Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สรีรวิทยาการคลอดรกและการทำคลอดรก การตรวจรก, https://administer.pi.ac…
สรีรวิทยาการคลอดรกและการทำคลอดรก การตรวจรก
สรีรวิทยาของการคลอดรก
กลไกการลอกตัวของรก
การลอกตัวของรก (Mechanism of placenta separation)
รกลอกตัวได้โดยอาศัยการหดรัดตัวและคลายตัวเป็นระยะๆของกล้ามเนื้อมดลูกส่วนบน ภายหลังทารกคลอด ทำให้ผนังมดลูกหนาขึ้นและโพรงมดลูกมีขนาดเล็กลงมาก ขณะที่รกยังมีขนาดเท่าเดิมทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างพื้นที่ของรก และผนังมดลูกทำให้เกิดการดึงรั้งและฉีกขาดของหลอดเลือดที่ผนังมดลูกบริเวณที่รกเกาะ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตรงกลางรก บางรายอาจลอกที่ริมล่างของรก เกิดที่ชั้น spongiosa และ decidua เมื่อมดลูกหดตัวเรื่อยๆทำให้รกลอกตัวออกจากผนังมดลูกและเลื่อนลงมาอยู่ในช่องคลอด น้ำหนักของรกจะถ่วงให้มีเยื่อหุ้มทารกค่อยๆแยกตัวออกจาก decidua และมีถูกขับออกมา บริเวณผนังมดลูกส่วนที่รกเกาะจะเป็นแผลและมีเลือดออก ร่างกายจะมีกลไกการควบคุมการตกเลือดจากแผลที่เกิดจากบริเวณที่รกลอกตัวโดยกล้ามเนื้อยังคงมีการหดรัดตัวและคลายตัวเป็นการห้ามเลือดตามธรรมชาติ
การคลอดรก
ระยะที่ 1 รกผ่านจากโพรงมดลูก
การผลักไล่รกที่ลอกตัวหมดแล้ว ให้เคลื่อนต่ำลงมาผ่านพ้นโพรงมดลูกส่วนบนลงมาอยู่ในมดลูกส่วนล่าง เมื่อไม่มีส่วนของทารกมาถ่างไว้และยังมีมดลูกส่วนบนจะยุบแฟบลงทำให้มดลูกส่วนบนเคลื่อนลงมาได้ต่ำ ระดับของยอดมดลูกจึงอยู่ประมาณระดับสะดือ มีรูปร่างกลมแบนใหญ่ แต่เมื่อรกลอกตัวหมดแล้วและถูกผลักดันให้เคลื่อนผ่านจากภายในโพรงมดลูกส่วนบนลงมาส่วนล่าง ดันถ่างให้มดลูกส่วนล่างหรือผนังช่องคลอดโป่งออก ดันมดลูกส่วนบนให้สูงขึ้นไปจากตำแหน่งเดิม ไปอยู่เหนือระดับสะดือค่อนไปทางขวา ลักษณะกลมขึ้น แข็ง ขนาดเล็กลง เปลี่ยนรูปร่างจาก Discoid คือกลมแบนคล้ายจานเป็น Globular กลม ถ้าคลำหน้าท้องมารดาในขณะนี้จะได้เป็น 2 ลอน ลอนล่างอยู่เหนือหัวหน่าวคลำดูจะนิ่มกว่า ลอนบนอยู่ค่อนไปทางขวาและส่วนยอดของก้อนมักจะอยู่สูงกว่าระดับสะดือจะคลำได้กลมแข็ง ของเรียกว่า Uterine sign ของรกลอกตัว เมื่อรกเคลื่อนต่ำลงจะทำให้สายสะดือเคลื่อนต่ำตาม มองจากปากช่องคลอดจะเห็นเครื่องหมายที่ทำไว้ภายหลังเด็กคลอดเคลื่อนต่ำลงมา เรียกว่า Cord sign ถ้าเคลื่อนต่ำลงมาจากตำแหน่งเดิมหลังเด็กคลอดมากกว่า 8 ซม. ขึ้นไป แสดงว่ารกลอกตัวแล้วอย่างสมบูรณ์
ระยะที่ 2 รกคลอดออกมาภายนอก
โดย 1. อาศัยธรรมชาติ 2. ผู้ทำคลอดให้ความช่วยเหลือด้วยวิธีต่าง ๆ
ชนิดของการลอกตัวของรก
2.1 Schultze’s method
การลอกตัวของรกจะเกิดขึ้นตรงกลางของรก ทeให้มีเลือดออกอยู่ด้านหลังรก(Retroplacental bleeding) จึงทำให้ไม่มีเลือดออกมาให้เห็นทางช่องคลอด (Vulva sign)
2.2 Matthews duncan’s method
การลอกตัวของรกจะเกิดขึ้นโดยเริ่มที่บริเวณริมรกก่อนส่วนอื่นและเลือดที่เกิดจากการฉีกขาดของผนังมดลูกจะไหลซึมออกมาภายนอก (Vulva sign)
การควบคุมการเสียเลือด
การผูกรัดเส้นเลือดตามธรรมชาติ “Living ligatures” โดยที่การหดรัดตัวเป็นการบีบเส้นเลือดที่แทรกอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อให้ตีบตัวทำให้เลือดหยุด
อาการแสดงว่ารกลอกตัว
1 Uterine sign
มดลูกหดตัวแข็งเปลี่ยนรูปร่างจากแบนเป็นกลม มดลูกจะดันมาข้างหน้า คลำบริเวณ Fundus จะได้ขอบเขตชัดเจนและจะเห็นมดลูกเอียงไปทางขวามือและมดลูกจะลอยสูงขึ้นถึงระดับสะดือ เปลี่ยนรูปร่างจาก Discoid เป็น Globular form หน้าท้องเป็นสองลอน ลอนบนแข็งเอียงไปทางขวาคือมดลูกส่วนบน ลอนล่างนุ่ม ซึ่งคือมดลูกส่วนที่มีรกอยู่
2 Cord sign
จะมีการเคลื่อนต่ำของสายสะดือประมาณ 8 - 10 ซม. สายสะดือจะเหี่ยวและไม่มีPulsation เมื่อโกยมดลูกส่วนบนขึ้นไปสายสะดือจะไม่ตามขึ้นไป
3 Vulva sign
มีเลือดไหลออกให้เห็นทางช่องคลอด ประมาณ 50 ซีซี. อาการนี้แสดงให้ทราบว่ารกมีการลอกตัว
การทำคลอดรก
ให้คลอดเองตามธรรมชาติ โดยให้มารดาเบ่ง (bearing down effort)
1.1 ภายหลังตรวจพบว่ารกลอกตัวสมบูรณ์แล้ว ผู้ทำคลอดใช้มือซ้ายคลึงมดลูกให้แข็งแล้วจับมดลูกเลื่อนจากด้านขวามาอยู่ในแนวกลาง จับมดลูกให้อยู่ในอุ้งมือ มือขวาจับสายสะดือไว้
1.2 ให้มารดาเบ่ง เมื่อรกผ่านช่องคลอดออกมาใช้มือขวารองรับรกไว้ มือซ้ายโกยมดลูกส่วนบนขึ้น มือขวาที่รองรับรกไว้หมุนรกไปรอบ ๆ ทางเดียว ถ้ามือเดียวทำไม่ถนัดก็ใช้สองมือจับรกหมุน หากเยื่อหุ้มทารกยังลอกตัวไม่หมด อาจใช้ Arterial clamp จับที่เยื่อหุ้มทารกแล้วค่อย ๆ หมุนจนเยื่อหุ้มทารกออกมาหมด ต้องระวังอย่าให้เยื่อหุ้มทารกขาดค้างในโพรงมดลูก มิฉะนั้นจะท าให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดและเกิดการติดเชื้อภายหลังคลอดได้
ผู้ทำคลอดช่วยเหลือให้รกคลอด
1 Medified crede Maneuver หลักการคือเพื่ออาศัยมดลูกส่วนบนที่หดตัวแข็ง ดันเอารกซึ่งอยู่ในส่วนล่างของทางคลอดออกมา
1) ต้องตรวจพบว่ารกลอกตัวสมบูรณ์แล้วโดย Cord sign, Uterine sign, และสายสะดือไม่เคลื่อนตามการโกยของมดลูกแล้ว ให้ผู้ทำคลอดใช้มือที่ถนัดคลึงมดลูกให้หดตัวจนแข็งเต็มที่2) เมื่อมดลูกหดรัดตัวแข็งแล้ว ให้จับมดลูกให้อยู่ในอุ้งมือนั้นโดยหงายมือ เอานิ้วทั้งสี่สอดเข้าไปทางหลังของยอดมดลูก ส่วนนิ้วหัวแม่มืออยู่ทางด้านหน้าของมดลูก แต่ไม่ให้บีบมดลูก3) เมื่อจับมดลูกดังกล่าวแล้วให้ใช้อุ้งมือดันมดลูกส่วนที่หดตัวแข็งลงมาที่ทาง Promontory ของกระดูก Sacrum คือกดลงที่มุม 30 องศากับแนวดิ่ง 4) เมื่อรกผ่านช่องคลอดออกมา ให้ใช้มือที่เหลือรองรับไว้ และเปลี่ยนมือที่ดันมดลูกมาโกยมดลูกส่วนบนขึ้น เมื่อรกผ่านปากช่องคลอดออกมา ใช้มือทั้งสองข้างรองรับรกและจับรกหมุนไปรอบ ๆ ทางเดียวต่อเนื่องกัน
2 Brandt-Andrews Maneuver วิธีการช่วยเหลือการคลอดรกตามวิธีของ Brandt-Andrews
1) ทดสอบการลอกตัวของรกว่ารกลอกตัวสมบูรณ์ โดยใช้มือที่ไม่ถนัดจับสายสะดือให้ตึง ใช้มือที่ถนัดโกยมดลูกสวนขึ้นไปทางสะดือ ถ้ารกลอกตัวสมบูรณ์แล้ว มือข้างที่จับสายสะดือไว้จะไม่รู้สึกว่าสายสะดือถูกรั้งขึ้นไป 2) ทำคลอดรก โดยใช้มือที่ถนัดดันมดลูกส่วนบนขึ้นไปเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนมากดที่บริเวณท้องน้อยเหนือรอยต่อกระดูกหัวหน่าว ดันลงล่าง จนเห็นรกโผล่ที่ปากช่องคลอด มือที่ดันมดลูกเปลี่ยนไปดันมดลูกส่วนบนขึ้นไป มือที่จับสายสะดือห้ามดึงเป็นอันขาดขณะที่อีกมือดันมดลูกอยู่จนเมื่อเห็นรกโผล่ที่ปากช่องคลอดแล้วมือที่จับสายสะดือจึงช่วยดึงรกออกมาได้ หากเยื่อหุ้มทารกบางส่วนยังไม่คลอด อาจใช้มือทั้งสองข้างจับรกหมุนจนเยื่อหุ้มทารกคลอดครบ
3 Controlled cord traction เป็นการดึงสายสะดือเพื่อให้รกคลอดออกมา
1) ทดสอบว่ารกลอกตัวสมบูรณ์แล้ว 2) ใช้มือที่ไม่ถนัดคลึงมดลูกส่วนบนให้แข็งและดันมดลูกส่วนบนขึ้นไปทางสะดือ มิให้เคลื่อนลงมา มือที่ถนัดที่จับสายสะดือดึงลงก่อนแล้วดึงเอารกและเยื่อหุ้มทารกหลุดออกมา
การตรวจรก
ลักษณะของรก
รกมีลักษณะกลมแบนหรืออาจเป็นรูปรี รกที่ครบกำหนดจะมีความกว้างประมาณ15 - 20 ซม. และมีความหนาประมาณ 2 - 3 ซม. มีน้ำหนักประมาณ 500 กรัม หรือประมาณ 1/6 - 1/5 ของน้ำหนักตัวทารก
รกมี 2 ด้าน คือ ด้านมารดา (maternal surface) และด้านทารก (fetal surface)
รกด้านมารดา คือ ด้านที่ติดกับผนังมดลูก เมื่อรกคลอดออกมาแล้วจะเห็นก้อนเลือดติดอยู่ ปกคลุมด้วย Decidua บาง ๆ สามารถฉีกขาดได้ง่าย มองเห็นเป็นก้อน ๆ แต่ละก้อนเรียกว่า Cotyledon ประมาณ 15 – 20 cotyledons มีร่องที่เรียกว่า Placental sulcus เกิดขึ้นจากการฉีกขาดของแผ่น decidua ที่แทรกอยู่
1.2 รกด้านเด็ก มีสีเทาอ่อนและเป็นมันเนื่องจากมีเยื่อหุ้มทารกชั้น amnion คลุมอยู่ ด้านนี้มีสายสะดือติดอยู่ด้วย ซึ่งปกติติดอยู่ตรงกลาง chorionic plate หรือค่อนไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
เยื่อหุ้มทารก (Fetal Membranes)
1 ชั้น Chorion เป็นเยื่อชั้นนอกที่ติดกับผนังมดลูก
2 ชั้น Amnion คือ เยื่อหุ้มทารกชั้นใน เป็นเยื่อที่ห่อหุ้มตัวทารก สายสะดือและน้ำคร่ำไว้ติดอยู่กับรกด้านเด็ก
สายสะดือ (Umbilical cord)
ปกติสายสะดือจะมีความยาวประมาณ 35 - 100 ซม. หรือโดยเฉลี่ย 50 ซม. บิดเป็นเกลียว ทำให้สายสะดือไม่หักพับ ถ้ามีการงอของสายสะดือเกิดขึ้น อันจะเป็นการทำให้ทารกขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ จะมองเห็นเส้นเลือดบนสายสะดือ ซึ่งโดยทั่วไปจะมี 3 เส้น คือ Vein 1 เส้น และ Artery 2 เส้น
ตำแหน่งการเกาะของสายสะดือบนรก
ปกติสายสะดือเกาะบน Chorionic plate แบ่งได้เป็น 3แบบ
1 Insertio centralis หรือ Central insertion สายสะดือติดอยู่กลาง Chorionic plate
2 Insertio lateralis หรือ Lateral insertion สายสะดือติดไปทางด้านใดด้านหนึ่งบน Chorionic plate
3 Insertio marginalis หรือ Marginal insertion สายสะดือจะติดอยู่ที่ริมขอบรก ทำให้มองดูเหมือนแรกเก็ต รกที่มีสายสะดือเกาะเช่นนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า Battledore placenta
https://administer.pi.ac.th/uploads/eresearcher/upload_doc/2016/academic/1452168934153843001489.pdf