Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การอักเสบเเละการติดเชื้อ, ดาวน์โหลด, thaihealth_c_bcprtuv23568, อักเสบ-1-1…
การอักเสบเเละการติดเชื้อ
การอักเสบ(inflammation)
การอักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation)
Chronic nonspecific inflammation
โรคกระดูกอักเสบแบบเรื้อรัง (Chronic osteomyelitis) และฝีในปอด (Lung abscess)
การตอบสนองของร่างกายที่พบ คือ มีการรวมตัวกันของ Macrophages และ Lymphocytes มากขึ้นในบริเวณเนื้อเยื่อที่ได้รับ บาดเจ็บ
Chronic granulomatous Inflammation
วัณโรค (Tuberculosis) การติดเชื้อราบางชนิด โรคเรื้อน (Leprosy) ซิฟิลิส (Syphilis) หรือการอักเสบเนื่องจากสิ่งแปลกปลอม บางชนิด (Foreign body)
ลักษณะพบ Granuloma เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายพยายามห่อหุ้มสิ่งที่เป็นเสมือนสิ่งแปลกปลอมแต่ไม่สามารถกําจัดได้
การอักเสบเฉียบพลัน (Acute inflammation)
ลักษณะทางคลินิก
ปวด (Pain)
บวม (Edema)
เเดง (Redness)
ร้อน (Heat)
ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดังเดิม (Loss of function)
สื่อสารกลางการอักเสบ (Inflammatory mediators)
สารสื่อกลางที่สร้างและคัดหลั่งออกมาจาก
เกล็ดเลือด(Platelet)
มาสต์เซลล์หรือแมสตาเซลล์(Mastcells)
นิวโทรฟิล(Neutrophils)
อีโอซิโนฟิล (Eosinophil)
รวมทั้งเซลล์ชนิดอื่น ๆ
ชนิดของเซลล์ที่เป็นเป้าหมาย (Target cell) สารสื่อกลาง
กลุ่มวาโสแอคทิฟ เอมิน (Vasoactive amine)
เมแทบอไลต์ของกรดอะราซิโดนิค (Arachidonic acid metabolite)
Platelet-activatingfactor(PAF)
สารสื่อกลางกลุ่มPlasma proteases
ไซโตไคน์(Cytokine)
ไนตริกออกไซด์(nitric oxide; NO)
ผลลัพธ์ของการอักเสบเฉียบพลัน
การเกิดหนองฝี(Abscessformation)
เกิดจากเนื้อเยื่อที่ตาย ซากเม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลที่เเล้ว
การถูกแทนที่ด้วยพังผืด(Fibrosis)
เป็นการสมานเเผลด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue)
การกลับคืนสภาพปกติอย่างสมบูรณ์(Completeresolution)
เกิดขึ้นหลังจากที่เซลล์เม็ดเลือดขาวเเมคโครฟาจ (Macrophage) กำจัดสิ่งเเปลกปลอมเเละเซลล์ตายไปหมดเเล้ว
การอักเสบดําเนินต่อไปกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง(Progressionto chronic inflammation)
เกิดขึ้นตอนร่างกายไม่สามารถกำจัดสิ่งเเปลกปลอม
ลักษณะสำคัญ
การเปลี่ยนเเปลทางโครงสร้างของหลอดเลือดที่เกิดจากฤทธิ์ของสารสื่อกลางการอักเสบต่างๆมีผลเพิ่มการซึมผ่านผนังหลอดเลือด(Increased vascular permebility)
การเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว (Leukocytes)ออกจากหลอดเลือด
การขยายตัวของหลอดเลือด (Vasodilation)
ลักษณะ
การขยายตัวของหลอดเลือด(Vasodilation)
การเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว (Leukocytes) ออกจากหลอดเลือด
การเคลื่อนเข้าหาสิ่งกระตุ้น (Chemotaxis)
การจับกิน (Phagocytosis)
เม็ดเลือดขาวเกาะติดผนังหลอดเลือด (Adhesion) และเคลื่อนย้ายไป ยังที่ที่มีการอักเสบ(Transmigration)
การเคลื่อนตัวผ่านผนังหลอดเลือด (Transmigration หรือ diapedesis)
การยึดติดกับผนังเซลล์บุหลอดเลือด (Adhesion)
การหมุนไปบนผนังหลอดเลือด (Rolling)
การเคลื่อนเข้าใกล้ผนังหลอดเลือด (Margination)
การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของหลอดเลือดที่เกิดจากฤทธิ์ของสาร สื่อกลางการอักเสบต่าง ๆ มีผลเพิ่มการซึมผ่านผนังหลอดเลือด (Increased vascular permeability)
อาการเเละอาการเเสดงของอักเสบที่พบทางคลินิก
ลักษณะที่พบเฉพาะที่ (Local manifestations)
การอักเสบเป็นหนอง(purulent or suppurative inflammation)
ฝี(Abscess)
การอักเสบชนิดที่มีไฟบรินสะสม(Fibrinousinflammation)
แผล(Ulcer)
การอักเสบชนิดที่มีของเหลวสะสม (Serous inflammation)
ลักษณะที่พบทั่วร่างกาย (Systemic manifestations)
ระยะที่ 1 Acute phase response
ความดันโลหิตลดตํ่า
การย่อยสลายโปรตีนในร่างกายเพิ่มขึ้น
อาการเบื่ออาหาร (Decreased appetite)
ปริมาณ Immature neutrophils เพิ่มมากขึ้น IL - 1
อาการไข้(Fever หรือ pyrexia)
ซึม (Lethargy)
จากผล IL-1 และ TNF-α ต่อระบบประสาท
เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นมากถึง 39.5 องศาเซลเซียส (103.1 องศาฟาเรนไฮต์) ร่างกายจะตอบสนองรุนแรงข้ึน
ตับเพิ่มการสังเคราะห์Fibrinogen และ C-reactive protein
ระยะที่ 2 Alterations in WBCs (Leukocytosis and Leukopenia)
มักพบเมื่อร่างกายเกิดการอักเสบภาวะที่มีการอักเสบนั้นร่างกายจะสูญเสียNeutrophilsไปในกระบวนการทําลาย เชื้อโรค (Phagocytosis)
พบ Bands neutrophils ซึ่งเป็น Immature forms ของ Neutrophils ในภาวะที่ร่างกายมีการอักเสบอย่างรุนแรงเเละมีการเปลี่ยนแปลงที่เรียก “Shift to the left”
การวินิจฉัย
สารจําพวกInterleukin
C-ReactiveProtein (CRP)
เป็นโปรตีนตอบสนองในระยะเฉียบพลัน(Acute phase reactant protein) สร้างจากเซลล์ตับ
Complete blood count (CBC)
ค่า White blood cells count (WBC) มากกว่า 10,000 cells/mm3 พบได้บ่อยในกระบวนการอักเสบ
Erythrocyte sedimentary rate (ESR)
เป็นการตรวจที่บ่งบอกว่ามีการอักเสบเกิดขึ้น แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุของการ อักเสบ เมื่อมีการอักเสบในร่างกาย
Lipoprotein-associated phospholipaseA2 (Lp-PLA2)
เป็นเอนไซม์ที่มี ความจําเพาะต่อภาวะการอักเสบของหลอดเลือด
การซ่อมเเซมเนื้อเยื่อ(Tissue repair)
กระบวนการซ่อมเเซม
การงอกใหม่(Regeneration)
เซลล์ไม่คงตัว (Labile cells)
เซลล์ที่มีการแบ่งตัวเพิ่มจํานวน
Epithelial cell ที่อยู่ด้านบนของ ผิวหนัง
เซลล์ถาวร (Permanent or fixed cells)
เซลล์ที่ไม่สามารถแบ่งตัว
เซลล์ประสาท (Neuron) เซลล์กล้ามเน้ือของกระดูกและโครงสร้าง (Skeletal muscle cells) และเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac muscle cells)
เซลล์คงสภาพ(Stablecells)
เป็นเซลล์ที่มีการเพิ่ม จํานวนตํ่าในภาวะปกติ แต่สามารถแบ่งตัวได้เร็วเมื่อมีการกระตุ้น
เซลล์ของตับ ไต และตับอ่อน เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ Fibroblast Osteoblast Chondroblast
การหายของเเผล(Healing)
ขั้นตอนการหายของเเผล
ระยะการสร้างเนื้อเยื่อเส้นใยหรือระยะงอกขยาย(Stageoffibroplastic หรือproliferativephase)
ระยะนี้มีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อเดิมที่ถูกทําลาย
ระยะเนื้อเยื่อเจริญเต็มที่หรือระยะปรับตัว (Maturational or remodeling phase)
เนื้อเยื่อใหม่ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องจากในระยะ Proliferative โดย Fibroblasts จะรักษาสมดุลทั้งการสร้างและสลายเส้นใยคอลลาเจน
ระยะที่มีเลือดออกและการอักเสบ (Stage of hemorrhage & inflammation)
เมื่อเกิดบาดแผลมักจะมีการฉีกขาดของหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ ซึ่งส่งผลให้มี เลือดออก (Bleeding)
การหายของเเผลเเละการสมานของเผล
การหายแบบตติยภูมิ (Tertialy intention healing)
การหายของเเผลที่มีช่องว่างระหว่างเเผล
ปล่อยให้เเผลหายระยะหนึ่งจนสร้าง Granulation tissue ขึ้นใหม่
เย็บปิดบาดแผล (Delayed primary closure) หรือปิดด้วยการนํา ผิวหนังมาปลูก (Skin graft)
การหายแบบปฐมภูมิ(Primaryintentionhealing)
การหายของเเผลที่นำขอบเเผลมาชิดกันโดยไม่มีเเรงดึงเเผล
เเผลสะอาดไม่มีสิ่งปนเปื้อน
เเผลที่มีการทำลายเนื้อเยื่อน้อยมาก หรือถ้ามีการสูญเสียเนื้อเยื่อไปมากเเต่สามารถตกเเต่งเเละมีการนำขอบเเผลมาชิดกันได้
เเผลมีดบาด เเผลผ่าตัด หรือกระดูกหักที่ถูกจัดที่เดิม
การหายแบบทุติยภูมิ (Secondary intention healing)
รักษาเเผลเเบบเปิดโดยใช่ลิ่มเลือด(Blood colt)อยู่ในเเผลเเละปล่อยให้หายเอง
การหายของเเผลขนาดใหญ่เเละลึก
การหายเเบบนี้ใช้เวลานานกว่าเเละเกิดปฎิกิริยาการอักเสบรุนเเรงกว่าเเบบปฐมภูมิ
เกิด(Exudates)เนื้อตาย(Fibrin) เเละ(Granulation tissue) มากกว่าปฐมภูมิ
ร่างกายจะมีกลไกเพื่อหดรั้งขอบเเผล โดยอาศัยเซลล์ Myofibroblasts เเผลเป็นจะชัดเจน
เซลล์เยื่อบุผิวหนังที่สร้างใหม่จะมีความบางน้อยกว่าเดิม
ความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อน (complication) ของการซ่อมแซม
การสร้างแผลเป็นมากเกินไป
แผลเป็นนูนหนา (Hypertrophic scar)
คีลอยด์(Keloid)
การรบกวนหรือขัดขวางการทําหน้าที่ของอวัยวะ
เกิดพังผืดอย่างมากทําให้มี การดึงรั้งเนื้อเยื่อ
การสร้างแผลเป็นไม่แข็งแรงเพียงพอ
ภาวะแผลแยก
การเกิดเนื่องอก การอักเสบและการซ่อมแซมเป็นเวลานานในบางราย อาจเป็นปัจจัยในการเจริญของเนื้อเยื่ออย่างผิดปกติไม่สามารถควบคุมได้
การเกิดมะเร็งผิวหนังในแผลเรื้อรัง
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายของแผล
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
มีความสำคัญในการป้องกันการอักเสบ
ความเครียด
ทําให้มีการหลั่งของฮอร์โมนที่ช่วยในการทําลายสารชีวโมเลกุล (Catabolic hormone)
การไหลเวียนของเลือดและการขนส่งออกซิเจน
ช่วยให้ร่างกายกำจัดสารที่ไม่ต้องการ
ปัจจัยอื่นๆ
การแยกของแผล (Wound separation)
สิ่งแปลกปลอม (Foreign bodies)
การติดเชื้อ(Infection)
ลักษณะของแผล
การเคลื่อนไหว
เทคนิคการเย็บแผล
ภาวะโภชนาการ
เป็นปัจจัยสําคัญในการส่งเสริมการหายของแผล
อายุ
วัยสูงอายุจะมีการซ่อมแซมแผลได้ช้ากว่าวัยอื่น ๆ เนื่องจากมีการ ตอบสนองต่อการอักเสบได้น้อย
การติดเชื้อ(Infection)
วงจรการติดเชื้อ (Chain of infection)
ทางออกของเชื้อจากรังโรค (Portal of exit)
การแพร่กระจายเชื้อโรคออกจากรังโรค สามารถออกจากร่างกายของคนได้หลายทาง
ระบบสืบพันธุ์ระบบทางเดินปัสสาวะ
ระบบโลหิต
ระบบ ทางเดินหายใจ (น้ํามูก ลมหายใจ)
เชื้อที่อยู่บนแผลที่ผิวหนัง
เชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์โดยผ่านทางสายสะดือ
แมลงกัดและดูดเลือดไปกัด ผู้อื่น
วิธีการแพร่กระจายเชื้อ (mode of transmission)
วิธีการที่เชื่อโรค ที่ออกจากรังโรคใช้เพื่อเข้าสูง Host ใหม่ซึ่งมีได้หลายทาง
การแพร่เชื้อในอากาศ (Airborne vehicle)
การแพร่กระจายโดยมีตัวนํา (Common vehicle transmission)
การสัมผัส (Contact transmission)
รังโรค (Reservoir)
เเหล่งที่เชื่อโรคอาศัย เจริญเติบโต เเบ่งตัวเเละเเพร่กระจายพันธุ์
คน สัตว์พืช ดิน และแมลงต่าง ๆ
เหา เห็บ หมัด รวมทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ หรือในสารน้ํา (Intravenous solutions)
สำหรับคนหรือสัตว์ที่มีเชื้อก่อโรคอยู่ในตัวโดยไม่มีอาการ สามารถเเพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่นได้
ทางเข้าของเชื้อที่เข้าสู่ร่างกาย (Portal of entry)
ช่องทางในการ แพร่กระจายเชื้อโรคเข้าสู่ Host ใหม่โดยมากมักเป็นช่องทางเดียวกับทางที่ออก ที่พบบ่อย ๆ
ทางเดินอาหาร
อวัยวะสืบพันธุ์
ทางเดินหายใจ
ผิวหนังที่ฉีกขาด
เชื้อที่เป็นสาเหตุหรือเชื้อก่อโรค (Infectious agent หรือ causative agent)
เชื้อหรือ Pathogens ที่เข้าสู่ร่างกาย(Host)
แบคทีเรีย โปรโตซัว เชื้อรา ไวรัส และพยาธิ
ไวรัส รา Prion ปรสิต หรือ Protozoa
ความไวของบุคคลในการรับเชื้อ (Susceptible host หรือ vulnerable host)
ลักษณะของ Host ที่เหมาะสมต่อการเกิดโรค บุคคลจะติดเชื้อได้ง่ายหรือยาก
ขึ้นอยู่กับลักษณะของเชื้อจุลชีพ ธรรมชาติของเนื้อเยื่อที่รับเชื้อ สุขภาพทั่วไปของแต่ละบุคคล และ ภูมิคุ้มกันโรค
ระยะของการติดเชื้อ
ระยะที่ 1 Incubation period หรือระยะฟักเชื้อ
ระยะนี้เริ่มตั้งแต่เชื้อเข้าสู่Host
มีการเจริญเติบโตแบ่งตัว (Proliferate) และแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะเป้าหมาย
ระยะที่ 3 Acute period เป็นระยะที่มีอาการและอาการแสดงรุนแรงมากขึ้น
Localized acute infection
เป็นการติดเชื้อที่สามารถระบุตําแหน่งได้ชัดเจน ร่างกายจะมีปฏิกิริยาการอักเสบ (Inflammatory response) เกิดขึ้น
อาการและอาการแสดง
ปวด (Pain) บวม (Swelling) แดง (Redness) และร้อน (Heat) อาจพบความผิดปกติ ของอวัยวะนั้น ๆ ร่วมด้วย
Systemic acute infection
เป็นการติดเชื้อที่มีผลต่อทุกส่วนของร่างกาย ทําให้ร่างกายต้องใช้เมตาบอริซึมเพิ่มขึ้น
อาการและอาการแสดง
มีไข้หนาวสั่น หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) และหายใจเร็ว (Tachypnea) อาจร่วมกับความผิดปกติของอวัยวะที่ถูกทําลาย
ระยะที่ 2 Prodomal period หรือระยะที่มีอาการนํา
เป็นระยะที่ Host เริ่มแสดงอาการผิดปกติเนื่องจากการติดเชื้อ (Nonspecific symptoms)
อาหาร (Anorexia) ปวดเมื่อยตามตัว (Malaise) ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ (Muscle aches) และปวดข้อ (Joint pain)
ระยะที่ 4 Convalescent period หรือระยะพักฟี้น
เป็นระยะที่ Host ได้รับการ รักษาจนหาย
ไม่พบอาการและอาการแสดงของภาวะการติดเชื้อ
ชนิดของเชื้อก่อโรค (Classification of infectious agents)
แบคทีเรีย (Bacteria)
มีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม
ทางเดิน หายใจ
ทางเดินอาหาร
ผิวหนัง
แบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อโรคในมนุษย์ได้และบางชนิดมีประโยชน์ต่อ
ร่างกายมนุษยและไม่ก่อโรค
สารพิษที่เเบคทีเรียสร้าง
Exotoxins
เป็นโปรตีนที่ละลายน้ําได้(Soluble protein substances) สร้างในช่วงที่แบคทีเรียมีการเจริญเติบโต
Endotoxins(Lipopolysaccharides,LPS)
สร้างจากผนังเซลล์ของGram- negative bacteria ถูกปล่อยออกมาเมื่อผนังเซลล์นั้นถูกทําลายหรือช่วงท่ีแบคทีเรียเจริญเติบโต
พยาธิสภาพของภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis)
ในระยะแรกร่างกายจะอยู่ในภาวะ Hyperdynamic state
ส่งผลให้ร่างกายขาดสารนํ้ที่จะให้ระบบไหลเวียนเลือดนําไปสูบฉีด (Hypovolemia)
ทําให้เลือดสูบฉีดมากขึ้นปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจต่อนาที (Cardiac output) เพิ่มขึ้น
เกิดภาวะซ็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock) ค่อย ๆ เสื่อมสภาพ จนเกิดอวัยวะล้มเหลว (Organ dysfunction)
หากอวัยวะล้มเหลวพร้อม ๆ กัน
หลายระบบ (Multiple organ failure) อาจทําให้เสียชีวิตได้
อาการและอาการแสดง
ไข้สูงกว่า38องศาเซลเซียสหรือมีอุณหภูมิร่างกายตํ่ากว่า36องศาเซลเซียส
หัวใจเต็นเร็วมากกว่า90ครั้งต่อนาที
หายใจเร็วมากกว่า20ครั้งต่อนาทีหรือวัดค่าความดันคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด (PaCO2) มากกกว่า 32 มิลลิเมตรปรอท
การตรวจเลือด พบมีเม็ดเลือดขาวมากกว่า 12,000 ตัวต่อมิลลิลิตร หรือน้อยกว่า 4,000 ตัวต่อมิลลิลิตร
การตรวจวินิจฉัย
สามารถ
ประเมินได้จากอาการ SIRS ร่วมการตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเพาะเชื้อในเลือด (Blood culture)
การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อในเลือดด้วยเทคนิคพีซีอาร์(PCR) หรือ การตรวจหาตําแหน่งที่กําลังติดเชื้อ
การเอกซเรย์การตรวจอัลตราซาวน์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ไวรัส (Viruses)
แบ่งย่อยตามชนิดของ สารพันธุกรรมนิวคลีอิคแอซิด
ดีเอ็นเอ (DNA)
รูปร่างของโปรตีนห่อหุ้ม (Protein coat หรือ capsid)
อาร์เอ็นเอ (RNA)
แบ่งตามชนิดของเปลือกไขมันรอบตัว
ไวรัส (Envelope)
อาการเเละอาการเเสดง
มีได้หลายอาการขึ้นอยู่กับอวัยวะหรือระบบที่ติดเชื้อ
การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ จะมีไข้ไอ อาจมีน้ํามูก หรือเสมหะ
การติดเชื้อระบบทางเดิน อาหาร จะมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
การติดเชื้อที่สมอง จะมีอาการไข้สับสน ปวดศีรษะ ชักและอาจโคม่าได้
การตรวจวินิจฉัย
สามารถประเมินได้จากอาการและอาการแสดง ประวัติการเจ็บป่วยประวัติการสัมผัสโรค ประวัติที่อยู่อาศัย การเดินทาง และประวัติการระบาดของ โรคในขณะนั้น รวมทั้งการตรวจร่างกาย
เมื่อไวรัสจับกับตัวรับ (Receptor)ตัวรับนี้จะอยู่ที่เยื่อหุ้มเซลล์(Cell membrane) จากนั้นไวรัสจะเข้าสู่เซลล์โดยเยื่อหุ้มเซลล์จะโอบล้อมไวรัสไว้คล้ายกับ กระบวนการ Phagocytosis และไวรัสจะเริ่มแบ่งตัวเพิ่มปริมาณ
ไวรัสจะเข้าไปที่นิวเคลียสของเซลล์ทําให้เซลล์ไม่สามารถทําหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งทําให้เกิดอาการของโรคตามมา
เชื้อรา (Fungi)
เป็นเชื้อจุลินทรีย์ขนาดใหญ่มีผนังเซลล์หนา เชื้อราที่ก่อโรค
เชื้อราชนิดที่มีเซลล์เดียว (Unicellular organism)
เชื้อราชนิดที่มี หลายเซลล์(Multicellular organism)
เชื้อราเหล่านี้จะอาศัยอยู่ร่วมกันกับแบคทีเรียในร่างกายมนุษย์อย่างสมดุล
ผิวหนัง ช่องปาก ช่องคลอด และลําไส้ใหญ่
เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคลดลงเชื้อราในร่างกายจะมีความแข็งแรงจนก่อให้เกิดการติดเชื้อ
การติดเชื้อราในช่องปาก ช่องคลอด
ความรุนแรงของการเกิดโรคตามความลึกของการเจริญในร่างกาย
Superficial mycoses
ไม่ค่อยมีปฏิกิริยาทางระบบ ภูมิคุ้มกัน และไม่ค่อยพบการอักเสบที่ชัดเจนเหมือนชนิดอื่น ๆ
โรคที่พบบ่อยโรคเกลื้อน (Pityriasis versicolor หรือ tinea versicolor)
เป็นการติดเชื้อราที่อยู่ตื้นที่สุด มีพยาธิสภาพจํากัดอยู่บริเวณขน ผม และผิวหนังชั้นนอกสุดคือ ชั้น Stratum corneum
Systemic (deep) mycoses
การติดเชื้อราในระบบต่างๆของร่างกาย โดยเชื้อเข้าสูงร่างกายทางการหายใจ ทางเดินอาหาร หรือทางหลอดเลือดดํา
เชื้อแพร่กระจายไปยังอวัยวะภายในต่างๆได้เเก่ ปอด ต่อมน้ําเหลือง ตับ ม่าม หัวใจ กระดูก ระบบประสาทส่วนกลาง ผิวหนังและเยื่อบุ
การติดเชื้อราแบบนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีภูมิคุมกันบกพร่อง เนื่องจาก Host’s immune system เสียหน้าที่จากโรคต่าง ๆ
Subcutaneous mycoses
การติดเชื้อราที่มีพยาธิสภาพบริเวณผิวหนัง และใต้ผิวหนัง เชื้อรา
โรคติดเชื้อราที่พบ ได้แก่Chromoblastomycosis (or chromomycosis) เป็นการติดเชื้อรา (Epidermis)และหนังแท้(Dermis)
ลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาจะพบการหนาตัวของผิวหนังชั้นบนสุด และมีการตายของเซลล์ผิวหนัง
ลักษณะเฉพาะที่พบคือ เชื้อรารูปกลมหรือรูปหลายเหลี่ยม สีน้ําตาลเปลือกลูกนัต มีผนังหนา ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ เชื้อราประมาณ 5-12 ไมโครเมตร (μm)
การติดเชื้อชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าไปสู่กระดูก และกล้ามเนื้อได้
Cutaneous mycoses
เชื้อราที่บริเวณผมขนเล็บโดยเชื้อราสามารถ ลุกลามจากชั้น Stratum corneum ไปอยู่ที่รูขุมขน ผม โคนเล็บและข้างเล็บได้
ร่างกายมักจะมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน พบการอักเสบ บวม แดง หรือความผิดปกติต่อ โครงสร้างของผิวหนัง ผม และเล็บได้
โรคติดเชื้อราที่พบได้บ่อย เกิดจากเชื้อกลุ่ม Dermatophytes
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจหาเชื้อโดยตรง (Direct examination) วิธีนี้นิยมใช้ในทางการแพทย์ได่แก่การย้อมด้วย Kotassium hydroxide (KOH) ซึ่งจะทําให้เห็นตัวเชื้อราได้ชัดเจน
พรีออน (Prion)
เป็นอนุภาคโปรตีนที่ก่อโรคและมีขนาดเล็กที่สุด
มีลักษณะพยาธิสภาพของเนื้อสมองเป็นรูพรุนคล้ายฟองนํ้า (Spongiform encephalopathy)
เซลล์สมองโป่งเต็มไปด้วยของเหลว รูปร่างสมองจะผิดรูปทั้งสมอง (Atrophic) การติดเชื้อนี้จะทําให้เกิดโรคในมนุษย์
โรควัวบ้า (Bovine Spongiform encephalopathies; BSE) โรค ครอยตส์เฟลดต์-จาค็อบ (Creutzfeldt-Jakob disease) กลุ่มอาการแกร์สมานน์-สตร็อยสเลอร์- ไชน์เกอร์(Gerstmann-Strassler-Scheinker Syndrome; GSSS) และโรคคูรู (Kuru)
การตรวจวินิจฉัย
มักจะวินิจฉัยประเมินจากอาการอาการเเสดงได้ภายหลังจากผู้ป่วยเสียชีวิต เช่น การตรวจชิ้นเนื้อสมอง การตรวจสมองทั้งอัน
ปรสิต (Parasites)
โปรตัวซัว
เป็นสัตว์เซลล์เดียว มีการเคลื่อนตัวแบบเดียวกับอะมีบา (Ameboids) หรือโดยใช้การโบกพัด (Cilia or flagella)
โปรโตซัวที่ก่อโรคในมนุษย์
โปรตัวซัวที่ทำให้เกิดโรคที่ทางเดินอาหาร (Intestinal protozoa)
Entamoeba histolytica
Giardia lambia
sospora belli
Cryptosporidium spp
โปรตัวซัวที่แพร่เชื้อโดยอาศัย พาหะจําพวกแมลงหรือยุง
Plasmodium spp ทําให้เกิดโรคไข้มาลาเรีย
Trichomonas vaginalis
ทําให้เกิดการอักเสบในอวัยวะสืบพันธุ์
โปรโตซัวที่ก่อโรค ในสมอง
Naegleria fowleri
Acanthamoeba spp
โปรโตซัวเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะอยู่ในเนื้อเยื่อส่วนลึก (Deep tissues) และสามารถสร้างเกราะขึ้นมาหุ้มตัวเองได้
พยาธิ (Worms or flukes)
พยาธิใบไม้ในตับ
เชื้อเข้าสู้ร่างกายได้จากการรับประทานตัวอ่อนที่อยู่ในปลาหรือหอยที่ไม่ทําให้สุก
ใช้เวลา 4 สัปดาห์ใน การเจริญเต็มที่
การวินิจฉัยโรคที่เชื้อถือได้มากที่สุด คือ การตรวจดูอุจจาระผู้ป่วยเพื่อหาไข้พยาธิโดยวิธี Stool’s dilution egg counting technique
พยาธิตัวตืด
พยาธิตัวแบน (Cestode) สีขาวขุน
ชนิดที่พบในคน
พยาธิตืดหมู (taenia solium หรือ pork tapeworm)
รับประทานเนื้อหมูดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ซึ่งมีตัวอ่อน (Cysticerci) ของพยาธิฝังอยู่หรือท่ีเรียกว่าหมูสาคู (Measly pork)
พยาธิรับประทานอาหารเก่ง หิวบ่อยแต่ผอมลง น้ําหนักลด
พิษที่พยาธิปล่อยออกมา เช่น ลมพิษ คันตามผิวหนัง
การตรวจวินิยฉัย
สามารถประเมิน ได้จากประวัติอาการ ประเภทอาหารที่รับประทาน รวมทั้งการตรวจร่างกาย การตรวจอุจจาระเพื่ตรวจดูไข่
พยาธิตืดวัว (Taenia saginata หรือ beef tapeworm)
รับประทานเนื้อวัวดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ซึ่งมีตัวอ่อน (Cysticercus bovis) ของพยาธิฝังอยู่
รายที่มีอาการมากอาจพบอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด คลื่นไส้ขาดอาหาร ผอม น้ําหนักลด ซีด อ่อนเพลีย
การตรวจวินิยฉัย
สามารถประเมิน ได้จากประวัติอาการ ประเภทอาหารที่รับประทาน รวมทั้งการตรวจร่างกาย การตรวจอุจจาระเพื่ตรวจดูไข่
การตรวจทางอิมมูโนวิทยา (Imunology)จะมีประโยชน์ในช่วง3เดือนเเรกหลังจาดติดเชื้อ
ลักษณะลำตัว
ปล้องแบน ๆ (Proglottids) ต่อกันเป็นสายยาว
ภาวะไข้(Fever หรือ Pyrexia)
อุณหภูมิที่ถือว่าเป็นไข้
อุณหภูมิ 37.5 - 38.4 องศาเซลเซียส
ไข้ตํ่า (Low grade fever)
อุณหภูมิ 38.5 - 39.4 องศาเซลเซียส
ไข้ปานกลาง (Moderate fever)
อุณหภูมิ 39.5 - 40.5 องศาเซลเซียส
ไข้สูง (High grade fever)
อุณหภูมิตั้งเเต่ 40.5 องศาเซลเซียส
ไข้สูงมาก (Hyperpyrexia)
Pyrogens สารที่ทำให้เกิดอาการไข้
Exogenous parogens
Lipopolysaccharide (LPS) ในเเบคทีเรียไปกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวสร้างEndogenous pyrogens
Tumor necrotic factor (TNF)
สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ Prostaglandins โดยเฉพาะ Prostaglandin E2 ไปกระตุ้น Hypothalamus ให้ปรับอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น
กลไกการเกิดอาการไข้หลังมี Pyrogens เข้าสู่ร่างกาย
ขั้นตอนที่3 ร่างการตอบสนองต่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น
ขั้นตอนที่4 อุณหภูมิร่างกายค่อยๆเพิ่มขึ้นตอบสนองต่อจุด Set pointใหม่ของร่างกาย
ขั้นตอนที่2 ตั้งค่าอุณหภูมิร่างกายใหม่ที่ Hypothalamic thermoregulatory centerโดยสารสื่อนำหรือ Toxis จาก Pyrogens
ขั้นตอนที่5 การตอบสนองของร่างกายเพื่อลดอุณหภูมิลง (Temperature - reducing responses)
ขั้นตอนที่1 เซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือถูกทำลายปล่อย Endogenous pyrogens ออกมา
การตอบสนองของร่างกายเมื่อเกิดไข้
Flushstage
ผิวร่างกายเริ่มแดง(Flush)และอุ่นขึ้นเนื่องจากหลอดเลือดบริเวณ ผิวหนังขยายตัว (Cutaneous vasodilation)
Defervescence stage
เป็นระยะของการมีไข้สูง (Febrile) อาการจะเริ่มจากมี เหงื่อออกมาก (Sweating)
Chill stage
อาการรุนแรงขึ้น เริ่มจากหลอดเลือดหดตัว มีอาการขนลุก (Piloerection) ผิวหนังซีด รู้สึกหนาว (Cold) มีอาการสั่น (Chill or shivering)
Prodromalstage
อาการแรกเริ่มไม่รุนแรงพบมีอาการปวดศีรษะเนื่องจากหลอด เลือดสมองขยายตัว อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สุขสบาย (malaise)