Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
สตรีเมื่อมีเพศสัมพันธ์ กับคู่สมรสและมีตั้งครรภ์ จะมีอาการและอาการแสดงบางอย่าง เกิดขึ้นภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ สตรีทั่วไปมักเกิดความสงสัยว่าตนเองอาจตั้งครรภ์ หรือในสตรีที่ ต้องการมีบุตรมากอาจเกิดจินตนาการ และมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เหมือนกับหญิงที่ตั้งครรภ์ เรียกว่า การตั้งครรภ์เทียม(pseudo pregnancy) ซึ่งการที่จะสรุปหรือวินิจฉัยว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น จริงหรือไม่นั้น ต้องทำด้วยความรอบครอบโดยอาศัยการประเมินอาการและ อาการแสดงต่างๆ ที่ เกิดขึ้น
- อาการหรืออาการแสดงที่บ่งชี้ว่าน่าจะตั้งครรภ์ (Probable signs of pregnancy)
2.5. Ballottement ประมาณเดือนที่ 4-5 ของการตั้งครรภ์ ภายในโพรงมดลูกจะมีน้ำ หล่อเด็กค่อนข้างมาก ขณะที่ทารกยังตัวเล็กอยู่ทารกในครรภ์จะเคลื่อนไหวได้สะดวก การตรวจโดยใช้ ปลายนิ้วมือกดบนตัวมดลูกเร็วๆ จะทำให้ทารกที่ลอยอยู่ในน้ำหล่อเด็กจมหรือถูกผลักออกไปยัง ส่วนล่าง หลังจากนั้นทารกจะลอยหรือสะท้อนกลับมายังที่เดิม
2.3.การเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก (Cervical change) เมื่ออายุครรภ์ 8-10 สัปดาห์ ปากมดลูกจะนุ่มคล้ายริมฝีปากแทนที่จะแข็งคล้ายกระดูกอ่อนที่จมูกเหมือนขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ การ เปลี่ยนแปลงเช่นนี้เรียกว่า Goodell’s sign นอกจากนี้บริเวณปากมดลูกจะมีเลือดมาคั่งทำให้มีสีคล้ำ เรียกว่า Chadwick’s sign
2.6. คลำพบขอบเขตรูปร่างทารก (Outlining the fetus) ในระยะปลายไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไป ผู้ตรวจจะคลำขอบเขตรูปร่างของทารกได้ทางหน้าท้อง โดยเฉพาะสตรีที่ เคยตั้งครรภ์จะคลำได้ตั้งแต่อายุครรภ์อ่อนกว่าสตรีครรภ์แรก อย่างไรก็ตามภาวะบางอย่าง เช่น เนื้อ งอกมดลูกบางชนิดอาจมีลักษณะเหมือนตัวทารก อาจทำให้ผู้ตรวจเข้าใจว่าคลำได้ขอบเขตรูปร่างของ ทารกโดยไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
2.1 ขนาดท้องโตขึ้น ขนาดของมดลูกจะโตขึ้นจนอยู่เหนือระดับรอยต่อกระดูกหัวเหน่า และสามารถคลำได้คล้ายก้อนเนื้องอกเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 12 สัปดาห์ ก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ท้องมีขนาดโตขึ้นถ้ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นขนาดท้องที่โตขึ้นจะสัมพันธ์กับอายุครรภ์
2.2 การเปลี่ยนแปลงของมดลูก (Uterine change) จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาด รูปร่าง และความยืดหยุ่นของมดลูก ซึ่งจะตรวจพบได้จากตรวจภายในโดยการทำ bimanual examination
2.7. การทดสอบทางฮอร์โมนได้ผลบวก(Hormone test of pregnancy) เป็นการตรวจหา human chorionic gonadotrophin (HCG) ระดับ HCG จะสูงสุดขณะอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ และ ลดลงจนคงที่เมื่ออายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์ การทดสอบทางฮอร์โมน เป็นการทดสอบการตั้งครรภ์ (pregnancy test) ที่ใช้บ่อยที่สุด มีการทดสอบ 2 วิธีคือ
- การทดสอบทางชีวภาพ (Bioassay)
- การทดสอบทางอิมมูน
2.4.การหดรัดตัวของมดลูก (Contraction) ระยะท้ายไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ มดลูก จะมีการหดรัดตัวเป็นครั้งคราว ไม่สม่ าเสมอ และไม่รู้สึกเจ็บปวด อาจเกิดขึ้นทุก 5-10 หรือ 20 นาที และมีตลอดระยะของการตั้งครรภ์ การหดรัดตัวแบบนี้เรียกว่า Braxton hicks contraction
- อาการและอาการแสดงที่สงสัยว่าอาจตั้งครรภ์ (Presumtive evidences of pregnancy)
1.6. สีผิวหนังเปลี่ยนแปลง (Skin change) เกิดจากมีการสะสมเม็ดสีเพิ่มมาก ขึ้น (pigmentation) ซึ่งนอกจากจะพบในสตรีตั้งครรภ์แล้ว อาจพบได้ในสตรีที่รับประทานยาคุมก าเนิด หรือสตรีที่อ้วนมากการเปลี่ยนแปลงสีผิวหนังในสตรีที่ตั้งครรภ์ที่สังเกตได้ มีดังนี้ 1)ผิวคล้้ำบริเวณใบหน้า โหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก ลักษณะคล้ายฝ้า 2) หน้าท้องลาย (abdominal striae) หรืออาจมีเต้านมลาย
1.5. ปัสสาวะบ่อย (Disterbance in urination) เกิดในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากมดลูกมีขนาดโตขึ้นและไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้กระเพาะปัสสาวะมีความจุลดลงจึง รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
1.3. คลื่นไส้ อาเจียน (Nousea and Vomitting) การตั้งครรภ์จะรบกวนการทำงาน ของระบบทางเดินอาหารทำให้คลื่นไส้ ผะอืดผะอม รับประทานอาหารได้น้อย สตรีตั้งครรภ์บางราย อาจมีอาการคลื่นไส้อย่างเดียว หรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วย เรียกว่า morning sickness พบได้ ประมาณครึ่งหนึ่งของสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ระหว่าง 6-12 สัปดาห์
1.7. เยื่อบุช่องคลอดเปลี่ยนแปลง (Vaginal mucosa changes) สีเยื่อบุช่องคลอด จะเปลี่ยนเป็นสีน้ าเงินคล้ าหรือม่วงแดง (Chadwick’s sign) เกิดจากมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมากและมี เลือดคั่งที่บริเวณเยื่อบุช่องคลอด นอกจากจะพบในสตรีตั้งครรภ์แล้วยังพบได้ในสตรีที่รับประทานยา คุมก าเนิดชนิด conbined pill ที่มีส่วนผสมของ estrogen และ progesterone
1.2.การเปลี่ยนแปลงของเต้านม (Breast change) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ estrogen, progesterone และ prolactin ซึ่งจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของท่อน้ำนม (alveoli duct) และต่อมน้ำนม (alveoli gland) ทำให้สตรีตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้ เต้านมมีขนาดโตขึ้น คัดตึงเต้านม, ลานหัวนม (areola) กว้างและมีสีเข้มขึ้น,เต้านมเทียม (secondary breast)
1.8. รู้สึกเด็กดิ้น (Fetal movement) เป็นการรับรู้ของมารดาว่าบุตรดิ้น ซึ่งการรู้สึก ว่าทารกในครรภ์ดิ้นเป็นครั้งแรกเรียกว่า quickening โดยสตรีครรภ์แรกจะเริ่มรู้สึกเมื่ออายุครรภ์ 1820 สัปดาห์ ส่วนสตรีครรภ์หลังจะรู้สึกเร็วกว่า คือเมื่ออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์ การเคลื่อนไหวของ ทารกในครรภ์จะบ่อยและแรงขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ซึ่งการรับรู้นี้จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความหนา ของหน้าท้อง และต าแหน่งที่รกเกาะ
1.1. การขาดระดู (Amenorrhea) ประวัติเกี่ยวกับระดูเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยการ ตั้งครรภ์ เพราะการตั้งครรภ์จะทำให้ไม่มีระดู โดยเฉพาะในสตรีที่มีระดูสม่ำเสมอแล้วขาดหายไป มากกว่า 4 สัปดาห์ ให้คิดเสมอว่าอาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้ .
1.4. อ่อนเพลีย (Fatigue) เป็นอาการที่พบบ่อยโดยเฉพาะระยะ 3 เดือนแรกของการ ตั้งครรภ์เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์มีเมตตาบอลิสมเพิ่มขึ้น สตรีงตั้งครรภ์จะรู้สึกอ่อนเพลีย อยากนอนหรือ นั่งพัก ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะตั้งครรภ์ อาการอ่อนเพลียจะ รู้สึกดีขึ้นหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์
- อาการหรืออาการแสดงที่บ่งชี้ว่ามีการตั้งครรภ์ (Positive signs of pregnancy)
3.3. การตรวจพบทารกโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ทางช่องคลอดจะตรวจพบถุงที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (gestational sac) ในโพรงมดลูกได้ตั้งแต่ 16 วัน หลังปฏิสนธิ ส่วนการตรวจทางหน้าท้องจะพบได้ช้ากว่า
3.2. การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ (Fetal movement) เป็นการเคลื่อนไหวที่ ไม่ใช่เกิดจากการรับรู้ของมารดา แต่ได้จากการตรวจพบของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ ครรภ์ 20 สัปดาห์ โดยใช้มือสัมผัสกับหน้าท้องแล้วคอยรับความรู้สึกเมื่อทารกดิ้น
3.1. การเต้นของหัวใจทารก (Fetal heart movement) สามารถตรวจสอบได้จาก
- การฟังเสียงเต้นของหัวใจผ่านทางหน้าท้องด้วย stethoscope โดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเริ่มได้ยินเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 17 สัปดาห์ และเมื่ออายุครรภ์ 19 สัปดาห์จะสามารถฟังเสียง หัวใจทารกเต้นได้ทุกคน ซึ่งมีอัตราการเต้นระหว่าง 120-160 ครั้งต่อนาที
- การใช้ Doppler ultrasound เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงพุ่งเข้าหาหลอด เลือดของทารกที่กำลังมีการไหลเวียนเลือด และคลื่นจะสะท้อนเป็นคลื่นเสียงกลับเข้าสู่เครื่องแปลง สัญญาณเสียงอีกต่อหนึ่ง วิธีนี้สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10-12 สัปดาห์ เป็นต้นไป
3.4.ภาพเงากระดูกทารก การตรวจพบเงากระดูกทารกในภาพรังสี (X-ray) ซึ่งมักเริ่ม เห็นหลังอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ แต่ในทางปฏิบัติการวินิจฉัยการตั้งครรภ์โดยวิธีนี้ไม่ใช้กันแล้ว เนื่องจาก อาจเกิดอันตรายต่อทารกโดยเฉพาะในช่วงที่ทารกยังเป็นตัวอ่อน (embryo) ปกติจะใช้การตรวจด้วย คลื่นเสียงความถี่สูงแทนซึ่งปลอดภัยกว่าและตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ