Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดพื้นฐานในการบำบัดรักษาทางจิต, นางสาวพรภัสส์ษา ภัทรวิกรุยกุล เลขที่…
แนวคิดพื้นฐานในการบำบัดรักษาทางจิต
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
และการสื่อสารเพื่อการบําบัด
หมายถึง การใช้ทักษะการสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว่วางใจในตัวพยาบาล และให้ความร่วมมือในการรักษา
สัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วย
มีการติดต่อเกี่ยวข้องกัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาและฟื้นฟูความเจ็บป่วยทางจิตใจ
เป้าหมาย
1.ยอมรับตนเอง/ตระหนักรู้ในตนเอง
2.รู้จักตนเองดีขึ้น ทั้งความคิดและการกระทำ
3.มีการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น พึ่งพาพอสมควร
4.ปรับปรุงการกระทำของตนเอง
5.ให้โอกาสผู้ป่วยได้ระบายความรุ้สึกไม่สบายใจ
ระยะการสร้างสัมพันธภาพ
1.ระยะก่อนการสนทนา (Pre interacting phase)
1.1เตรียมเป้าหมายการสร้างสัมพันธภาพ
1.2วางแผนการสนทนา สถานที่ วันเวลาข้อมูลของผู้ร่วมทีม
1.3ศึกษาข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับแผนการรักษา ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น
1.4ตรวจสอบสภาพร่างกาย/จิตใจของตนเองให้พร้อม
2.ระยะเริ่มต้นของสัมพันธภาพ (Initiating phase)
ปัญหาที่พบในระยะนี้
1.ความวิตกกังวล ผู้ป่วยกังวลว่าพยาบาลเป็นคนแปลกหน้า มีพฤติกรรมได้แก่ การบิดมือ การสั่นขา เสียงที่พูดรัวและเร็ว
2.การทดสอบ ผู้ป่วยมักทดสอบขอบเขตของสัมพันธภาพ ว่าพยาบาลต้องการอะไร เช่น การไม่มาพบพยาบาลตามนัด การมาสาย
3.การต่อต้าน มีพฟติกรรมแสดงออกได้แก่ บอกพยาบาลว่าไม่อยากพบ ไม่เปิดเผยตนเอง
สิ่งที่พยาบาลควรปฏิบัติ
1.เตรียมสถานที่/บรรยากาศให้ไว้วางใจ
2.กล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร แนะนำตัว บอกบทบาทหน้าที่
3.กำหนดข้อตกลงในการสร้างสัมพันธภาพ เช่น ระยะเวลา วัตถุประสงค์
4.สร้างความไว้วางใจ การเข้าใจ/การยอมรับและการเคารพ
5.ระบุปัญหาที่แท้จริง
3.ระยะแก้ไขปัญหา (working phase)
สิ่งที่พยาบาลควรปฏิบัติ
3.ประเมินผลกระทบจากการเจ็บป่วย
4.ร่วมกันกับผู้ป่วยวิเคราะห์หาสาเหตุ วิธีการแก้ไข
2.ค้นหาสาเหตุของปัญหา
5.ให้กำลังใจ ให้ข้อมูล
1.รักษาสัมพันธภาพ
ข้อบ่งชี้
พูดออกนอกเรื่องน้อย
พูดถึงเหตุการณ์ในอดีตให้พยาบาลฟัง
ผู้ป่วยมาตรงเวลา
ปัญหาที่พบในระยะนี้
2.มีความรุ้สึกร่วมกับผู้ป่วย (symphathy) ไม่สามารถแยกความรุ้สึกตนเองออกมาได้
3.การถ่ายความรุ้สึกของผู้ป่วยไปถึงพยาบาล (Transference) มีทั้งความรู้สึกทางบวกและทางลบ
1.ความวิตกกังวลของพยาบาล
4.การถ่ายโยงความรู้สึกของพยาบาลไปสู่ผู้ป่วย (Counter transference) มีทั้งทางบวกและทางลบ
4.ระยะยุติสัมพันธภาพ (Termination phase)
มีขั้นตอน ดังนี้
1.การเตรียมผู้ป่วย
บอกระยะเวลายุติให้ทราบล่วงหน้า ตั้งแต่วันแรกที่สนทนา
บอกอาการที่ดีขึ้นของผู้ป่วยและอาการที่ยังต้องแก้ไข
ประเมินความรุ้สึกของผู้ป่วย
บอกแหล่งที่ผู้ป่วยสามารถขอความช่วยเหลือได้
บอกประโยชน์ที่ได้รับจากการสนทนา
2.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสรุปสิ่งที่เกิดขึ้น ได้รับอะไรจากการสนทนา
3.สรุปส่วนที่ได้ร่วมกันแก้ไข้
4.ประเมินปฏิกิริยาของผู้ป่วย
5.เตรียมผู้ป่วยให้เผชิญกับปัญหา
การสื่อสารเพื่อการบำบัด มีองค์ประรกอบดังนี้
1.สถานที่ ควรคำนึงเป็นสิ่งแรก ไม่มีคนพลุกพล่าน มีความเป็นส่วนตัว
2.ท่านั่ง ลักษณะทำมุม 45 องศา โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
3.ระยะห่างระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย ระยะสำหรับการปรึกษา คือ 4-12 ฟุต
4.เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัด
4.1เทคนิคการกระตุ้น/การส่งเสริมสนทนา
4.2เทคนิคกระตุ้นให้พูดระบายความคิด
4.3เทคนิคส่งเสริมให้รุ้สึกมีคุณค่าในตนเอง
4.4เทคนิคช่วยพยาบาลกับผู้ป่วยเข้าใจตรงกัน
4.5เทคนิคส่งเสริมความเข้าใจในการปรับตัว
เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัด มีดังนี้
1.เทคนิคการกระตุ้นและการส่งเสริมการสนทนา
using broad opening statement
การใช้คำพูดกว้างๆ คำถามง่ายๆ ให้ผู้ป่วยเลือกหัวข้อการสนทนา
using general lead
.ใช้คำพูดที่แสดงออกถึงความสนใจและอยากให้ผู้ป่วยถามต่อ
Restating
การพูดทวนเนื้อหา อาจทวนซ้ำทั้งหมดหรือเฉพาะข้อความสำคัญ
Questioning
การตั้งคำถามทั่วไป เปิดประเด็นการสนทนาและนวบรวมข้อมุล
2.เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยผู้ระบายความคิดความรุ้สึก
Reflecting (feel/content)
การสะท้อนความคิด/ความรู้สึกโดยใช้คำพูดใหม่แต่ความหมายเดิม
Accepting /listening
การยอมรับผู้ป่วยด้วยท่าทาง น้ำเสียง
Sharing observation
พยาบาลบอกในสิ่งที่สังเกตเห็น
Using silence
ผู้ป่วยคิดไตร่ตรองและพูดความรุ้สึกของตน
Giving information
การให้ข้อมุลจริง
Presenting reality
การให้ความจริงแก่ผู้ป่วย ในกรณีที่รับรู้ที่ผิดไปจากความจริง
3.เทคนิคการส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
Giving recognition
แสดงความจำและระลึกได้
Listening
การฟัง
Offering self
การเสนอตนเองเพื่อรับฟังปัญหา ให้การช่วยเหลือ
Positive reinforcement
การให้แรงเสริมทางบวก
4.เทคนิคที่ช่วยพยาบาลกับผู็ป่วยเข้าใจให้ตรงกัน
Clarifying
การขอคำอธิบายเพิ่มเติม ในกรณีคลุมเครือ/ความหมายไม่ชัดเจน
Verbalization implied thought and feeling
การตระหนึกถึงความรุ้สึกของตนเองเมื่อผู้ป่วยพูดเป็นนัย
Validating
การตรวจสอบความรุ้สึกของผู้ป่วย
5.เทคนิคช่วยส่งเสริมความเข้าใจในการปรับตัวผู้ป่วย
Exploring
การสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูล/ปัญหา เพื่อที่จะทำความเข้าใจมากขึ้น
Focusing
มุ่งความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
Encouraging evaluation
การให้ผู้ป่วยประเมินสถานการณ์ที่เคยเผชิญ
Encouraging formulation of a plan of action
สนับสนุนให้ผู้ป่วยวางแผนในอนาคต
Summarizing
การสรุปเนื้อหาด้วยคำพูดสั้นๆ เมื่อสิ้นสุดการสนทนา
หลักปฏิบัติในการสื่อสาร มีดังนี้
1.ฟังว่าผู้ป่วยพุดถึงอะไร/หมายความว่าอะไร
2.ไม่เสนอข้อมูลมากไป
3.ไม่พูดถึงอดีตที่ปวดร้าว
4.สื่อสารเรื่องราวที่เป็นปัจจุบัน
5.ใช้หลักสื่อสารให้ผู้ป่วยมีโอกาสระบายความรู้สึก
6.ใช้หลักที่ง่าย ชัดเจน ตรงไหตรงมา
7.ใช้คำพูด สีหน้า ท่าทางให้สำคัญกับคำพูด
อุปสรรคในการสื่อสาร มีดังนี้
1.ใช้เทคนิคการสนทนาไม่เหมาะสม
2.การดำเนินวิธีการสื่อสาร เช่นพยาบาลไม่ฟัง หรือพูดมาก/น้อยเกินไป
3.สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม
4.ข้อจำกัดของอาการผู้ป่วย
5.ท่านั่งที่แสดงถึงความไม่สนใจ
6.ระยะห่างระหว่างบุคคลมาก/น้อยเกินไป
ปัญหาการสร้างสัมพันธภาพและการแก้ไข ตัวอย่างเช่น
1.ผู้ป่วยไม่มาตามนัด
ตามหาผู้ป่วย
นัดหมายใหม่
เตือนผู้ป่วยล่วงหน้าก่อนวันนัด
จดวัน เวลาให้ผู้ป่วย
2.ผู้ป่วยมาตามนัด แต่มาช้าประจำ
พยาบาลรอผู้ป่วยตามที่นัด
พิจารณาว่าผู้ป่วยรู้จักเวลา/สถานที่หรือไม่
จบการสนทนาตามเวลาที่กำหนดไว้
3.พยาบาลเป็นฝ่ายช้า/ขอเปลี่ยนเวลา
ขอโทษและให้เหตผล
นัดหมายใหม่ให้เหมาะสม
แจ้งผู้ป่วยโดยตรง
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
เป้าหมาย
เพื่อให้การช่วยเหลือและแก้ไข
ให้ผู้ป่วยมีความคิดและการกระทำที่เหมาะสม
และกลับมาอยู่ในขอบเขตของความเป็นจริง
เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลก
ของความเป็นจริงและคืนสู่สุขภาวะที่ดีขึ้น
มโนมติพื้นฐาน
อัตมโนทัศน์
แบ่งอัตมโนทัศน์
ตัวตนด้านร่างกาย
หมายถึงการรับรู้เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง
ตัวตนส่วนบุคคล
หมายถึงการรับรู้คุณค่าของตนเอง
แบ่งได้
ตัวตนด้านความสม่ำเสมอแห่งตน
ตัวตนด้านปณิธานหรือความคาดหวัง
ตัวตนด้านศีลธรรมจรรยา
ตัวตนด้านการยอมรับนับถือตนเอง
เป็นความคิดการรับรู้และการประเมินผลที่บุคคลมีต่อตนเองซึ่ง
อาจจะตรงกับความเป็นจริงหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
ความตระหนัก รู้ในตนเอง
ประกอบด้วย
การตระหนักรู้ในตนเองในฐานะบุคคล
การตระหนักรู้ในฐานะวิชาชีพ
เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกตัว ของตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ณ ขณะนั้นรู้ว่าตนเองเป็นใครคิดและรู้สึกอย่างไรกำลังทำอะไรอยู่
และผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ความตระหนักในตนเอง
จึงเป็นการมีสติรับรู้ตนเอง
อัตตาหรือความเป็นตัวตนของตนเอง
หมายถึงส่วนรวมทั้งหมดของบุคคลทั้งทางด้าน
ร่างกายความคิดความรู้สึกความเชื่อค่านิยม
และพฤติกรรมที่บุคคลนั้นเป็นอยู่หรือมีอยู่ตามความเป็นจริง
แนวทางในการตระหนักรู้ตนเอง
รับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น โดยการที่ตัวเราต้อง
เปิดใจกว้างที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของ
ผู้อื่นที่เขาวิเคราะห์ วิจารณ์ พฤติกรรมของเรา
ในสถานการณ์ต่าง ๆ
การเปิดเผยตนเอง โดยการบอกความรู้สึก
พิจารณาตนเอง โดยการให้เวลาตนเอง
นางสาวพรภัสส์ษา ภัทรวิกรุยกุล เลขที่ 1 36/2 612001081
นางสาวสิรินทิพย์ เหล่าสมบูรณ์ เลขที่ 38 612001119