Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การปฏิรูประบบบริการสาธารณสุข - Coggle Diagram
การปฏิรูประบบบริการสาธารณสุข
ประเทศไทย 🇹🇭
การปฏิรูประบบสุขภาพที่เกิดขึ้นในสังคมไทยนั้นเรียกได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนแม่บทความคิดเรื่องสุขภาพเสียใหม่ ที่สำคัญคือ การขยายกรอบคิดเรื่องสุขภาพจากที่เน้น ชีวะการแพทย์หรือการเน้นอวัยวะและความเจ็บป่วยของแต่ละบุคคลไปสู่สุขภาวะที่กินความกว้างไปถึงมิติทางสังคม วัฒนธรรม และปัญญา
หลักการสำคัญของพระราชบัญญัติสิทธิสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550
สุขภาพไม่ใช่โรคและการรักษา แต่หมายถึงสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย จิต ปัญญา และสังคม เชื่อมโยง เป็นองค์รวมอย่างสมดุลการดูแลสุขภาพมีความหมายกว้างกว่าการเจ็บป่วยทางกายและทางใจโดยรวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่และสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุขด้วยการปรับจากระบบสุขภาพแบบตอบรับความเจ็บป่วยมาเป็นระบบแบบรุกสร้างสุขภาพที่ดีหรือ “สร้างรำซ่อม” ที่เน้นการดูแลป้องกันสุขภาพมากกว่ารักษาความเจ็บป่วย
สุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ มีสิทธิ์รับ/ไม่รับบริการและการคุ้มครองดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึง และมีหน้าที่ปกป้อง ดูแลตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมใหม่สุขภาพดี
จัดตั้งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ จัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบ สุขภาพแห่งชาติเพื่อใช้เป็นกรอบทิศทางของระบบสุขภาพแห่งชาติมีเครื่องมือพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมได้แก่สุขภาพการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพและกลไกคณะกรรมการต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงการทำงานทั้งภาควิชาการการเมือง และสังคมเข้าด้วยกัน
สถาบันด้านสุขภาพ :กลไกสำคัญของการปฏิรูประบบสุขภาพไทย
คือ 5 ส. ได้แก่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
(สวรส.) สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติกลายมาเป็น(สปรส.)
(สช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(สสส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สปสช.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
แม้จะมีบทบาทและภารกิจต่างกันแต่สถาบันทางสุขภาพข้างต้นต่างยึดเอายุทธศาสตร์สามเหลี่ยมเขยอื่น ภูเขาเป็นแนวทางในการปฏิรูประบบสุขภาพให้สำเร็จ
การปฏิรูประบบสุขภาพที่สำคัญ 5 ประการ
1.การปฏิรูประบบสร้างเสริมสุขภาพการป้องกันโรคและภัยคุกคามสุขภาพเน้นส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนนำหลักการ ”ห่วงใยสุขภาพในทุกนโยบาย” หรือ Health in All Policy ไปแปลงสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม และพัฒนาระบบงานและแงค์กรที่ทำงานด้านระบาดวิทยา
2.การปฏิรูประบบบริการ
เน้นพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ เชื่อมกับระบบบริการระดับอำเภอ และ ระบบบริการสุขภาพระยะยาว จัดวางแผนระบบบริการสุขภาพของประเทศที่ครอบคลุมทั้งรัฐ เอกชน และภาคส่วนอื่นๆ (health service plan) ทบทวนนโยบาย ความเป็นเลิศด้านบริการสุขภาพในภูมิภาคเอเชียเพื่อลดผลกระทบต่อการบริการคนไทยส่งเสริมการแพทย์แผนไทยการแพทย์ทางเลือกและภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.ปฏิรูประบบสร้างและพัฒนาบุคลากรสุขภาพ
โดยให้ความสําคัญกับการวางแผนการผลิตและพัฒนาคนทุกสาขาทั้งเชิงปริมาณ คุณภาพ การกระจาย ลดความเลื่อมล้ำในการจัดบริการและในระหว่างวิชาชีพ เพิ่มบุคลากรที่ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมให้มีปริมาณ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆอย่างสมดุล สร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมทางวิชาชีพ และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้ให้บริการ
4.ปฏิรูประบบการเงินการคลังและระบบหลักประกัน และระบบหลักประกันสุขภาพ
เน้นการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรคและการจัดการ และการจัดการภัยคุกคามสุขภาพปรับปรุงระบบประกันสุขภาพของทุกกองทุนให้มีประสิทธิภาพมีอภิบาลแบบมีส่วนร่วม แบบมีส่วนร่วมดูแลให้เกิดความยั่งยืน การครางเกิดการคลังเกิดความเสมอภาคและมีมาตรฐานเท่าเทียมกันพัฒนาระบบหลักประกันให้ ให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกคนที่ ที่อยู่บนพื้นแผ่นดินไทยและพัฒนาระบบบริหารกองทุนภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และ พ.ร.บ. กองทุนเงินทดแทน
5.ปฏิรูปการอภิบาลระบบสุขภาพและการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ
โดยให้ความสำคัญกับการอธิบายแบบเครือข่าย (governance by network) เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้บูรณาการการทำงานร่วมกันจนเกิดประสิทธิภาพและความโปร่งใสลดการรวมศูนย์อำนาจอภิบาลระบบสุขภาพโดยรัฐลง เน้นการกระจายอำนาจและทรัพยากรให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองได้มากขึ้นปรับสถานบริการของรัฐให้บริหารจัดการได้คล่องตัวเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการประชาชนกำหนดแผนและขั้นตอนถ่ายโอน สถานพยาบาลสู่ท้องถิ่นและปรับเปลี่ยนสถานพยาบาลที่เป็นราชการไปเป็นสถานบริการของรัฐที่บริหาร
สหรัฐอเมริกา 🇺🇸
ระบบประกันสุขภาพ โอบามาแคร์
ระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร มีเป้าหมายสําคัญคือ ขยายการคุ้มครองการประกันสุขภาพแก่คนอเมริกัน ราวๆ 9% ของประชากร ทั้งหมดคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับการประกันสุขภาพจากนายจ้างหรือไม่ได้รับการ คุ้มครองจาก โครงการ Medicare สําหรับคนสูงอายุหรือโครงการ Medicaid สําหรับคนยากจน
โอบามาแคร์มีลักษณะสําคัญ 3 ประการ
ประการที่ 1
คนอเมริกัน 32 ล้านคนที่ไม่มีระบบประกันสุขภาพ กฎหมาย Affordable Car Act ให้คนเหล่านี้สามารถ เข้าถึง โครงการ Medicaid รวมทั้งช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและคนทั่วไปสามารถซื้อประกันสุขภาพ
ประการที่ 2
คนสูงอายุตามโครงการ Medicare สามารถตรวจสุขภาพฟรี และค่ายาจะได้รับการอุดหนุนจากรัฐ
ประการที่ 3
คนอเมริกัน 176 ล้านคนที่มีประกันสุขภาพโดยบริษัทที่ทํางานอยู่ บริษัทประกันไม่มีสิทธิปฏิเสธการรับประกันคนที่มีปัญหาสุขภาพการ ประกันสุขภาพของพนักงาน จะครอบคลุม ถึงบุตรของพนักงาน ไป จนถึงอายุ 26 ปีเพราะเหตุนี้ New York Times จึงกล่าวว่า โอบามา แคร์เป็นการ โจมตีครั้งใหญ่ของรัฐบาลกลางต่อความเหลื่อมลํ้าทาง เศรษฐกิจ
โมเดลประกันสุขภาพของประเทศต่างๆ
โมเดลการบริการสาธารณสุขของประเทศต่างๆมีอยู่ 4 แบบ ดังนี้
1.Bismarck Model ในระบบนี้การบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องกา รดําเนินงานโดยเอกชนแต่ผ่านระบบการประกันสุขภาพที่ นายจ้าง และลูกจ้างร่วมกันรับผิดชอบจ่ายค่าธรรมเนียมการประกันสุขภาพมี ลักษณะเป็นการดําเนินงานที่ไม่แสวงหากําไรสถานบริการทางแพทย์ เป็น ของเอกชนโรงพยาบาลจํานวนมากก็เป็นของเอกชนแต่รัฐมี ระเบียบควบคุมอย่างเข้มงวดในเรื่องค่าบริการทําให้โมเดลนี้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบริการสาธารณสุข
2.Beveridge Model การบริการสาธารณสุขเป็นการดําเนินการโดยรัฐค่าใช้จ่ายมาจาก ภาษี อากรจึงไม่มีใบเสร็จค่าบริการใดๆกับคนไข้คําขวัญของระบบ ของ อังกฤษจึงมีอยู่ว่า “ไม่มีใบเสร็จใด ณ จุดบริการ”
โรง พยาบาลส่วนใหญ่จะเป็นของรัฐบุคลากรด้านการแพทย์เป็นเจ้า หน้าที่รัฐหากเป็นสถานบริการของเอกชนก็ส่งใบเสร็จไปเก็บเงินจาก รัฐระบบนี้จะมีค่าดําเนินการต่อหัวตํ่าเพราะรัฐเป็นคนจ่าย ทําให้ สามารถควบคุมค่าบริการระบบบริการสาธารณสุขจึงดําเนินไปใน แบบสังคมนิยม (socialize)
3.โมเดลการประกัน สุขภาพแห่งชาติ
คือ ระบบผสมระหว่าง Bismarck Model กับ Beveridge Model ผู้ให้บริการทางการ แพทย์มาจากภาคเอกชนแต่คนที่รับผิดชอบค่าใช้จ่าย เป็นบริษัทประกันสุขภาพของรัฐที่ ประชาชนทุนคนจะต้องจ่ายเงินสมทบเป็นค่าประกันสุขภาพระบบนี้ค่อนข้างดําเนินงาน ด้วยต้นทุนค่า ใช้จ่ายที่ไม่แพงเพราะไม่ได้แสวงหากําไร ไม่ต้องไปโฆษณาสรรพคุณ ต่างๆ การบริหารงานก็ไม่ซับซ้อน เพราะรัฐเป็นคนซื้อบริการรายใหญ่รายเดียว จึงมีอํา นาจต่อรองกับสถานบริการเอกชน
4.โมเดลใครป่วย คนนั้นจ่าย ประเทศที่ยากจนในโลกรัฐไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายการรักษา พยาบาลแก่คนจํานว
นมาก ทําให้ไม่มีระบบประกันสุขภาพแก่ประชาชน ประชาชนส่วนใหญ่จะแบกรับค่าใช้ จ่ายการรักษาพยาบาลเองคนที่มี ฐานะจะสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์คนส่วน ใหญ่ในชนบทอาจไม่เคยได้พบแพทย์เลยในชีวิตหรืออาจรักษากับหมอในหมู่บ้านอาศัย การรักษาโดยใช้ยาสมุนไพรในท้องถิ่น ที่อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลใน การรักษาโรค
ประเทศแคนาดา🇨🇦
การปฏิรูประบบสุขภาพในประเทศแคนาดาต้องการนำเสนอรูปแบบ ระบบสุขภาพของประเทศแคนาดา พัฒนาภายใต้กรอบหลักการ︎ประการ
1.การบริหารจัดการโดยภาครัฐ
2.การให้บริการที่ครอบคลุมครบถ้วน
3.การให้บริการที่ครอบคลุมทั่วหน้า
4.การเข้ การเข้าบริการถึงได้ง่าย
5.สามารถรับบริการในที่ต่างๆ
รวมทั้งต่างประเทศได้โดยที่ระบบประกันสุขภาพยังให้การคุ้มครอง งานบริการสุขภาพ ในประเทศแคนาดาให้โดยภาคเอกชนดำเนินการเป็นหลักส่วนด้านเงินสนับสนุนโดย ภาครัฐโดยใช้ระบบฐานภาษีเก็บเงินเข้ากองทุนการจ่ายเงินให้แก่ผู้ให้บริการเป็นแบบ fee-for-service สำหรับงานบริการที่ไม่ได้อยู่ในชุดบริการพื้นฐานผู้รับบริการต้อง ประกันเอกชนคุ้มครองด้วยตนเองระบบการให้บริการมีแพทย์เวชปฏิบัติ ทั่วไป(generalpractitioner,GP)เป็นผู้ให้บริการหน้าด่านค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพส่วน ใหญ่ลงทุนไปกบักบุคลากรสุขภาพเพื่อที่จะลดค่าใช้จ่าย
ระบบพยายามสนับสนุนการใช้บุคลากรสุขภาพข้างเคียงต่างๆ ที่มีการลงทุนการพัฒาต่ำกว่าการลงทุนพัฒนาแพทย์รวมทั้งแพทยเ์ฉพาะทางและพยายามลดอัตราการการเพิ︎มขึ้นของแพทย์สำหรับระบบการประเมิน เทคโนโลยีสุขภาพจะใช้ค ณะกรรมการของรัฐช่วยในการตัดสินใจต่อการลงทุนเทคโนโลยีและการกระจายเพื่อให้เกิดการใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดขณะที่ระบบการคุ้มครองผู้บริโภคมีองค์กรต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ในหลายระดับเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดกบักทุกฝ่ายการปฏิรูปต้องอาศัยการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องและที่สำคัญ
หลักการความทัดเทียมกันต้องเป็นหลักการที่ทำให้เกิดขึ้นจริงในทุกๆ ส่วนของการปฏิรูป
ระบบประกันสุขภาพของประเทศแคนาดา
แคนาดามีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งรัฐบาลสหพันธรัฐ หรือรัฐบาลกลางเป็นผู้กำหนดนโยบายและข้อกำหนดการส่วนรัฐบาลของแต่ละจังหวัดเป็นผู้กำหนดรายละเอียดและบริหารระบบประกันสุขภาพ
-ระบบประกันสุขภาพของแคนาดาอาศัยการบริการรับระดับปฐมภูมิโดย general practitioner เป็นหลัก (คิดเป็น % ของแพทย์ทั้งหมดในแคนาดา) ซึ่งระบบประกันสุขภาพเป็นหน้าด่านสำหรับการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเช่นความรักษากับประเทศแคนาดา แพทย์เฉพาะทางการรักษาตัวในโรงพยาบาล การรักษาด้วยยาตามใบสั่งแพทย์ การตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นต้น
-แพายที่ทำงานเอกชนจะได้รับค่าตอบแทนแบบ fee-for-services โดยส่งเบิกเงินจากโปรแกรมประกันสุขภาพของจังหวัดหรือแคว้นได้โดยตรงส่วนแพทย์ที่ทำงานในสถานบริการอื่นๆมักได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนโรงพยาบาลเกือบทั้งหมดของแคนาดาดำเนินการแบบเอกชนที่ไม่มุ่งหวังกำไร
-ในปีในปีพ.ศ. 2000 มีการประมาณการว่าประชาชนกว่า 98% มีประกันสุขภาพแบบใดแบบหนึ่งอยู่อาจเป็นของรัฐหรือเอกชนก็ตาม ส่วนมากประชากรอีก 2% ที่ไม่มีประกันสุขภาพใดๆทั้งสิ้นแก่ประชาชนที่อยู่ห่างไกลโดยเฉพาะในแถบ Atlantic ซึ่งอาจต้องเผชิญปัญหาเมื่อเจ็บป่วยและมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพแพง
-ระบบประกันสุขภาพหลักของแคนาดาหรือที่รู้จักในนาม “Medicare” เป็นระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ (Publicly financed health care system) ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลและการรับบริการจากแพทย์ตาม Canada Health Act แต่ไม่ครอบคลุมการใช้ยานอกสถานพยาบาล
-จากการที่รัฐดูแลค่ายาในสถานพยาบาลเป็นหลักทำให้ประมาณ 75% ของประชากรรวมถึงลูกจ้างและครอบครัวอยู่ภายใต้ระบบประกันสุขภาพเอกชนที่นายจ้างซื้อประกันสุขภาพให้ลูกจ้างหรือที่ผู้ประกันต้องซื้อประกันสุขภาพเอกชนด้วยตนเองเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อความสิทธิ์ประโยชน์ด้านยานอกสถานพยาบาล
ชุดสิทธิประโยชน์ด้านยาจากรัฐบาล
รัฐบาลเป็นหน่วยงานที่บริหารชุดสิทธิประโยชน์ด้านยาของแคนาดา โดย DrugProgramBranch ซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งภายใต้กระทรวงสาธารณสุข(The Ministry of Health and Long-Term Care) จะเป็นผู้บริหาร จัดการชุดสิทธิประโยชน์ด้านยาของแต่ละ จังหวัดซึ่งรวมถึงการจัดทำบัญชีรายการยาและราคายา
ชุดสิทธิประโยชน์ด้านยาภายใตร้ระบบประกันสุขภาพเอกชน ประกันสุขภาพเอกชนมักถูกออกแบบมาเพื่อเป็นส่วน
เสริม หรือช่วยเติมเต็มให้แก่ประกันสุขภาพภาครัฐบาล ประกันสุขภาพ เอกชนนี้มักครอบคลุมค่ายา ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ค่ าททันต กรรม ค่ารักษาตา และการรักษาโดยบุคลากรทาง การแพทย์อื่นๆ
ประเทศญี่ปุ่น 🇯🇵
การปฏิรูประบบสาธารณสุขในประเทศญี่ปุ่น(Japan)
ญี่ปุ่นมีพระราชบญัญัติประกนั สุขภาพ(Health Insurance Act) ตั้งแต่ พ.ศ.2465︎︎︎︎และมีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่พ.ศ.︎︎︎︎2470และใช้เวลาอีกราว︎︎34ปีจึงสามารถแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวให้เป็น พระราชบัญญัติสุขภาพ "แห่งชาติ" ให้ประชาชนทั่วประเทศมีหลักประกันถ้วนหน้าตั้งแต่พ.ศ.2504︎︎︎︎ซึ่งตรงกับปีแรกของแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของประเทศไทยจากนั้นก็มีการ"พัฒนา ระบบ" อย่างต่อเนื่องได้แก่การเริ่ม"ระบบการ ดูแลสุขภาพผู้
สูงอายุ ”(Elderly Health Care System) เมื่อพ.ศ.︎︎︎︎ 2526โดยผู้ดูระบบดูแลที่ระบบบริการสุขภาพ
เมื่อพบว่าค่าใช้จ่ายการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุสูงมากจึงเริ่มสร้าง "ความ ยั่งยืน" ให้แกระบบ โดยการตรากฎหมาย ใหม่"ระบบประกันการ ดูแลระยะยาว" (Long-term Care Insurance System) เมื่อปี︎︎︎︎ 2543 และ พบว่า กลุ่มคนสูงอายุที่อายุมากกว่า75ปีเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลสุขภาพและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงเริ่มมี "ระบบ ประกันสุขภาพ
สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน75ปี" (HealthInsurance System for the aged over 75)เมื่อพ.ศ.︎︎︎︎2551
ปัจจุบันญี่︎ปุ่นมีระบบประกันสุขภาพ แก่ประชากรแบ่งเป็น︎5กลุ่ม
1.ระบบประกันสุขภาพผู้มีอายุเกิน75ปี
2.”ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ" ทำหน้าที่ดูแลผู้ประกอบการรายย่อยผู้รับบำนาญและผู้ทำงาน
3."สมาคมประกันสุขภาพญี่ปุ่น"(Japan Health Insurance Association) ดูแลพนักงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อย ︎
4.”สมาคมประกันสุขภาพ" (Health Insurance Societies) ดูแลพนักงานในบริษทขนาดใหญ่ ︎
5.”สมาคมสิทธิประโยชน์"(Benefit Societies) ดูแลข้าราชการและครอบครัว
ปัจจัยระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ ของญี่ปุ่น
1︎.สามารถครอบคลุมประชากรไดทั้งประเทศ
2︎.ประชาชนสามารถเลือกไปใช้บริการที่ไหนก็ได้ตามความพึงพอใจ
3︎.บริการทางการแพทย์มีคุณภาพสูง โดยสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายจนถือได้ว่ามีราคา "ไม่แพง" เพราะใช้งบประมาณเพียง ︎9.5% ของจีดีพี
4.มาตรฐานการบริการถือเป็น "มาตรฐานเดียว" ทั่วประเทศโดยรัฐมีการใช้งบประมาณจากภาษีอากรสนับสนุน (Subsidy) เพื่อให้ สามารถครอบคลุมประชากรได้ถ้วนหน้า ทั้งนี้ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมจ่ายตามกำลังความสามารถ คือจ่าย "เบี้ย
ประกัน" (Premium)และร่วมจ่ายเมื่อไปใช้บริการ(Copayment)
ประเทศอังกฤษ 🇬🇧
ระบบบริการสุขภาพของประเทศอังกฤษหรือ NHS (National Health Service) เกิด ขึ้นเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่2วันที่5︎︎กรกฏาคม︎︎︎︎เป็นระบบสวสัดิการที่พลเมืองทุกคน ได้รับความเสมอภาคเท่าเทียมกันหมดและไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ภายใต้การดูแลของ Department of Health และกฎหมาย National Health Service Act 2006
ระบบบริการจะประกอบไปด้วย
• Community Healthcare คือ การที่แพทย์และพยาบาลออกไปรักษาผู้ป่วยตาม ที่พักอาศัยของผู้ป่วยโดยตรง
•Primary Healthcare คือ ศูนย์บริการสาธารณสุขตามเขตพื้นที่ชุมชน ต่างๆ มี หมอทั่วไป พยาบาล ประจำการอยู่
•Tertiary Care คือ โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีเตียงหลายพันเตียง สามารถ รองรับผู้ป่วยได้หลายคน มีแพทย์ทั่วไป แพทย์เฉพาะทาง พยาบาล และ ทันตแพทย์
องค์กรประกอบของ NHSประกอบด้วย 3 กลุ่ม
•︎กลุ่มที่อยู่ในการบริการระดับปฐมภูมิ (Primary Care) คือ GP หรือแพทย์ประจำทันตแพทย์ เภสชักรซึ่งทำหน้าที่ ดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น
•︎แพทย์ในโรงพยาบาล
• ︎เทศบาลท้องถิ่นซึ่งในขณะนั้นดูแลการบริการสุขภาพในชุมชน เช่น Health Visitors, Antenatal Care, การฉีดวัคซีนและอื่นๆ ทั้งส่วนเป็นอิสระต่อกันและขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข
Structure of NHS 1948-1974
หลักการของNHS คือ การจัดระบบสุขภาพที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายครอบคลุมประชากร ทั้งประเทศNHSปรับปรุงตามระบบเศรษฐกิจเพื่อให้ทำวานได้อย่างมีประสิทธิภาพนับว่าเป็นเป็นองค์กีท่ีใหญ่ที︎สุดแห่งหนึ่งของโลกในทศวรรษที︎︎︎︎︎NHSได้ตอบสนองความต้องการใช้บริการโดยใช้กลไก2อย่างคือ
-ให้แพทย์ตัดสินว่าใครสมควรจะได้รับการรักษาหรือไม่
-ระบบคอย (Waiting List)วิธีนี้มีมาตั้งแต่เริ่มต้น NHS แต่ได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองในทศวรรษที่ 1990
แนวโน้มการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของ ประเทศ อังกฤษในอนาคต
จะมีการเพิ่มขีดความสามารถและข้อมูล ข่าวสารเพื่อคนไข้โดยมีโรงพยาบาล แพทย์และ พยาบาลมากขึ้น ทั้งน้ีการเพิ่มกําลังคนด้าน แพทย์ในอนาคตอาจทําได้โดยการเปิดรับ แพทย์จากนอกประเทศให้มากขึ้น เพิ่มและ ขยายโรงเรียนแพทย์หรือรับนักศึกษาแพทย์ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระยะเวลาในการรอนัดหมาย สั้นลงมีการพัฒนาการดูแลจาก สาธารณสุขเพื่อผู้ป่วยสูงอายุ
ข้อเสียของระบบบริการ สุขภาพ อังกฤษ
มีปัญหาในระยะยาวอยู่หลายประการเช่นรัฐบาลจะมีเงินเกื้อหนุนไปได้อีกนานแค่ไหน กำไรของสถาน พยาบาลจะมากเพียงพอที่จะมา ปรับปรุงสถานที่ต่างๆใหด้ีขึ้นได้หรือไม่บุคลากรทางการแพทยจะมี เพียงพอหรือไม่เป็นต้น
เป็นระบบบริการที่เบ็ดเสร็จจนเกินไปไม่สามารถยืดหยุ่นได้มีกรอบ มีระเบียบแบบแผนที่กำหนดไว้ แน่นอน เช่น หากผู้ป่วยจะไปพบแพทย์ต้องไปพบแพทย์ประจำบ้านก่อนแล้วค่อยไปพบแพทย์ เชี่ยวชาญ
ประเทศเยอรมันนี 🇩🇪
การปฏิรูประบบสุขภาพ
กรณีศึกษาประเทศสหพันธสาธารณรัฐเยอรมัน สหพันธสาธารณรัฐ เยอรมนีเป็นประเทศแรกที่ประสบความสําเร็จในการจัดหลักประกันด้าน สังคมและสุขภาพให้แก้ประชาชนด้วยระบบประกัน สังคมหรือประกันภาค บังคับ ปรัชญาและหลักการ พื้นฐานสําคัญของระบบการเมืองเยอรมันคือ ความ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสังคม (Solidarity) การ กระจา ยอํานาจและบทบาทหน้าที่ระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน
การปฎิรูปด้านการคลังของหลัก ประกันสุขภาพเยอรมนี
เยอรมนีต้องเผชิญกับต้นทุนทางสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นจนแซงหน้าการเจริญเติบโตของราย ได้ประชาชาติ โดยการรวมประเทศและการทดแทนที่ หลักประกันสุขภาพแบบคอมมิวนิสต์ ในเยอรมันตะวันออก ด้วยระบบประกันสังคมของเยอรมันตะวันตกจําเป็นต้องใช้เงินลงทุน มหาศาล นอกจากนี้ ปัญหาการว่างงานจากสภาพเศรษฐกิจตกตํ่าในช่วงกลางทศวรรษที่ 90 และการ เข้าสู่สังคมผูเสูงอายุก็ยิ่งทําให้ระบบประกันสังคมต้องเผชิญกับภาะทางการ เงินที่สูงขึ้น ทั้งนี้ความพยายามในการปฎิรูปที่ผ่านมาสามารถจําแนกตามสาระสําคัญดังนี้
1.การปฏิรูปที่มุ่งเน้นด้าน อุปสงค์(Demand-side reforms)
คือการควบคุมการใช้บริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิประโย ชน์ไม่จํากัดและปราศจากค่าใช้จ่ายโดย การนําการร่วม จ่าย การกําหนดสิทธิประโยชน์ตามหลักเหตุผลและนํา ระบบการจ่ายแบบผสมผสานสําหรับผู้ป่วยมาใช้
2.การปฏิรูปมุ่งเน้นอุปทาน
( supply – side reforms)
คือการจํากัดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในส่วนของผู้ใชเบริการ สาธารณสุขโดยการจํากัด เพดานงบประมาณสําหรับแพทย์การควบคุ มกําลังคนทางการแพทย์และระบบค่าตอบแทนตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม
3.การปฎิรูปค่าใช้จ่ายด้านยา (Drug-spending refrms)
คือการจํากัดค่าใช้จ่ายด้านยาโดยใช้ระบบกําหนดราคาอ้างอิง การตัด ราคายา และข้อบังคับด้านความเหมือน ซึ่งยายี่ห้อต่างๆที่มีตัวยาเดียวกัน แต่มีราคาแตกต่างกันสามารถนํามาสับเปลี่ยนทดแทนกันได้ทั้งนี้ นอกจากการร่วมจ่ายค่ายาของผู้ประกันตนแล้วรัฐบาลเยอรมันยังได้นำ ระบบการกําหนดราคาอ้างอิงและการตัดราคายามาใช้เพื่อกําหนดมาต ฐานของยาแต่ละชนิดให้มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น
4.การปฎิรูปบนทางเลือก(choice- based reforms)
คือการปฏิรูปโดยอาศัยกลไกทางเลือกซึ่งประกอบด้วยการชําระเงินคืน สําหรับบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกในสหยุโรปการปรับโครงสร้าง ความเสี่ยงของกองทุนผู้ป่วยและการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็นประชากร เยอรมันมีสิทธิในการรับบริการรักษา พยาบาล ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในสหภาพยุโรปโดยกองทุนประกัน สุขภาพ ต้องชําระเงินคืนแก่ผู้ป่วยที่ใช้บริการในประเทศอื่น นอกจากนี้ยังให้ ความสําคัญกับการ ประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพอีกด้วย
ประเทศสิงคโปร์ 🇸🇬
สิงคโปร์จัดระบบสาธารณสุขในด้านการรักษาให้สอดคล้องรับกับการประกันสังคมโดยรัฐบาลสิงคโปร์จัดตั้งระบบประกัน สังคมเพื่อเป็นสวัสดิการ ให้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพและเป็นกองทุนสํารองเลี้ยงชีพเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุโดยระบบประกันสังคมของสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ 1. การใช้บัญชีออมสุขภาพ (Medisave)2. ระบบประกันสุขภาพสมัครใจ (Medishield)3.ระบบสังคมสงเคราะห์(Medifund)
การปฏิรูประบบสาธารณสุขใน ประเทศ สิงคโปร์
การปฏิรูประบบสาธารณสุขในประเทศสิงคโปร์เริ่มมีการพัฒนาเต็มที่ตั้งแต่สิงคโปร์มีการเลือกตั้งรัฐบาล บริหารของตนเองเมื่อปีค. ศ. 1959 โดยการดํา เนินการทางด้านสาธารณสุขเพื่อลดปัญหาโรคระบาดโรคติดเชื้อเด็กขาดสารอาหารและการกระจายบริการทางการ แพทย์พื้นฐานระดับปฐมภูมิให้ออกไป อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นรัฐบาลสิงคโปร์จึงเริ่มจัดทําแผนสุขภาพแห่งชาติในปีพ. ศ. 1983 ด้วยชื่อ Affordable Health Care “สมุดปกขาว”
จึงได้ประกาศเป็นกฎหมายออกมาตรเพื่อแก้ปัญหาด้วยมาตรการเป็นชุดและดําเนินตามจังหวะ ความพร้อมทั้งในส่วนที่เป็นวิธีปฏิรูปการเงินการคลังท่ี เรียกว่าระบบ Melisave การบริการและการบริหารโรงพยาบาลรัฐแบบใหม่ที่เป็นอิสระดําเนินการได้เองอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรักษา สุขภาพตนเพิ่มระบบประกันสุขภาพตามความสมัครใจเพื่อครอบคลุม ปัญหาสุขภาพท่ีต้องมีค่าใช้จ่ายสูงระบบเงินออมรับภาระท่ีเรียกว่า Melishield และ มีกองทุน Medifund
ในปีค. ศ. 1990 มีการพัฒนากําลังคนด้านการ แพทย์ร่วมกับการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมท่ีเอื้อต่อ สุขภาพดีผลการปฏิรูประบบสุขภาพ พบว่า
• ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอยู่ในภาระรับผิดชอบของประชาชนภาคประชาชนใช้บริการภาคเอกชนมากขึ้นประมาณ 3 ใน 4
• รัฐรับภาระอุดหนุนน้อยลง
ด้านการปฏิรูปโรงพยาบาลรัฐนั้นประชาชนมีทางเลือกการใช้บริการที่มีความหลากหลายและราคาต่าง กันได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายและสัดส่วนบุคลากรเพื่อ การจัดการและธุรการค่อนข้างต่ำการบริการรวดเร็วขึ้น ไม่มีรายการท่ีผู้ป่วยต้องรอรับบริการรักษาเป็นเวลานานๆ ส่วนสภาวะสุขภาพของประชาชนก็พบว่า ประชาชนมีอายุยืนยาวมากข้ึน อัตราตายลดลง พฤติกรรมสูบบุหรี่ลดลง ส่วนคุณภาพชีวิตอื่นๆ ไม่มี ข้อมูลที่ชัดเจน