Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
จิตเวช, นางสาว ดารารัตน์ ชูทอง เลขที่ 42 36/1 612001042 นางสาว เบญจมาพร…
จิตเวช
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดและการสื่อสารเพื่อการบำบัด
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด ช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจในตัวพยาบาลและมีการเรียนรู้ในการที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความคิดและพฤติกรรมที่ผิดปกติไปคืนสภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติและให้ความร่วมมือในการรักษา
ระยะการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด แบ่งเป็น 4
๑. ระยะก่อนการสนทนา (Preinteracting phase
๑. ๑ เตรียมตัวให้ชัดเจนในด้านเป้าหมายของการสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
๑. ๒ วางแผนการสนทนาในแต่ละครั้งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การสนทนาสถานที่เวลาและให้ข้อมูลต่าง ๆ กับทีมผู้รักษาได้ร่วมรับรู้
๑. ๔ พยาบาลควรตรวจสอบสภาพด้านร่างกายและจิตใจของตนเองให้มีความพร้อมในด้านความคิดและความรู้สึกในการเข้าไปสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
๑. ๓ ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วยเกี่ยวกับแผนการรักษาที่ผ่านมาปัญหาที่เคยเกิดขึ้นและภูมิหลังบางประการเช่นอาชีพสถานภาพการสมรส
๒. ระยะเริ่มสนทนา (Initiation or orienting phase)
๑. การเตรียมสถานที่และบรรยากาศให้น่าไว้วางใจ
๒. เมื่อพบหน้ากันควรกล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตรพูดคุยเรื่องทั่วไปก่อนแนะนำตัวมาจากไหนบอกวัตถุประสงค์บอกบทบาทหน้าที่เพื่อเพิ่มความไว้วางใจในตัวพยาบาล
๓. กำหนดของตกลงในการสร้างสัมพันธภาพเช่นวัตถุประสงค์ระยะเวลาที่สนทนาระยะเวลาที่ดูแล
๕.การค้นหาหรือระบุปัญหาที่แท้จริงเช่นการเสริมให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกค้นหาความคิดความเชื่อต่อปัญหาที่เกิดขึ้นการสนองตอบต่อปัญหาหรือความกังวลที่เกิดขึ้น
๔. สร้างความไว้วางใจโดยแสดงถึงการยอมรับความเข้าใจการเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ป่วยความสม่ำเสมอไวต่อความรู้สึกการรับฟังทั้งคำพูดและการกระทำ
๓. ระยะแก้ไขปัญหา (Working phase)
๒. ค้นหาสาเหตุปัญหาหรือสิ่งที่มากระทบการดำเนินชีวิตโดยให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกและพยาบาลต้องรับฟังยอมรับเข้าใจและติดตามเรื่องราวต่างของผู้ป่วย
๓. ประเมินการเจ็บป่วยว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้างกับชีวิต
๔. ร่วมกับผู้ป่วยในการวิเคราะห์หาสาเหตุและกลไกของปัญหาต่าง ๆ วิธีแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงพฤติกรรมให้เหมาะสม
๕. สนับสนุนด้านจิตใจเช่นการให้เวลาให้กำลังใจให้ข้อมูล
๑.รักษาสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด
๔. ระยะยุติสัมพันธภาพ (Terminating phase)
๑.การเตรียมผู้ป่วย
๑.๑โรงพยาบาลแต่ต้องยุติสัมพันธภาพ เพราะนักศึกษาหมดระยะเวลาในการฝึกปฏิบัติงานหรือพยาบาลย้ายไปอยู่ตึกอื่นควรทำดังนี้
๑. ๑. ๒ บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าอาการอะไรที่ดีขึ้นของผู้ป่วยว่ามีอะไรบ้างรวมทั้งอาการที่ยังต้องแก้ไขหรือปัญหาอะไรบ้างที่ได้แก้ไขไปแล้วและปัญหาอะไรบ้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
๑. ๑. ๓ บอกถึงประโยชน์ที่นักศึกษาได้รับจากการสนทนากับผู้ป่วยและประเมินถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับจากการสนทนากับนักศึกษาพยาบาล
๑. ๑. ๔ ประเมินความรู้สึกของผู้ป่วยต่อการยุติสัมพันธภาพ
๑. ๑. ๕ บอกแหล่งที่ผู้ป่วยสามารถขอความช่วยเหลือได้เช่นเจ้าหน้าที่ของหอผู้ป่วยหรือนักศึกษาพยาบาลในกลุ่มใหม่ที่มาฝึกปฏิบัติงานที่หอผู้ป่วย
๑. ๑. ๑ ควรบอกให้ผู้ป่วยทราบถึงระยะเวลาที่นักศึกษาจะยุติสัมพันธภาพกับผู้ป่วยล่วงหน้าซึ่งนักศึกษาควรบอกกับผู้ป่วยตั้งแต่วันแรกว่านักศึกษาจะมาสนทนากับผู้ป่วยนานเท่าไรและบอกผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ
๑. ๒ในกรณีที่ผู้ป่วยกลับบ้าน ควรมีการเตรียมตัวผู้ป่วยกลับบ้านดังนี้
๑. ๒. ๒ แนะนำข้อปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ
๑. ๒. ๑ บอกถึงอาการของผู้ป่วยที่ดีขึ้นและอาการของผู้ป่วยที่ต้องแก้ไข
๒. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการสร้างสัมพันธภาพเช่นผู้ป่วยมีความคิดและความรู้สึกอย่างไรหรือผู้ป่วยได้รับอะไรบ้างจากการสนทนา
๔. ประเมินปฏิกิริยาของผู้ป่วยในระยะยุติสัมพันธภาพและให้เวลาผู้ป่วยได้บอกความรู้สึก
๓. สำหรับพยาบาลควรสรุปในส่วนที่ได้ร่วมแก้ปัญหากับผู้ป่วยโดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวผู้ป่วยพร้อมกับส่งเสริมความมั่นใจในความสามารถที่จะช่วยตนเองของผู้ป่วย
๕. ยุติหรือสิ้นสุดสัมพันธภาพในรูปแบบของวิชาชีพโดยบอกผู้ป่วยให้ชัดเจนและเตรียมผู้ป่วยให้สามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัดมีรายละเอียดดังนี้
๒. เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดระบายความคิดความรู้สึก
๓. เทคนิคการส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
๔. เทคนิคที่ช่วยพยาบาลกับผู้ป่วยเข้าใจให้ตรงกัน
๕. เทคนิคช่วยส่งเสริมความเข้าใจในการปรับตัวผู้ป่วยเทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัด
๑. เทคนิคการกระตุ้นและส่งเสริมการสนทนา
เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัด มี
1.Using broad Opening Statement เป็นการใช้คำพูดกว้างๆโดยใช้คำถามง่ายๆเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเลือกหัวข้อในการสนทนา
Using general lead เป็นการใช้คำพูดหรือแสดงออกว่าพยาบาลกำลังฟัง สนใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด
3.Restating เป็นการพูดทวนเนื้อหา อาจจะทวนซ้ำทั้งหมดหรือเฉพะที่สำคัญ
4.Questioning เป็นการตั้งคำถามทั่วไปเพื่อเปิดประเด็นการสนทนาและรวบรวมข้อมูล
การสื่อสารเพื่อการบำบัด (Therapeutic Communication)
๒. ท่านั่ง (seating) ท่านั่งและท่าทีของผู้สนทนาเป็นการสื่อความหมายในลักษณะหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกถึงความไม่เชื่อถือ ความเกรงใจ ความอึดอัดใจจนบางครั้งทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าเปิดเผยความคิดความรู้สึกของตน ดังนั้นท่านั่งที่เหมาะสมควรเป็นท่าที่ผ่อนคลายและทั้งสองฝ่ายสามารถมองเห็นคู่สนทนาได้อย่างชัดเจนและสิ่งที่ควรระวังคือไม่ควรนั่งเผชิญหน้ากันเนื่องจากทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัด
๓. ระยะห่างระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย (space) การจัดระยะห่างให้เหมาะสมบางครั้งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความคิดหวาดระแวงหรือการควบคุมอารมณ์โกรธไม่เหมาะสมระยะห่างของการสนทนาอาจต้องมีมากขึ้นหรือในกรณีที่การสนทนาดำเนินไปในระยะหนึ่งผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกโดยการปรับระยะห่างให้มีความใกล้ชิดมากขึ้น
๔. เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัด พยาบาลควรทำความเข้าใจและฝึกฝนให้เกิดเป็นทักษะเพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๑.สถานที่ (place or setting) ควรเป็นสถานที่ซึ่งไม่พลุกพล่านปราศจากสิ่งรบกวนและมีความเป็นส่วนตัว บรรยากาศควรมีความสบายปลอดโปร่งไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัดเพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลายไว้วางใจสามารถระบายความคิดความรู้สึกของตน
-เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดระบายความคิดความรู้สึก
1.Reflecting เป็นการกล่าวซ้ำสะท้อนความคิด ความรู้สึกโดยใช้คำพูดใหม่ที่มีความหมายเดิม
2.Accepting / listening เป็นการยอมรับผู้รับบริการและสิ่งที่ผู้รับบริการพูด อาจแสดงออกด้วยท่าทางน้ำเสียงหรือคำพูด เช่นการพยักหน้าการฟังโดยไมโต้แย้ง
Sharing observation เป็นการบอกในสิ่งที่พยาบาลสังเกตเห็น เกี่ยวกับตัวผู้รับบริการให้ผู้รับบริการทราบ
4.Using silence เป็นการที่ผู้ป่วยคิดไตร่ตรองและพูดความรู้สึกตนเอง พยาบาลจะสังเกตพฤติกรรมผู้ป่วย
5.Giving information เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นจริง
6.Presenting reality เป็นการให้ความจริงแก่ผู้ป่วยในกรณีที่ผู้ป่วยมีความคิดหรือการรับรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริง
ปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพ
๑.ด้านพยาบาลจะเกิดความรู้สึกเศร้าเพราะเกิดความรู้สึกผูกพันกับผู้ป่วยเป็นห่วงผู้ป่วยกลัวไม่มีใครเข้าใจผู้ป่วยกลัวผู้ป่วยจะไม่หายหรือกลัวว่าผู้ป่วยจะมีอาการทางจิตกลับเป็นซ้ำ
๒. ด้านผู้ป่วยจะมีปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพกับพยาบาลดังนี้
๒. ๑ไม่ยอมรับการยุติสัมพันธภาพ (Denial) ขอที่อยู่เพื่อที่จะติดต่อทางจดหมายขอรูปพยาบาลไว้ดูต่างหน้าขอไปเยี่ยมที่บ้าน
๒. ๒ไม่ยอมรับในตัวพยาบาล (Reject) ผู้ป่วยมองการยุติสัมพันธภาพของพยาบาลว่าพยาบาลไม่ยอมรับผู้ป่วยทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจึงแสดงออกโดยการไม่ยอมรับในตัวพยาบาล
๒. ๓ โกรธและไม่เป็นมิตร (Anger and hostility) เช่นการไม่มาพบพยาบาลตามเวลาที่นัดหมายการพูดคุยแบบผิวเผิน
๒. ๔ มีพฤติกรรมถดถอย (Regression) อาจมีการป่วยมากขึ้นเพื่อที่พยาบาลจะได้ดูแลเขาต่อไป
๒. ๕ มีความรู้สึกเศร้า (grief) ที่พยาบาลจะต้องจากไป การเตรียมตัวผู้ป่วยล่วงหน้าจะช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับการยุติสัมพันธภาพได้
เทคนิคการส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
1.Giving recognition เป็นการแสดงความจําและระลึก เช่น จำอาหารโปรดของผู้ป่วยได้
2.Listening เป็นการฟัง เช่น สบตา มีท่าทางที่สนใจ
3.Offering self เป็นการเสนอตนเองเพื่อรับฟังปัญหา ให้การช่วยเหลือหรืออยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยในยามที่ผู้ป่วยรู้สึกไม่ดี / เศร้าหวาดกลัว
4.positive reinforcement. เป็นการให้แรงเสริมทางบวก เช่น ทำงานได้เสร็จแล้วปรบมือให้
เทคนิคที่ช่วยพยาบาลกับผู้ป่วยเข้าใจให้ตรงกัน
1.Canifying เป็นการขอคำอธิบายเพิ่มเติมในกรณีที่ผู้ป่วยพูดคลุมเครือ
2.Verbalization implied thought and feeling เป็นการที่ผู้ป่วยตระหนักถึงความรู้สึกตนเองในเมื่อผู้ป่วยพูดเป็นนัยๆให้พยาบาลเข้าใจเอง เราควรสอบถามความรู้สึกที่แท้จริงก่อน
Validating เป็นการตรวจสอบความรู้สึกของผู้ป่วย เช่น คุณติดต่อญาติได้แล้ว
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
๑. การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัดทางจิตการพยาบาลผู้ที่มีความเจ็บป่วยทางจิตมีเป้าหมายเพื่อให้การช่วยเหลือและแก้ไขให้ผู้ป่วยมีความคิดและการกระทำที่เหมาะสมและกลับมาอยู่ในขอบเขตของความเป็นจริงพยาบาลจิตเวชจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญพยาบาลต้องเข้าใจในมโนมติพื้นฐาน ๓ ประการคืออัตตาอัตมโนทัศน์และความตระหนักรู้ในตนเอง
๒. อัตมโนทัศน์ self concept) เป็นความคิดการรับรู้และการประเมินผลที่บุคคลมีต่อตนเอง
๒. ๒ ตัวตนส่วนบุคคล (personal self) หมายถึงการรับรู้คุณค่าของตนเองเป็นความรู้สึกที่บุคคลที่เกี่ยวกับตนเองทั้งด้านความเชื่อความคาดหวังค่านิยมอุดมการณ์ปณิธานในชีวิตเป็นต้นอัตมโนทัศน์ส่วนบุคคลเหล่านี้มีผลต่อการดำเนินชีวิตความรู้สึกมีคุณค่าและความเชื่อมั่นในตนเองอัตมโนทัศน์ส่วนบุคคลแบ่งออกเป็น ๔ ด้าน
๒. ๒. ๒ ตัวตนด้านความสม่ำเสมอแห่งตน (self-consistency) เป็นความรู้สึกหรือการรับรู้ในลักษณะประจำตัวบางอย่างของตัวเองซึ่งมีลักษณะคงที่เช่นรับรู้ว่าตนเองเป็นคนหงุดหงิดง่ายใจเย็นและรู้ว่าตนเองเป็นมานานแล้วและขณะนี้ก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่
๒. ๒. ๓ตัวตนด้านปณิธานหรือความคาดหวัง (ideal self or self expectation) เป็นความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติเกี่ยวกับตนเองตามที่ตนเองปรารถนาจะเป็นบุคคลจะตั้งความคาดหวังไว้ว่าอยากจะเป็นอย่างไร
๒. ๒. ๑ ตัวตนด้านศีลธรรมจรรยา (moral-ethical sel) เป็นการรับรู้เกี่ยวกับถูกผิดที่บุคคลประเมินตนเองจากการกระทำที่สอดคล้องหรือฝ่าฝืนค่านิยมทางศีลธรรมจรรยาที่ตนเอและยึดถืออยู่ในใจ
๒. ๒. ๔ ตัวตนด้านการยอมรับนับถือตนเอง (self esteem) เป็นความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับคุณค่าของตนเองในหลายๆด้านบุคคลจะประเมินตนเองโดยเปรียบเทียบคุณค่าที่ตนเองรับรู้ว่าตนเองมีอยู่หรือเป็นอยู่
๒. ๑ ตัวตนด้านร่างกาย (physical self) หมายถึงการรับรู้เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง ได้แก่ การรู้จักตนเองทางสรีรภาพตามความเป็นจริงที่ตนเองเป็นอยู่เช่นเตี้ยสูงขาวอ้วนผอมเป็นต้นการรับรู้ความสามารถในการทำหน้าที่ของร่างกายและความสามารถในการควบคุมการทำหน้าที่ของร่างกาย
๓. ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self awareness) เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกตัวของตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ณ ขณะนั้นรู้ว่าตนเองเป็นใครคิดและรู้สึกอย่างไรกำลังทำอะไรอยู่และผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรความตระหนักในตนเองจึงเป็นการมีสติรับรู้ตนเองในปัจจุบันขณะเป็น here and now
๓.๑การตระหนักรู้ในตนเองในฐานะบุคคลเพราะบุคคลมีความแตกต่างกันมีลักษณะเฉพาะตนเองเช่นเจตคติความรู้สึกความคิดความต้องการที่แตกต่างกันทั้งทางด้านจิตใจด้านร่างกายด้านสังคมและด้านจิตวิญญาณ
๓. ๒การตระหนักรู้ในฐานะวิชาชีพ เช่นสัมพันธภาพระหว่างเพื่อร่วมวิชาชีพระดับความจริงใจและความทุ่มเทในวิชาชีพทัศนคติต่อวิชาชีพความรู้และทักษะทางการพยาบาลจิตเวชความสำคัญในการใช้การตระหนักรู้ในตนเองเพื่อการบำบัดทางจิตและการสร้างสัมพันธภาพภาพเพื่อการบำบัดในการพยาบาลสุขภาพจิต
๑. อัตตาหรือความเป็นตัวตนของตนเอง (self) หมายถึงส่วนรวมทั้งหมดของบุคคลทั้งทางด้านร่างกายความคิดความรู้สึกความเชื่อค่านิยมและพฤติกรรมที่บุคคลนั้นเป็นอยู่หรือมีอยู่ตามความเป็นจริง.
คุณสมบัติที่จำเป็นในการใช้ตนเองเพื่อการบำบัดการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดและการสื่อสารเพื่อการบำบัด
๑ และศักยภาพที่จะจัดการกับปัญหาต่างคุณค่าในตนเองเห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเอง
๓. ให้การยอมรับแต่ไม่ได้หมายถึงการยอมรับในพฤติกรรมของผู้ป่วยการยอมรับแสดงได้หลายวิธีและให้ความสนใจในพฤติกรรมที่ผู้ป่วยแสดงออก
๔.ท่าที่อบอุ่นเป็นการแสดงออกทางท่าทางมากกว่าแสดงออกทางคำพูดซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพยาบาลทุกคนพยาบาลจิตเวชต้องตระหนักว่าการแสดงท่าที่อบอุ่นโดยพยาบาลต้องวางตัวเสมือนเป็นพี่เลี้ยงของผู้ป่วยทักทายเมื่อพบกันเข้าใจความรู้สึกขณะที่ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมต่างๆ
๕. ความจริงใจจิตเวชจำเป็นต้องเน้นมากบุคคลอื่นพยาบาลควรแสดงความจริงใจในการให้บริการอย่างเป็นธรรมชาติ
๖. ความสอดคล้องความหมายกับผู้ป่วยจิตเวชพยาบาลไม่พูดตรงกับความเป็นใจจริงพยาบาลต้องแสดงทั้งคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องกัน
๗. ความอดทนพัฒนาตนเองพยาบาลต้องอดทนที่จะศึกษาผู้ป่วยติดตามดูแลความก้าวหน้าของผู้ป่วยอดทนไม่ได้หมายว่าไม่ทำอะไรหรือไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแต่คือความสนใจการให้กำลังใจและการให้ผู้ป่วยเป็นตัวของตนเองโดยพยาบาลเป็นผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
๙. เชื่อถือได้ (Trustworthiness การมีลักษณะของความน่าเชื่อถือหรือความน่าไว้วางใจซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลเกิดความไว้วางใจโดยเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชส่วนมากมีพื้นฐานขาดความไว้วางใจผู้อื่นความไว้วางใจแสดงได้โดยแสดงความรับผิดชอบไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วย
๑๑. มีความรู้ (Knowledge) พยาบาลต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจสาเหตุกลไกการเจ็บป่วยทางจิตและพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาของผู้ป่วยรวมทั้งมีความรู้ในการนำกระบวนการพยาบาลมาวางแผนการพยาบาลเพื่อดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมและเป็นองค์รวม
๑๒. มีความสม่ำเสมอ (Consistency) ทั้งด้านอารมณ์และพฤติกรรมทั้งต่อบุคคลต่อการปฏิบัติงานทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและมีความเชื่อถือ
๒. ไม่ตัดสินผู้อื่นมาตรฐานสังคมของพยาบาลไปตัดสินพฤติกรรมหรือการกระทำของผู้ป่วยหรือผิดดีหรือเลว
๘.ให้ความเคารพ (Respect) เมื่อพยาบาลพิจารณาว่าบุคคลมีคุณค่ามีศักดิ์ศรีและมีศักยภาพในตัวของตนเองพยาบาลจะแสดงถึงความเคารพโดยเรียกชื่อผู้ป่วยอย่างถูกต้องให้เกียรติกับผู้ป่วยโดยการยอมรับในการแก้ปัญหาของผู้ป่วย
๑๐. การเปิดเผยตัวเอง (Self-disclosure) มีทักษะในการเปิดเผยตัวเองในขอบเขตวิชาชีพพยาบาลสามารถบอกความรู้สึกความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวเองให้ผู้ป่วยรับรู้ได้การเปิดเผยตัวอย่างเหมาะสมจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการให้ผู้ป่วยเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองและกล้าที่จะสำรวจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
ประโยชน์ที่ได้จากการตระหนักรู้ตนเอง (Self-awareness
๑. ทำให้ทราบถึงความคิดความรู้สึกอารมณ์ทัศนคติและพฤติกรรมต่องานที่ทำขณะนั้นและสามารถควบคุมความเครียดได้ตลอดจนสามารถรักษาระดับความเครียดให้อยู่ในภาวะปกติ
๒. ทำให้ติดต่อกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะพยาบาลสามารถติดต่อกับผู้ป่วยด้วยความเข้าใจและเป็นไปในรูปแบบของการบำบัดได้
๓. สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะรู้ตัวอยู่ทุกขณะในการทำงาน
๕. สามารถปรับตัวให้เข้ากับงานคนสิ่งแวดล้อมได้ความสำคัญในการใช้การตระหนักรู้ในตนเองเพื่อการบำบัดทางจิตและการสร้างสัมพันธภาพภาพเพื่อการบำบัดนั้นเป็นกระบวนการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่พยาบาลใช้ตนเองเพื่อเป็นสื่อในการบำบัดโดยใช้สัมพันธภาพทางวิชาชีพขณะติดต่อสื่อสารเพื่อบำบัดทางจิตทำให้ผู้ป่วยเกิดการเรียนรู้และสามารถติดต่อกับบุคคลอื่นได้มีสุขภาพกายและจิตดีขึ้น
๔. ทำให้เป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงานและดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
การเพิ่มการตระหนักรู้ตนเอง
๒. รับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่นโดยการที่ตัวเราต้องเปิดใจกว้างที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่เขาวิเคราะห์วิจารณ์พฤติกรรมของเราในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่นการแต่งกายการปฏิบัติต่อผู้อื่นหรือการแสดงออกของความรู้สึกต่างพยาบาลควรหาโอกาสรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นต่อตัวเราหาโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ร่วมงานในการวิเคราะห์ว่าทำไมจึงเกิดพฤติกรรมเช่นนั้นรวมถึงการพิจารณาปฏิกิริยาของผู้อื่นที่ปฏิบัติต่อตัวเรา
๓. การเปิดเผยตนเองโดยการบอกความรู้สึกความต้องการของตนเองที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในด้านความคิดเห็นค่านิยมความเชื่อและข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ
๑. เพื่อพิจารณาตนเองโดยการให้เวลาตนเองในการพิจารณาความคิดอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองที่อาจมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้อื่นพยายามเรียนรู้พฤติกรรมของตัวเองให้มากที่สุดเพิ่มการรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราโดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กระทบอารมณ์อย่างมากควรตรวจสอบว่าทำไมสถานการณ์นั้นมีผลต่ออารมณ์และความคิดของเรา
นางสาว ดารารัตน์ ชูทอง เลขที่ 42 36/1 612001042
นางสาว เบญจมาพร ชมชื่น เลขที่ 62 36/1 612001063
คำถาม คืออยากให้อาจารย์สรุปจุดเด่นของแต่ละการบำบัดจิตเวชด้วยตัวเอง แต่ละข้อมีความแตกต่างกันยังไง