …
แนวคิดพื้นฐานในการบำบัดรักษาทางจิต
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
(Therapeutic use of self)
มีเป้าหมายเพื่อให้การ ช่วยเหลือและแก้ไขให้ผู้ป่วยมีความคิดและการกระทำที่เหมาะสม และกลับมาอยู่ในขอบเขตของความเป็นจริง
พยาบาลจิตเวชจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญเพราะต้องมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ป่วยเกือบตลอดเวลาในทุกกิจกรรม และสิ่งสำคัญที่สุดที่พยาบาลจิตเวชต้องใช้ในการให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยคือ “ ตนเอง (self)”
มโนมติพื้นฐาน
อัตตาหรือความเป็นตัวตนของตนเอง (self) หมายถึงส่วนรวมทั้งหมดของบุคคลทั้งทางด้าน
ร่างกายความคิดความรู้สึกความเชื่อค่านิยมและพฤติกรรมที่บุคคลนั้นเป็นอยู่หรือมีอยู่ตามความเป็นจริง
อัตมโนทัศน์ (self concept) เป็นความคิดการรับรู้และการประเมินผลที่บุคคลมีต่อตนเองซึ่ง
อาจจะตรงกับความเป็นจริงหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
2.1 ตัวตนด้านร่างกาย (physical self) หมายถึงการรับรู้เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง
การรู้จักตนเองทางสรีรภาพตามความเป็นจริงที่ตนเองเป็นอยู่เช่น เตี้ย สูง ขาว อ้วน ผอมเป็นต้น
การรับรู้ความสามารถในการท าหน้าที่ของร่างกายและความสามารถในการควบคุมการท าหน้าที่ของร่างกาย
2.2 ตัวตนส่วนบุคคล (personal self) หมายถึงการรับรู้คุณค่าของตนเอง
เป็นความรู้สึกที่บุคคลที่เกี่ยวกับตนเองทั้งด้านความเชื่อ ความคาดหวัง ค่านิยม อุดมการณ์ ปณิธานในชีวิต เป็นต้น
แบ่งออกเป็น
2.2.1 ตัวตนด้านศีลธรรมจรรยา (moral-ethical self) เป็นการรับรู้เกี่ยวกับถูกผิดที่บุคคลประเมินตนเองจากการกระท าที่สอดคล้องหรือฝ่าฝืนค่านิยมทางศีลธรรมจรรยาที่ตนเองและยึดถืออยู่ในใจ
2.2.2 ตัวตนด้านความสม่ำเสมอแห่งตน (self-consistency) เป็นความรู้สึกหรือการรับรู้ใน ลักษณะประจำตัวบางอย่างของตัวเอง ซึ่งมีลักษณะคงที่เช่น รับรู้ว่าตนเองเป็นคนหงุดหงิดง่าย ใจเย็น และรู้ว่าตนเองเป็น มานานแล้วและขณะนี้ก็ยังรู้สึกว่ายังคงเป็นอยู่
2.2.3ตัวตนด้านปณิธานหรือความคาดหวัง (ideal self or self expectation) เป็นความรู้สึกนึก คิดหรือทัศนคติเกี่ยวกับตนเอง ตามที่ตนเองปรารถนาจะเป็นบุคคลจะตั้งความคาดหวังไว้ว่าอยากจะ เป็นและจะพยายเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นอย่างที่หวัง
2.2.4 ตัวตนด้านการยอมรับนับถือตนเอง (self esteem) เป็นความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับคุณค่าของ ตนเองในหลายๆด้านบุคคลจะประเมินตนเองโดยเปรียบเทียบคุณค่าที่ตนเองรับรู้ว่าตนเองมีอยู่หรือเป็นอยู่ (self concept) กับคุณค่าที่ตนเองปรารถนาจะเป็น (ideal self)
ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self awareness) เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกตัวของตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ณ ขณะนั้นรู้ว่าตนเองเป็นใครคิดและรู้สึกอย่างไรกำลังทำอะไรอยู่ และผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ความตระหนักในตนเองจึงเป็นการมีสติรับรู้ตนเอง ในปัจจุบันขณะเป็น “here and now”
ความตระหนักมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของบุคคล ภาวะสุขภาพ ภูมิหลัง ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี สิ่งแวดล้อมทั่วไป และสัมพันธภาพที่บุคคลมีต่อบุคคลอื่น
เครื่องมือในการดูแลผู้ป่วยประกอบด้วย
3.1การตระหนักรู้ในตนเองในฐานะบุคคล เพราะบุคคลมีความแตกต่างกัน มีลักษณะเฉพาะตนเอง เช่น เจตคติ ความรู้สึก ความคิด ความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้งทางด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ด้านสังคม และ ด้านจิตวิญญาณ
3.2การตระหนักรู้ในฐานะวิชาชีพ เช่น สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมวิชาชีพ ระดับความจริงใจและ
ความทุ่มเทในวิชาชีพ ทัศนคติต่อวิชาชีพ ความรู้และทักษะทางการพยาบาลจิตเวช
แนวทางในการเพิ่มการตระหนักรู้ตนเองไว้ดังนี้
1.เพื่อพิจารณาตนเอง โดยการให้เวลาตนเอง ในการพิจารณาความคิด อารมณ์และพฤติกรรมของตนเองที่อาจมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้อื่น พยายามเรียนรู้พฤติกรรมของตัวเองให้มากที่สุด
รับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น โดยการที่ตัวเราต้องเปิดใจกว้าง ที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของ ผู้อื่นที่เขาวิเคราะห์ วิจารณ์ พฤติกรรมของเราในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การแต่งกาย การปฏิบัติต่อผู้อื่น หรือการแสดงออกของความรู้สึกต่าง ๆ
การเปิดเผยตนเอง โดยการบอกความรู้สึก ความต้องการของตนเองที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในด้านความคิดเห็น ค่านิยม ความเชื่อ และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้อื่น รู้จักตัวเรามากขึ้น
ประโยชน์ที่ได้
ทำให้ทราบถึงความคิดความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติและพฤติกรรมต่องานที่ทำขณะนั้น และสามารถควบคุมความเครียดได้ตลอดจนสามารถรักษาระดับความเครียดให้อยู่ในภาวะปกติ
สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรู้ตัวอยู่ทุกขณะในการทำงาน
ทำให้เป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน และดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
สามารถปรับตัวให้เข้ากับงาน คน สิ่งแวดล้อมได้
ทำให้ติดต่อกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพยาบาลสามารถติดต่อกับผู้ป่วยด้วยความเข้าใจและเป็นไปในรูปแบบของการบำบัดได้
คุณสมบัติ
บุคคลทุกคนมีคุณค่า (Positive regard) ต้องปฏิบัติต่อผู้ป่วยโดยเชื่อว่าบุคคลทุกคนมีศักดิ์ศรีและศักยภาพที่จะจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ของตน
ไม่ตัดสินผู้อื่น (Nonjudgmental) คุณสมบัติที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งคือ การไม่นำค่านิยมหรือ มาตรฐานสังคมของพยาบาลไปตัดสินพฤติกรรมหรือการกระท าของผู้ป่วย เช่นไม่ตัดสินพฤ ติกรรมว่าถูก หรือผิด ดีหรือเลว ยกเว้นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่างๆ
ให้การยอมรับ (Unconditioning positive regard) คือการยอมรับในตัวบุคคลที่ผู้ป่วยเป็นแต่ไม่ได้หมายถึงการยอมรับในพฤติกรรมของผู้ป่วย แต่เป็นการยอมรับที่ผู้ป่วยเป็นอย่างนั้น
ท่าทีอบอุ่น (Warmth) การแสดงถึงความเป็นมิตร ความอบอุ่น หรือความห่วงใยในผู้ป่วย เป็นการแสดงออกทางท่าทางมากกว่าแสดงออกทางคำพูด
5.ความจริงใจ (Genuine)
6.ความสอดคล้อง (Congruency) คือการสอดคล้องทั้งคำพูดและการกระทำโดยเฉพาะการสื่อความหมายกับผู้ป่วยจิตเวช
7.ความอดทน (Endurance) คือการอดทนที่จะให้เวลา และโอกาสส าหรับผู้ป่วยที่ต้องการพัฒนาตนเอง
8.ให้ความเคารพ (Respect)พยาบาลจะแสดงถึงความเคารพโดยเรียกชื่อผู้ป่วยอย่างถูกต้อง ให้เกียรติกับผู้ป่วยโดย การยอมรับในการแก้ปัญหาของผู้ป่วย ไม่ใช้อำนาจกับผู้ป่วยโดยไม่เหมาะสม ไม่ควรเข้าไปจัดการกิจวัตร ของผู้ป่วยเองเพราะรำคาญหรือคิดว่าผู้ป่วยไม่สามารถทำเองได้
9.เชื่อถือได้ (Trustworthiness) การมีลักษณะของความน่าเชื่อถือ หรือความน่าไว้วางใจซึ่ง เป็นคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลเกิดความไว้วางใจ โดยเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชส่วนมากมีพื้นฐาน ขาดความ ไว้วางใจผู้อื่น ความไว้วางใจแสดงได้โดยแสดงความรับผิดชอบ ไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วย
10.การเปิดเผยตัวเอง (Self-disclosure) มีทักษะในการเปิดเผยตัวเองในขอบเขตวิชาชีพพยาบาลสามารถบอกความรู้สึกความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวเองให้ผู้ป่วยรับรู้ได้ การเปิดเผยตัวอย่างเหมาะสมจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการให้ผู้ป่วยเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง และกล้าที่จะสำรวจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
11.มีความรู้ (Knowledge) พยาบาลต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อเป็น แนวทางในการท าความเข้าใจสาเหตุกลไกการเจ็บป่วยทางจิตและพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาของ
12.มีความสม่ำเสมอ (Consistency) ทั้งด้านอารมณ์ และพฤติกรรม ทั้งต่อบุคคล ต่อการปฏิบัติงาน ทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและมีความเชื่อถือพยาบาล เช่น การตรงต่อเวลาในการทำกิจกรรม การมีอารมณ์มั่นคง ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ รู้จักและจัดการกับความรู้สึกของตนเอง
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
สัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วยหมายถึงพยาบาลและผู้ป่วยได้มีการติดต่อ เกี่ยวข้องกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งติดต่อเกี่ยวกับที่พยาบาลมีบทบาทในการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยให้ได้รับการตอบสนองความต้องการ ช่วยแก้ปัญหาและช่วยให้ฟื้นจากความเจ็บป่วยทางจิตด้วย ความรู้ความสามารถของพยาบาล
เป้าหมาย
ตระหนักในตนเอง ยอมรับตนเอง และเพิ่มความนับถือตนเองให้มากขึ้น
รู้จักตนเองดีขึ้น และปรับปรุงตัวเองด้านความคิดและการแสดงออก
มีความสามารถที่จะสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้อื่น พึ่งพาผู้อื่นพอควร มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น โดยสามารถเป็นผู้ให้และผู้รับ
ให้โอกาสผู้ปุวยได้ระบายความรู้สึกไม่สบายใจ ทําให้ผู้ป่วยเข้าใจปัญหาของตนเอง และเกิดและความจําเป็นต่าง ๆ ให้ได้รับความพึงพอใจและบรรลุเปูาหมายที่เป็นจริง
ปรับปรุงการกระทําหน้าที่ในการดํารงชีวิต และเพิ่มความสามารถที่จะทําตามความต้องการและความจําเป็นต่าง ๆ ให้ได้รับความพึงพอใจและบรรลุเปูาหมายที่เป็นจริง
ความแตกต่าง
สัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
พยาบาลต้องวางแผนก่อนไปพบผู้ป่วย
เป้าหมาย
เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถ
2.1 ระบายความรู้สึกไม่สบายใจ
2.2 เข้าใจปัญหาและยอมรับปัญหาของตนเอง ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้
2.3 สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ รู้จักพึ่งตนเอง ในขณะเดียวกันก็สามารถพึ่งพาคนอื่นได้
2.4 ให้ความรักและรับความรักจากผู้อื่น
2.5 เรียนรู้ในการปฏิบัติตนที่เหมาะสม
เนื้อหาเน้นเรื่องของความคิดอารมณ์ และ พฤติกรรมของผู้ป่วย
มีการเริ่มต้นสัมพันธภาพและมีการสิ้นสุดสัมพันธภาพเมื่อผู้ป่วยจําหน่ายกลับบ้านหรือขึ้นอยู่กับความสําเร็จของเปูาหมายที่ได้วางไว้
สัมพันธภาพเพื่อสังคม
มีการวางแผนหรือไม่มีก็ได้
เป้าหมายเพื่อให้เกิดความพอใจซึ่งกันและกัน
เนื้อหาตามความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
มีการเริ่มต้น จะมีการสิ้นสุด สัมพันธภาพหรือไม่มีก็แล้วแต่ ความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
ระยะการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด (Phase of therapeutic relationship)
1.ระยะก่อนการสนทนา (Pre interacting phase)
พยาบาลยังไม่พบกับผู้ป่วย
กิจกรรมการพยาบาลดังนี้
1.1 เตรียมตัวให้ชัดเจนในด้านเป้าหมายของการสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
1.2 วางแผนการสนทนาในแต่ละครั้งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การสนทนา สถานที่ เวลา และให้ข้อมูลต่าง ๆ กับทีมผู้รักษาได้ร่วมรับรู้
1.3 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของผู้ปุวยเกี่ยวกับแผนการรักษาที่ผ่านมา ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น และภูมิหลังบางประการ เช่น อาชีพ สถานภาพการสมรส
1.4 พยาบาลควรตรวจสอบสภาพด้านร่างกายและจิตใจของตนเองให้มีความพร้อมในด้านแนวความคิด และความรู้สึกในการเข้าไปสร้างสัมพันธภาพกับผู้ปุวย
ปัญหาที่พบ
พยาบาลมีความกังวลเนื่องจากขาดทักษะการสร้างสัมพันธภาพ
2.ระยะเริ่มต้นของสัมพันธภาพ (Initiating phase)
พยาบอลและผู้ป่วยทำความรู้จักกันเนื่องจากรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
สิ่งที่พยาบาลควรปฏิบัติ
การเตรียมสถานที่และบรรยากาศให้น่าไว้วางใจ
เมื่อพบหน้ากันควรกล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร พูดคุยเรื่องทั่วไปก่อน แนะนําตัว มาจากไหน บอกวัตถุประสงค์ บอกบทบาทหน้าที่ เพื่อเพิ่มความไว้วางใจในตัวพยาบาล
กําหนดของตกลงในการสร้างสัมพันธภาพ เช่นวัตถุประสงค์ ระยะเวลาที่สนทนา ระยะเวลาที่ดูแล
สร้างความไว้วางใจ โดยดารพแสดงถึงการยอมรับ ความเข้าใจ การเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ป่วย ความสม่ําเสมอ ไวต่อความรู้สึก การรับฟัง ทั้งคําพูดและการกระทํา
การค้นหา หรือระบุปัญหาที่แท้จริง เช่น การเสริมให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึก ค้นหาความคิดความเชื่อต่อปัญหาที่เกิดขึ้น การสนองตอบต่อปัญหาหรือความกังวลที่เกิดขึ้น
ปัญหาที่พบ
ความวิตกกังวล(Anxiety)
ผู้ป่วยเห็นพยาบาลเป็นคนแปลกหน้า ไม่เคยชินกับสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพยาบาล จะมีพฤติกรรมที่แสดงถึงภาวะวิตกกังวล ได้แก่ การกํามือ การบิดมือ การเคลื่อนไหวร่างกาย การสั่นขา น้ำเสียงที่พูดรัวและเร็ว
พยาบาลกังวลว่าจะช่วยผู้ป่วยไม่ได้ กังวลในเรื่องการใช้เทคนิคการสนทนา การจับประเด็นสําคัญในสิ่งที่บอกผู้ปุวยเล่า ทําให้พยาบาลรู้สึกอึดอัด ไม่มั่นใจในการสนทนากับผู้ปุวยพยาบาลต้องวิเคราะห์ภาวะวิตกกังวลทั้งของตนเองและผู้ป่วย
การทดสอบ (Testing)
ผู้ป่วยมักจะทดสอบขอบเขตของสัมพันธภาพ ผู้ปวยไม่เคยชินกับสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพยาบาล อาจทดสอบว่าพยาบาลมีความต้องการ อะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ โดยผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมการทดสอบ เช่น การไม่มาพบพยาบาลตามเวลานัด การมาสาย หรือมาพบ พยาบาลแต่อยู่ไม่ครบตามเวลา
การต่อต้าน (Resistance)
ผู้ป่วยไม่รับรู้ และไม่มีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพยาบาล อาจเป็นเพราะ ประสบการณ์เรื่องมนุษยสัมพันธ์ในอดีตของผู้ป่วยในอดีต จึงมีพฤติกรรมการแสดงออก ได้แก่ ไม่เปิดเผยตนเอง ไม่ มาพบพยาบาล มาพบพยาบาลอย่างเสียไม่ได้หรือบอกพยาบาลว่าไม่อยากมาพบ
3.ระยะแก้ไขปัญหา (Working phase)
เป็นเวลาที่ผู้ป่วยได้พูดคุยปัญหาของตนเอง และมีแนวทางแก้ปัญหาของตนเอง
สิ่งที่พยาบาลควรปฎิบัติ
รักษาสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
ค้นหาสาเหตุปัญหา หรือสิ่งที่มากระทบ
การดําเนินชีวิต โดยให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และพยาบาลต้องรับฟัง ยอมรับ เข้าใจ และติดตามเรื่องราวต่างของผู้ป่วย
ประเมินการเจ็บป่วยว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้างกับชีวิต
ร่วมกับผู้ป่วยในการวิเคราะห์หาสาเหตุ แ ละกลไกของปัญหาต่าง ๆ วิธีแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงพฤติกรรมให้เหมาะสม
สนับสนุนด้านจิตใจ เช่น การให้เวลา ให้กําลังใจ ให้ข้อมูล
ปัญหาที่พบ
การถ่ายโยงความรู้สึกของพยาบาลไปสู่ผู้ป่วย (Counter transference)ซึ่งก็คล้ายกับTransference ที่อาจจะเป็นได้ทั้งด้านบวก เช่น รักห่วงใย สงสาร หรือด้านลบ เช่น หมั่นไส้ เกลียดชัง เบื่อหน่าย ฯลฯ สิ่งที่ พยาบาลรักษาควรทําคือ คอยสังเกตอารมณ์จิตใจของตนเองให้ดี เมื่อพบว่าตนเองมี ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นก็ให้พยายามรู้เท่าทันมัน และต้อง ระวังไม่ให้มีผลต่อ กระบวนการรักษา
1.ความวิตกกังวลของพยาบาล
มีความรู้สึกร่วมกับผู้ป่วย(Sympathy)เป็นความรู้สึกที่พยาบาลเข้าไปร่วมกับความรู้สึกของผู้ป่วยโดยที่พยาบาลแยกความรู้สึกของตนเองไม่ได้
การถ่ายโยงความรู้สึกของผู้ปุวยไปสู่พยาบาล (Transference)ปฏิกิริยาและความรู้สึกทุกชนิดที่ผู้ปุวย
มีต่อพยาบาล โดยแบ่งออกได้เป็นความรู้สึกทางบวกและทางลบ ซึ่งที่มาของความรู้สึกเหล่านี้ อาจเกิดจากเหตุการณ์จริงที่เกิดในอดีต ส่งไปยังพยาบาล ซึ่งเป็นผู้มีความสําคัญต่อตัวเขาในปัจจุบัน
4.ระยะยุติสัมพันธภาพ (Termination phase)
เป็นระยะที่ผู้ป่วยได้รับการคลี่คลายปัญหาแล้ว
การยุติสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดมีขั้นตอนดังนี้
1.การเตรียมผู้ป่วย
1.1ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลแต่ต้องยุติสัมพันธภาพ เพราะนักศึกษาหมดระยะเวลาในการฝึกปฏิบัติงาน หรือพยาบาลย้ายไปอยู่ตึกอื่น ควรทําดังนี้
1.1.1 ควรบอกให้ผู้ป่วยทราบ ถึงระยะเวลาที่นักศึกษาจะยุติสัมพันธภาพกับผู้ป่วยล่วงหน้าซึ่งนักศึกษาควรบอกกับผู้ป่วยตั้งแต่วันแรกว่านักศึกษาจะมาสนทนา กับผู้ป่วยนานเท่าไรและบอกผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ
1.1.2 บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าอาการอะไรที่ดีขึ้นของผู้ป่วยว่ามีอะไรบ้าง รวมทั้งอาการที่ยังต้องแก้ไข หรือปัญหาอะไรบ้างที่ได้แก้ไขไปแล้ว และปัญหาอะไรบ้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
1.1.3 บอกถึงประโยชน์ที่นักศึกษาได้รับจากการสนทนากับผู้ป่วย และประเมินถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับจากการสนทนากับนักศึกษาพยาบาล
1.1.4 ประเมินความรู้สึกของผู้ป่วยต่อการยุติสัมพันธภาพ
1.1.5 บอกแหล่งที่ผู้ป่วยสามารถขอความช่วยเหลือได้ เช่น เจ้าหน้าที่ของหอผู้ป่วยหรือนักศึกษาพยาบาลในกลุ่มใหม่ที่มาฝึกปฏิบัติงานที่หอผู้ป่วย
1.2ในกรณีที่ผู้ปุวยกลับบ้าน ควรมีการเตรียมตัวผู้ป่วยกลับบ้านดังนี้
1.2.1 บอกถึงอาการของผู้ปุวยที่ดีขึ้น และอาการของผู้ปุวยที่ต้องแก้ไข (ถ้ามีอาการหลงเหลืออยู่)
1.2.2 แนะนําข้อปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการสร้างสัมพันธภาพ เช่นผู้ป่วยมีความคิดและความรู้สึกอย่างไร หรือผู้ป่วยได้รับอะไรบ้างจากการสนทนา
สำหรับพยาบาลควรสรุปในส่วนที่ได้ร่วมแก้ปัญหากับผู้ป่วยโดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวผู้ป่วย พร้อมกับส่งเสริมความมั่นใจในความสามารถที่จะช่วยตนเองของผู้ป่วย
ประเมินปฏิกิริยาของผู้ป่วยในระยะยุติสัมพันธภาพและให้เวลาผู้ป่วยได้บอกความรู้สึก
ยุติหรือสิ้นสุดสัมพันธภาพในรูปแบบของวิชาชีพ โดยบอกผู้ป่วยให้ชัดเจนและเตรียมผู้ป่วยให้สามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพ (Reaction to termination)
ด้านพยาบาลจะเกิดความรู้สึกเศร้า เพราะเกิดความรู้สึกผูกพันกับผู้ป่วย เป็นห่วงผู้ป่วย
ด้านผู้ป่วย
2.1 ไม่ยอมรับการยุติสัมพันธภาพ (Denial) เช่น ขอที่อยู่เพื่อที่จะติดต่อทางจดหมาย ขอรูป ขอไปเยี่ยมที่บ้าน
2.2ไม่ยอมรับในตัวพยาบาล (Reject) ผู้ป่วยมองการยุติสัมพันธภาพของพยาบาลว่าพยาบาลไม่ยอมรับผู้ป่วยทําให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งผู้ป่วยจึงแสดงออกโดยการไม่ยอมรับในตัวพยาบาล
2.3 โกรธและไม่เป็นมิตร (Anger and hostility) ซึ่งแสดงออกได้ทั้งคำพูดและท่าทาง เช่น การไม่มาพบพยาบาลตามเวลาที่นัดหมาย การพูดคุยแบบผิวเผิน
2.4 มีพฤติกรรมถดถอย (Regression)อาจมีการป่วยมากขึ้น เพื่อที่พยาบาลจะได้ดูแลเขาต่อไป
2.5 มีความรู้สึกเศร้า(grief) ที่พยาบาลจะต้องจากไป
การสื่อสารเพื่อการบำบัด (Therapeutic Communication)
องค์ประกอบที่มีผลต่อ
การสื่อสารเพื่อการบำบัด
สถานที่ (place or setting)
ควรเป็นสถานที่ซึ่งไม่พลุกพล่านปราศจากสิ่งรบกวนและมีความเป็นส่วนตัว (Privacy)
บรรยากาศ ควรมีความสบายปลอดโปร่ง ไม่ทําให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัด เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลายไว้วางใจ
ควรคำนึงสภาวะอาการของผู้ป่วยร่วมด้วย เช่น หากผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่อาจหลบหนีหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว สถานที่อาจมีความจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่หอผู้ป่วย หรือภายในห้องแยกเป็นต้น
ท่านั่ง (seating)
การจัดที่นั่งรวมถึงลักษณะท่าทางของผู้สนทนา
ท่านั่งที่เหมาะสมควรเป็นท่าที่ผ่อนคลายและทั้งสองฝ่ายสามารถมองเห็นคู่สนทนาได้อย่างชัดเจน และสิ่งที่ควรระวังคือ ไม่ควรนั่งเผชิญหน้ากัน เนื่องจากทําให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัด ท่านั่งในลักษณะดังกล่าวจึงควรเป็นการจัดท่านั่งในลักษณะทํามุมระหว่างคู่สนทนา 45องศาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อแสดงความใส่ใจในสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการสื่ออาจจะมีโต๊ะหรือไม่มีก็ได้ โดยหากมีโต๊ะจะเป็นลักษณะการนั่งระหว่างมุมโต๊ะทํามุม 45 องศา
ท่าทางที่ควรระวังสำหรับพยาบาล ได้แก่ การนั่งเท้าคาง เนื่องจากแสดงถึงความไม่สนใจผู้ป่วย การนั่งกอดอกหรือ การนั่งไขว่ห้างแสดงถึงการไม่เปิดเผยไม่เห็นด้วยและแสดงถึงอำนาจที่มีอยู่เหนือผู้ป่วย หรือการพูดคุยกับผู้ป่วยในขณะทํากิจกรรมอื่นร่วมด้วย เช่นจดบันทึกเขียนรายงาน เพราะแสดงให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่อยากพูดคุยรบกวนพยาบาล และไม่เปิดเผยข้อมูลที่เป็นปัญหาออกมาเป็นต้น
ระยะห่างระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย (space)
หากระยะห่างระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยมีมากเกินไป ก็จะทําให้การสื่อสารขาดความชัดเจนห่างเหิน
หากระยะห่างใกล้ชิดเกินไป จะทําให้ผู้สนทนารู้สึกอึดอัด หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะความหวาดระแวงก็อาจทําให้ผู้ป่วยหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น
ระยะห่างสำหรับการปรึกษา หรือในสังคมที่เหมาะสมอาจมีระยะห่างระหว่าง 4-12 ฟุต
เทคนิคการสื่อสาร
เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดระบายความคิดความรู้สึก
เทคนิคการส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
เทคนิคที่ช่วยพยาบาลกับผู้ป่วยเข้าใจให้ตรงกัน
เทคนิคช่วยส่งเสริมความเข้าใจในการปรับตัวผู้ป่วย
เทคนิคการกระตุ้นและส่งเสริมการสนทนา
หลักปฏิบัติในการสื่อสาร
ฟังทั้งเนื้อหาและเจตนาว่าผู้ปุวยพูดถึงอะไรหมายความว่าอย่างไร
ไม่เสนอข้อมูลมากเกินไปจนทําให้ผู้ปุวยสับสน เบื่อหน่าย
ไม่พูดถึงอดีตที่ปวดร้าวเกินไป ขณะที่ผู้ปุวยยังไม่พร้อม
สื่อสารที่เน้นเรื่องราวที่เป็นปัจจุบัน
ใช้หลักการสื่อสารที่ให้ผู้ปุวยได้มีโอกาสระบายความรู้สึก
ใช้หลักการต่างๆที่ง่ายๆ ชัดเจน ตรงไปมา
ให้สําคัญกับความสอดคล้องระหว่างเนื้อหา คําพูด ท่าทาง สีหน้า และน้ําเสียงของพยาบาล
อุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร (Block to therapeutic Communication)
การใช้เทคนิคการสนทนาไม่เหมาะสม
การดําเนินวิธีการสื่อสาร และใช้เทคนิคการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมเช่น การที่พยาบาลไม่ฟัง พยาบาลพูดมากหรือน้อยเกินไป
สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมเช่น มีผู้ปุวยอื่นมาวุ่นวาย
ข้อจํากัดทางอาการของผู้ปุวย
ท่านั่ง ที่แสดงถึงความไม่สนใจผู้ปุวย เช่นนั่งกอดอก นั่งไขว่ห้าง การจดบันทึก
ระยะห่างระหว่างบุคคลมาหรือน้อยเกินไป
ปัญหากและวิธีการแก้ไข
ผู้ป่วยไม่มาตามนัด
วิธีแก้
ตามหาผู้ป่วย
นัดหมายใหม่ อาจต้องจัดเวลาและสถานที่ใหม่
เตือนผู้ป่วยล่วงหน้าก่อนถึงวันนัด
จดวัน เวลานัดให้ผู้ป่วยในใบนัด
ผู้ป่วยมาพบตามนัด แต่มาช้าเป็นประจํา
วิธีแก้
พิจารณาว่าผู้ป่วยรู้จักเวลาหรือสถานที่หรือไม่
คุยเตือนกับผู้ป่วยเรื่องเวลานัดที่เคยตกลงไว้ว่าเริ่มเวลาเท่าใด และเลิกเวลา
เท่าใด
พยาบาลไปให้ตรงเวลา และรอผู้ป่วย ณ สถานที่นัดอย่างสงบ
พูดคุยกับผู้ป่วยเรื่องเหตุผลที่มาพบช้ากว่าเวลานัด
จบการสนทนาตามเวลาที่ได้กําหนดไว้
พยาบาลเองเป็นฝ่ายมาช้ากว่าเวลานัด หรือต้องขอเปลี่ยนเวลานัด
ให้แจ้งผู้ป่วยโดยตรง หรือผ่านบุคคลที่จะส่งข่าวให้ผู้ป่วยทราบหรืออาจเขียนโน๊ตบอก
ขอโทษ และให้เหตุผล
นัดหมายใหม่ให้เหมาะสม
ผู้ป่วยขอให้การสนทนาจบเร็ว ๆ กว่าเวลาที่กำหนดไว้ หรือขอเปลี่ยนกำหนดการนัด
สำรวจความต้องการที่ขอเช่นนั้น
ปฐมนิเทศใหม่ถึงเรื่องเวลากำหนดการนัดตามที่ได้ตกลงกันไว้ในตอนแรก
กำหนดการนัดหมายใหม่ตามความเหมาะสมของทั้งสองฝ่าย
ผู้ป่วยลุกออกไปจากการสนทนาอย่างกะทันหัน
พยาบาลนั่งรอในห้องนั้น
รอการกลับของผู้ป่วยในห้องอย่างสงบ
ผู้ป่วยต้องการอ่านข้อความที่บันทึก
อนุญาตให้อ่านได้
8.ผู้ป่วยเรียกชื่อพยาบาลโดยชื่อเฉย ๆ (ไม่มีสรรพนามนําหน้า เช่น คุณ....)
อภิปรายกับผู้ป่วยเรื่องความแตกต่างความสัมพันธ์ในสังคมกับสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
ไม่ตอบโต้ผู้ป่วย ให้นิ่งและสงบ
อภิปรายเหตุผลกับผู้ป่วยในการกระทําเช่นนั้น
สนทนา อภิปรายถึงเรื่องวิธีปฏิบัติซึ่งใช้กันเคยทั่วไปในหน่วยงานหรือสถานบริการซึ่งผู้ป่วยเข้ามารับการรักษานี้
7.ผู้ป่วยซักไซ้เรื่องส่วนตัวของพยาบาล
ตอบคำถามอย่างสั้น ๆ เฉพาะที่เป็นความจริงและเป็นข้อมูลทั่วไป
9.คําถามของพยาบาลทําให้ผู้ป่วยไม่พอใจ หรือหงุดหงิด
ไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจ แสดงว่าคําถามจะต้องไปกระทบความรู้สึกบางอย่างของผู้ป่วยและน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ปัญหา
อย่าเปลี่ยนเรื่อง ให้มุ่งการสนทนาที่ประเด็นดังกล่าวนั้น
ยกประเด็นขึ้นมาให้ชัดเจนอีกครั้ง
ช่วยผู้ป่วยให้ระลึกถึงประเด็นว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อการคลี่คลายปัญหาของผู้ป่วย
พยาบาลพยายามแยกแยะปัญหาจากข้อมูลให้ละเอียด อย่าให้เบนเรื่องออกนอกทาง หรือระวังอย่ารุกเร้าจนเกินไป ถ้าหากผู้ป่วยยังไม่พร้อมให้ค่อย ๆ คุยไปเรื่อย ๆ และบันทึกเรื่องประเด็นสําคัญเหล่านี้ไว้ เพื่อจะได้สืบค้นไปเรื่อย ๆ
10.ผู้ป่วยไม่ต้องการพูดคุย -นั่งเงียบ ๆ ด้วยความสงบ
คำถาม
ถ้าผู้ป่วยมีพฤติกรรม เช่น ไม่ยอมมาพบพยาบาลตามเวลานัดหมาย เป็นปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพแบบใด
ทรรศนันทน์ บุญสวัสดิ์ เลขที่43
ธิดารัตน์ ขยันหา เลขที่50
36/1