Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ :fire: - Coggle Diagram
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ :fire:
สตรีเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรสและมีตั้งครรภ์จะมีอาการและอาการแสดงบางอย่างเกิดขึ้นภายหลังการมีเพศสัมพันธ์สตรีทั่วไปมักเกิดความสงสัยว่าตนเองอาจตั้งครรภ์หรือในสตรีที่ต้องการมีบุตรมากอาจเกิดจินตนาการและมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เหมือนกับหญิงที่ตั้งครรภ์เรียกว่าการตั้งครรภ์เทียม (pseudo pregnancy) ซึ่งการที่จะสรุปหรือวินิจฉัยว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้นต้องทำด้วยความรอบครอบโดยอาศัยการประเมินอาการและอาการแสดงต่างๆที่เกิดขึ้นข้อมูลเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงที่ใช้สำหรับวินิจฉัยการตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น 3 ระดับโดยเรียงจากความแม่นยำน้อยที่สุดไปหามากที่สุดคืออาการและอาการแสดงที่สงสัยว่าอาจตั้งครรภ์อาการหรืออาการแสดงที่บ่งชี้ว่าน่าจะตั้งครรภ์และอาการหรืออาการแสดงที่บ่งชี้ว่ามีการตั้งครรภ์ (จันทกานต์กาญจนเวทางกูล, 2551)
อาการหรืออาการแสดงที่บ่งชี้ว่ามีการตั้งครรภ์ (Positive signs of pregnancy)
. 1. การเต้นของหัวใจทารก (Fetal heart movement) สามารถตรวจสอบได้จาก 1) การฟังเสียงเต้นของหัวใจผ่านทางหน้าท้องด้วย stethoscope โดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งจะเริ่มได้ยินเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 17 สัปดาห์และเมื่ออายุครรภ์ 19 สัปดาห์จะสามารถฟังเสียงหัวใจทารกเต้นได้ทุกคนซึ่งมีอัตราการเต้นระหว่าง 120-160 ครั้งต่อนาที 2) การใช้ Doppler ultrasound เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงพุ่งเข้าหาหลอดเลือดของทารกที่กำลังมีการไหลเวียนเลือดและคลื่นจะสะท้อนเป็นคลื่นเสียงกลับเข้าสู่เครื่องแปลงสัญญาณเสียงอีกต่อหนึ่งวิธีนี้สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10-12 สัปดาห์เป็นต้นไป
การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ (Fetal movement) เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่เกิดจากการรับรู้ของมารดาแต่ได้จากการตรวจพบของผู้เชี่ยวชาญซึ่งจะเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์โดยใช้มือสัมผัสกับหน้าท้องแล้วคอยรับความรู้สึกเมื่อทารกชิ้น
การตรวจพบทารกโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอดจะตรวจพบถุงที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (gestational c) ในโพรงมดลูกได้ตั้งแต่ 16 วันหลังปฏิสนธิส่วนการตรวจทางหน้าท้องจะพบได้ช้ากว่า
ภาพเงากระดูกทารกการตรวจพบเงากระดูกทารกในภาพรังสี (X-ray) ซึ่งมักเริ่มเห็นหลังอายุครรภ์ 16 สัปดาห์แต่ในทางปฏิบัติการวินิจฉัยการตั้งครรภ์โดยวิธีนี้ไม่ใช้กันแล้วเนื่องจากอาจเกิดอันตรายต่อทารกโดยเฉพาะในช่วงที่ทารกยังเป็นตัวอ่อน (ermbryo) ปกติจะใช้การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแทนซึ่งปลอดภัยกว่าและตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ
อาการและอาการแสดงที่สงสัยว่าอาจตั้งครรภ์ (Presarmtive evidences of pregnancy)
ได้แก่ 1. 1. การขาดระดู (Armenorrhea) ประวัติเกี่ยวกับระตูเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยการตั้งครรภ์เพราะการตั้งครรภ์จะทำให้ไม่มีระดูโดยเฉพาะในสตรีที่มีระดูสม่ำเสมอแล้วขาดหายไปมากกว่า 4 สัปดาห์ให้คิดเสมอว่าอาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้แต่ประวัติการขาตระตูเพียงอย่างเดียวอาจทำให้การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ผิดพลาดได้ดังนั้นการซักประวัติต้องถามถึงการมีเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิดร่วมด้วยอย่างไรก็ตามประวัติระตูอาจทำให้การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ผิดพลาดได้ในกรณีต่อไปนี้การขาดระดูที่ไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์พบได้ในกรณีดังต่อไปนี้ 1) สตรีที่คุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนอาจทำให้ระดูคลาดเคลื่อนหรือขาดหายได้โดยเฉพาะหลังหยุดใช้ยาคุมกำเนิด 2) สตรีที่มีภาวะเครียดจะมีผลทำให้ขาดระดูเนื่องจากไม่มีภาวะไข่ตก 3) สตรีในระยะให้นมบุตรและยังไม่มีระดูเลยตั้งแต่หลังคลอดบุตร 4) สตรีที่เข้าสู่วัยหมดระดู (menopause) การขาดระดูจากการตั้งครรภ์แต่ทำให้เข้าใจผิดว่าไม่ได้ตั้งครรภ์พบใน 1) สตรีครรภ์แรกที่ตั้งครรภ์ก่อนมีระตูครั้งแรก (Imenarche) พบในวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุยังน้อย
2) สตรีใกล้วัยหมดระดู (premenopause) การขาตระดูครั้งแรกอาจทำให้สับสนระหว่างการเข้าสู่วัยหมดระดู (menopause) กับการตั้งครรภ์ 3) ในสตรีที่ระดมาสม่ำเสมอการมีเลือดระดครั้งสุดท้ายเร็วและน้อยกว่าปกติอาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดระดูแต่ความจริงเป็นเลือดที่เกิดจากการฝังตัวของไซโกตในเยื่อบุผนังมดลูก (implantation bleeding r heartman sign) ซึ่งเกิดจากการตั้งครรภ์แต่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดระดู heartman sign พบได้ตั้งแต่ 6 วันหลังการปฏิสนธิจนถึง 29. 35 วันหลังวันแรกของการมีระดูครั้งสุดท้าย
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม (Breast change) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ strogen, progesterone และ prolactin ซึ่งจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของท่อน้ำนม (alveoli duct) และต่อมน้ำนม (alveoli gland) ทำให้สตรีตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้ 1) เต้านมมีขนาดโตขึ้นคัดตึงเต้านมบางรายอาจมีน้ำนมเหลือง (colostum) พบเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 2-3 เดือน 2) ลานหัวนม (areola) กว้างและมีสีเข้มขึ้นทุ่ม montgomery tubercle ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเนื่องจากต่อมไขมัน (sebaceous gland) ที่กระจายอยู่บริเวณลานหัวนมโตขึ้น 3) เต้านมเทียม (secondary breast) มักพบบริเวณรักแร้หรือบริเวณ nipple line ซึ่งอาจทำให้รู้สึกปวดได้ 4) การเปลี่ยนแปลงของเต้านมดังกล่าวต้องแยกออกจากภาวะบางอย่างเช่นสตรีที่มีเนื้องอกของต่อมใต้สมองที่สร้าง prolactin หรือในรายที่กินยากระตุ้นการหลั่ง prolactin นอกจากนี้ยังพบว่าสตรีที่คิดว่าตนเองตั้งครรภ์เนื่องจากอยากมีบุตรมาก (imaginary pregnancy) ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเต้านมคล้ายกับสตรีที่ตั้งครรภ์จริง
คลื่นไส้อาเจียน (Nousea and Vomitting) การตั้งครรภ์จะรบกวนการทํางานของระบบทางเดินอาหารทำให้คลื่นไส้ผะอืดผะอมรับประทานอาหารได้น้อยสตรีตั้งครรภ์บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อย่างเดียวหรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วยเรียกว่า morning sickness พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ระหว่าง 6-12 สัปดาห์และจะเป็นอยู่นาน 6-8 สัปดาห์หลังจากนั้นแล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นแต่บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตลอดการตั้งครรภ์เรียกว่าภาวะอาเจียนไม่สงบ (hyperemesis gaidarum)
อ่อนเพลีย (Fatigue) เป็นอาการที่พบบ่อยโดยเฉพาะระยะ3เดือนแรกของการตั้งครรภ์เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์มีเมตตาบอลิสมเพิ่มขึ้นสตริงตั้งครรภ์จะรู้สึกอ่อนเพลียอยากนอนหรือนั่งพักซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะตั้งครรภ์อาการอ่อนเพลียจะรู้สึกดีขึ้นหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
ปัสสาวะบ่อย (Disterbance in urination) เกิดในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เนื่องจากมดลูกมีขนาดโตขึ้นและไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้กระเพาะปัสสาวะมีความจุลดลงจึงรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติแต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นมดลูกจะลอยพ้นเชิงกรานมาอยู่ในช่องท้องทำให้กระเพาะปัสสาวะถูกกดน้อยลงอาการปัสสาวะบ่อยก็จะดีขึ้นและจะกลับมาปัสสาวะบ่อยอีกครั้งเมื่อใกล้คลอดเนื่องจากศีรษะทารกเคลื่อนต่ำลงสู่ช่องเชิงกรานและกดเบียดกระเพาะปัสสาวะอีกครั้ง
สีผิวหนังเปลี่ยนแปลง (Skin change) เกิดจากมีการสะสมเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น (pairmentation) ซึ่งนอกจากจะพบในสตรีตั้งครรภ์แล้วอาจพบได้ในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่อ้วนมากการเปลี่ยนแปลงสีผิวหนังในสตรีที่ตั้งครรภ์ที่สังเกตได้มีดังนี้ 1) ผิวคล้ำบริเวณใบหน้าโหนกแก้มหน้าผากและจมูกลักษณะคล้ายฝ้าเรียกว่า chilossma หรือ the mask of pregnancy มักพบหลังอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ 2) หน้าท้องลาย (abdominal strine) หรืออาจมีเต้านมลายและยังพบแถบเส้นสีเข้มกลางหน้าท้อง (Linear niga) อีกด้วยเนื่องจากเป็นบริเวณที่มี melanin ที่ผิวหนังมาก
เยื่อบุช่องคลอดเปลี่ยนแปลง (Vaginal mucosa changes) สีเยื่อบุช่องคลอดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินคล้ำหรือม่วงแดง (Chadicks ign) เกิดจากมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมากและมีเลือดคั่งที่บริเวณเยื่อบุช่องคลอดนอกจากจะพบในสตรีตั้งครรภ์แล้วยังพบได้ในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดชนิด combined pill ที่มีส่วนผสมของ estrogen และ progesterone
progesterone 1. 8. รู้สึกเด็กดิ้น (Fetal movement) เป็นการรับรู้ของมารดาว่าบุตรดิ้นซึ่งการรู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้นเป็นครั้งแรกเรียกว่า quickening โดยสตรีครรภ์แรกจะเริ่มรู้สึกเมื่ออายุครรภ์ 18 20 สัปดาห์ส่วนสตรีครรภ์หลังจะรู้สึกเร็วกว่าคือเมื่ออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์จะบ่อยและแรงขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นซึ่งการรับรู้นี้จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความหนาของหน้าท้องและตำแหน่งที่รกเกาะอย่างไรก็ตามการดิ้นของทารกเป็นเพียงการรับรู้ของสตรีตั้งครรภ์ซึ่งอาจผิดพลาดได้เช่นสตรีบางรายอาจเข้าใจผิดคิดว่าการเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นความรู้สึกว่าทารกในครรภ์ตื้น
อาการหรืออาการแสดงที่บ่งชี้ว่าน่าจะตั้งครรภ์ (Probable signs of pregnancy)
การหดรัดตัวของมดลูก (Contraction) ะยะท้ายไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์มดลูกจะมีการหดรัดตัวเป็นครั้งคราวไม่สม่ำเสมอและไม่รู้สึกเจ็บปวดอาจเกิดขึ้นทุก 5-10 หรือ 20 นาทีและมีตลอดระยะของการตั้งครรภ์การหดรัดตัวแบบนี้เรียกว่า Braxton hicks contraction Braxton Hicks Contraction ไม่ใช่สิ่งที่แสดงว่ามีการตั้งครรภ์แน่นอนเพราะอาจพบในสตรีที่มีเนื้องอกของมดลูกสำหรับสตรีตั้งครรภ์ Braxton hicks contraction จะช่วยในการวินิจฉัยแยกการตั้งครรภ์ในมดลูกออกจากการตั้งครรภ์ในช่องท้อง (Abdominal pregnancy)
1 ขนาดท้องโตขึ้นขนาดของมดลูกจะโตขึ้นจนอยู่เหนือระดับรอยต่อกระดูกหัวเหน่าและสามารถคลำได้คล้ายก้อนเนื้องอกเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 12 สัปดาห์ก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อยๆทำให้ท้องมีขนาดโตขึ้นถ้ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นขนาดท้องที่โตขึ้นจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์
2 การเปลี่ยนแปลงของมดลูก (Uterine change) จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดรูปร่างและความยืดหยุ่นของมดลูกซึ่งจะตรวจพบได้จากตรวจภายในโดยการทำ bimanual examination การตรวจพบที่แสดงว่าน่าจะมีการตั้งครรภ์คือ 1) Von Fermwald 's sign คือตำแหน่งยอดมดลูกที่รกเกาะจะนุ่มลงพบเมื่ออายุครรภ์ 4-5 สัปดาห์ 2) Hegar' s sign คือมดลูกส่วนล่าง (isthmus) นุ่มมากจนสามารถกดเข้าหากันได้โดยไม่มีแรงต้านจากการทำ birmanual examination พบเมื่ออายุครรภ์ 6-8 สัปดาห์ 3) McDonald 's Sign คือตัวมดลูก (body) นุ่มมากจนสามารถหักพับตัวมดลูกทำมุมกับปากมดลูก (cerin) ได้
การเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก (Cerical change) เมื่ออายุครรภ์ 8-10 สัปดาห์ปากมดลูกจะนุ่มคล้ายริมฝีปากแทนที่จะแข็งคล้ายกระดูกอ่อนที่จมูกเหมือนขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เรียกว่า Goodell 's in นอกจากนี้บริเวณปากมดลูกจะมีเลือดมาคั่งทำให้มีสีคล้ำเรียกว่า Chadick' s sign อย่างไรก็ตามสตรีที่ไม่ได้ตั้งครรภ์แต่รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมก็อาจมีปากมดลูกนุ่มเหมือนริมฝีปากได้เช่นกัน
Balottement ประมาณเดือนที่ 4-5 ของการตั้งครรภ์ภายในโพรงมดลูกจะมีน้ำหล่อเด็กค่อนข้างมากขณะที่ทารกยังตัวเล็กอยู่ทารกในครรภ์จะเคลื่อนไหวได้สะดวกการตรวจโดยใช้ปลายนิ้วมือกดบนตัวมดลูกเร็วๆจะทำให้ทารกที่ลอยอยู่ในน้ำหล่อเด็กจมหรือถูกผลักออกไปยังส่วนล่างหลังจากนั้นทารกจะลอยหรือสะท้อนกลับมายังที่เดิมผู้ตรวจจะรู้สึกเหมือนมีก้อนมากระทบมือลักษณะเช่นนี้เรียกว่า external ballotterment แต่ถ้าใช้นิ้วมือสอดเข้าไปในช่องคลอดแล้วกดเร็วๆผ่านปากมดลูกไปยังส่วนของทารกจะทำให้ทารกลอยขึ้นข้างบนแล้วตกลงมากระทบที่เดิมมือที่สอดเข้าไปในปากมดลูกจะรู้สึกว่ามีอะไรมากระทบลักษณะเช่นนี้เรียกว่า internal ballotterment
คลำพบขอบเขตรูปร่างทารก (Outining the fetus) ในระยะปลายไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไปผู้ตรวจจะคลำขอบเขตรูปร่างของทารกได้ทางหน้าท้องโดยเฉพาะสตรีที่เคยตั้งครรภ์จะคลำได้ตั้งแต่อายุครรภ์อ่อนกว่าสตรีครรภ์แรกอย่างไรก็ตามภาวะบางอย่างเช่นเนื้องอกมดลูกบางชนิดอาจมีลักษณะเหมือนตัวทารกอาจทำให้ผู้ตรวจเข้าใจว่าคลำได้ขอบเขตรูปร่างของทารกโดยไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
การทดสอบทางฮอร์โมนได้ผสบmonoretstfregency) เป็นการตรวจหา human chorionic gonadotrophin (HCG) ระดับ HCG จะสูงสุดขณะอายุครรภ์ 10 สัปดาห์และลดลงจนคงที่เมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์การทดสอบทางฮอร์โมนเป็นการทดสอบการตั้งครรภ์ (pregnancy test) ที่ใช้บ่อยที่สุดมีการทดสอบ 2 วิธีคือ 1) การทดสอบทางชีวภาพ (Bigassay) เป็นการตรวจฤทธิ์ของ KCG ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในสัตว์ทดลองซึ่งปัจจุบันเลิกใช้วิธีนี้แล้วเพราะยุ่งยากและแม่นยำน้อยกว่า 2) การทดสอบทางอิมมูนเป็นการทดสอบปฏิกิริยาระหว่าง antibody กับ antigen ของ HCG ที่มีความจําเพาะการทดสอบทางอิมมูนเป็นที่นิยมกันมากและปัจจุบันสามารถซื้อชุดทดสอบทำเองที่บ้านคือการตรวจ agglutination inhibition โดยใช้หลัก antiger-antiserum reaction คือปฏิกิริยาของ HCG ต่อ antiserum ส่วนมากจะได้ผลเมื่อขาดระดูแล้ว 7-10 วันการทดสอบทางอิมมูนที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ immunologic Pregnancy Test ซึ่งมีวิธีทดสอบโดยนำปัสสาวะที่ต้องการทราบว่ามี HCG หรือไม่มาหยดผสมกับสารอนุภาคในชุดทดสอบที่
เคลือบด้วย HCG antiserum (HCG-antigen) ถ้าในปัสสาวะมี KCG (HCGantibody) HCG antiserum จะจับกับ HCG-antigen ในปัสสาวะจนหมดดังนั้นเมื่อหยด HCG-coste Latex ของชุดทดสอบซึ่งมี HCG-antigen จะไม่เกิดตะกอนเนื่องจาก HCGantigen ใน HCG antiserum ของชุดทดสอบถูกใช้จนหมดไปแต่ถ้าในปัสสาวะไม่มี HCG ก็จะทำให้ HCG antiserum ไม่ถูกใช้เมื่อหยด HCG-Coate latex จึงรวมตัวกันเป็นตะกอนเกิดขึ้นแม้ว่าการทดสอบทางอิมมูนเพื่อวินิจฉัยการตั้งครรภ์จะให้ผลที่น่าเชื่อถือได้สูงมากแต่อาจจะเกิดความผิดพลาดในการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ได้โดยเฉพาะในรายที่เป็นครรภ์ไข่ปลาอุก (molar pregnancy) จะให้ผลการทดสอบเป็นบวกแต่ไม่มีการตั้งครรภ์เนื่องจากโรคนี้จะทำให้มีปริมาณ HCG ในร่างกายสูงมากดังนั้นการทดสอบทางอิมมูนก็ยังไม่สามารถยืนยันการตั้งครรภ์ได้ 100%