Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ขบวนการสร้างเชลล์สืบพันธุ์เพศชายและเพศหญิง - Coggle Diagram
ขบวนการสร้างเชลล์สืบพันธุ์เพศชายและเพศหญิง
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย
(Spermatogenesis)
อวัยวะที่ทำหน้าที่สร้างอสุจิ คือ อัณฑะ (testis) โดยภายในอัณฑะจะประกอบด้วย หลอดสร้างอสุจิ (seminiferous tubules) จำนวนมากมาย โดยระหว่างการเกิดอวัยวะสืบพันธุ์จะมีกลุ่มเซลล์ ชื่อ ไพรมอร์เดียล เจอร์มเซลล์ (primordial germ cell) เป็นกลุ่มเซลล์เริ่มแรก ที่เคลื่อนเข้ามาอยู่ในหลอดสร้างอสุจิของอัณฑะ มีการแบ่งตัวแบบ mitosis หลายครั้งได้เซลล์ที่เรียกว่า สเปอร์มาโทโกเนีย (spermatogonia) มากมายซึ่ง spermatogonia จะมีการจำลองโครโมโซมอีกเท่าตัว พร้อมที่จะแบ่งตัวแบบ meiosis เรียกเซลล์นี้ว่า สเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก (primary spermatocyte) ซึ่งจะแบ่งตัวแบบ meiosis ขั้นที่ 1 ได้ สเปอร์มาโทไซต์ระยะที่ 2 (secondary spermatocyte) และแบ่งตัวแบบ meiosis ขั้นที่ 2 ต่อไป จะได้ สเปอร์มาติด (spermatid) ซึ่งจะเจริญต่อไปเป็นตัวอสุจิโดยการสลัด cytoplasm ทิ้ง ที่ส่วนหัวของสเปิร์มจะมี acrosome ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจาก Golgi bodies จึงมีเอนไซม์อยู่ด้วย (hyaluronidase) ที่ส่วน Middle piece จะมี centriole 2 อัน และมี mitochondria เรียงตัวเป็นเกลียวรอบ ๆ หลอด microtubules เพื่อสร้างพลังงานให้แก่เซลล์อสุจิ
ส่วนประกอบของอสุจิ
ส่วนหัว (Head) มีลักษณะรูปไข่ ภายในมีนิวเคลียสบรรจุไว้เกือบเต็ม ทางส่วนหน้าสุดของส่วนหัวจะมีลักษณะเป็นถุง เรียกว่า อะโครโมโซม (acrosome) ซึ่งพัฒนามาจาก golgo bodies มีเอนไซม์ซึ่งสามารถย่อยสลายผนังเซลล์ของไข่ เรียกว่า ไฮยาลูโรนิเดส (hyaluronidase) หรือ ไฮโดรไลติก เอนไซม์ (hydrolytic enzyme) หรือ ไลซิน (lysin)
ส่วนลำตัว (Midpiece หรือ Middle piece) เป็นส่วนที่ต่อจากส่วนหัว มี mitochondria จำนวนมากเรียงเป็นเกลียว ทำหน้าที่สร้างพลังงานให้กับสเปิร์ม
ส่วนหาง (Tail หรือ Flagellum) เป็นส่วนของหลอดโปรตีน (microtubule)ที่ยื่นออกมาจาก เซนตริโอล มีหน้าที่พัดโบกให้สเปิร์มเคลื่อนที่ไปได้
โครงสร้างและหน้าที่ของระบบสืบพันธุ์เพศชาย
1.อัณฑะ (Testis) มี 1 คู่อยู่ภายใน ถุงอัณฑะ (Scrotum) ซึ่งถุงอัณฑะมีหน้าที่สำคัญหรือช่วยในการปรับอุณหภูมิให้เหมาะต่อการสร้างอสุจิ คือ ประมาณ 34 องศาเซลเซียส ตอนเป็นตัวอ่อน อัณฑะจะอยู่ในช่องท้อง เมื่อใกล้คลอดอัณฑะจะเคลื่อนที่ลงสู่ถุงอัณฑะ ทำให้อุณหภูมิต่ำกว่าภายในช่องท้อง 2-3 องศาเซลเซียส มีผลให้ seminiferous tubule สร้างอสุจิ
2.ถุงหุ้มอัณฑะ (Scrotum) ทำหน้าที่ห่อหุ้มลูกอัณฑะ ควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะ ในการสร้างตัวอสุจิ ตัวอสุจิเจริญได้ดี ในอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกาย ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส
หลอดเก็บตัวอสุจิ (Epidymis) อยู่ด้านบนของอัณฑะมีลักษณะเป็นท่อเล็ก ๆ ยาวประมาณ 6 เมตรขดไปมา ทำหน้าที่ เก็บเซลล์อสุจิจนเซลล์อสุจิเติบโตและแข็งแรงพร้อมที่จะปฏิสนธิ
หลอดนำตัวอสุจิ (Vas Deferens) อยู่ต่อจากหลอดเก็บตัวอสุจิ ทำหน้าที่ ลำเลียง ตัวอสุจิ ไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ
ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (Seminal Vesicle) ทำหน้าที่ สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ เช่น น้ำตาลฟรักโทส วิตามินซี โปรตีนโกลบูลิน เป็นต้น และสร้างของเหลวมาผสมกับตัวอสุจิเพื่อทำให้เกิดสภาพที่เหมาะสมสำหรับตัวอสุจิ
ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) อยู่ตอนต้นของท่อปัสสาวะ ทำหน้าที่หลั่งสารที่มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อน ๆ เข้าไปในท้อปัสสาวะ เพื่อทำลายฤทธิ์กรดในท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดสภาพ ที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ
ต่อมคาวเปอร์ (Cowper Gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก เป็นกระเปราะเล็ก ๆทำหน้าที่สร้างเมือกและหลั่งสารไปหล่อลื่นในท่อปัสสาวะ ในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศทำให้ตัวอสุจิเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง (Oogenesis)
อวัยวะที่ทำหน้าที่สร้างไข่ (ovum หรือ egg) คือ รังไข่ (ovary)โดยเริ่มจากกลุ่มเซลล์ในรังไข่ที่เรียกว่า ไพรมอร์เดียล เจอร์มเซลล์ (primordial germ cell) มีการแบ่งตัวแบบ mitosis หลายครั้ง จนได้เซลล์จำนวนมาก เรียกว่า โอโอโกเนียม(oogonium หรือ oogonia) ต่อมาเซลล์จะมีการจำลองโครโมโซม และ DNA ขึ้นอีกเท่าตัว ขยายขนาดใหญ่ขึ้น และพร้อมที่จะแบ่งเซลล์แบบ meiosis เรียกว่า ไพรมารีโอโอไซต์ (primary oocyte) หรือ โอโอไซต์ขั้นที่ 1 ต่อมาจะแบ่งเซลล์แบบ meiosis 1 ได้เซกันดารีโอโอไซต์ (secondary oocyte) ซึ่งมีขนาดใหญ่และโพลาร์บอดีขั้นที่ 1 (first polar body) ซึ่งมีนาดเล็ก และจะมีการแบ่งเซลล์แบบ meiosis 2 (เมื่อถูกปฏิสนธิ) เซลล์ขนาดใหญ่ 1 เซลล์ เรียกว่า โอโอติด (ootid) ซึ่งจะเจริญต่อไปเป็นไข่ (ovum) ส่วนเซลล์ขนาดเล็ก 3 เซลล์ เรียกว่า เซกันดารีโพลาร์บอดี (secondary polar body) ต่อมาจะสลายไป
ส่วนประกอบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
ท่อนำไข่หรือปีกมดลูก
(Oviduct หรือ Fallopian tube)
อยู่ 2 ข้างของมดลูก ปลายส่วยหนึ่งมีลักษณะเป็นกรวยปากแตร ไข่ที่สุกและหลุดออกจากรังไข่ จะผ่านเข้าไปในท่อนำไข่หรือปีกมดลูกเป็นระยะทางประมาณ 10 เซนติเมตร โดยอาศัยการหดและการคลายตัวของท่อนำไข่และการโบกของขนที่เซลล์บริเวณภายในท่อนำไข่ เพื่อรอการปฏิสนธิ
ช่องคลอด(Vagine)
เป็นส่วนหนึ่งของท่อนำไข่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปให้เหมาะสม เพื่อรับ penis ของเพศชาย พื้นในมีเยื่อเมือกอยู่ (แต่ไม่มีต่อมอยู่) เยื่อนี้จะขับสารออกมาช่วยหล่อลื่นในขณะร่วมเพศ ปกติภายในช่องคลอดมีสภาวะเป็นกรด
รังไข่ (Ovary)
รังไข่ของเด็กหญิงแรกเกิด จะมีไข่ที่ยังไม่เจริญเต็มที่ คืออยู่ในระยะโอโอไซต์ระยะแรก (primary oocyte) ประมาณ 5 แสนเซลล์
จำนวน Oocyte จะลดลงตามวัย และเมื่อหมดประจำเดือน ก็ไม่มีโอโอไซต์ที่สามารถเจริญเติมโตและไม่มีการตกไข่อีก
โอโอไซต์นี้ จะมีกลุ่มเซลล์ เรียกว่า เซลฟอลลิเคิล (follicular cell) หุ้มอยู่คล้ายถุง เรียกรวมกันว่า ฟอลลิเคิล (follicle)
มีอยู่ 2 ข้างซ้ายขวาของมดลูก อยู่ลึกเข้าไปในอุ้งเชิงกราน มีเยื่อยึดรังไข่ให้ติดกับผนังช่องท้อง (เยื่อนี้เรียกว่า mesovarium สำหรับเยื่อที่ยึดลูกอัณฑะเรียกว่า mesorchium ขนาดของรังไข่ประมาณหัวแม่มือ หนัก 2-3 กรัม รังไข่มีหน้าที่สำคัญ 2 อย่าง คือ สร้างไข่และฮอร์โมนเพศหญิง หญิงที่ถูกตัดรังไข่ออกเสียข้างหนึ่งก็ยังมีโอกาสมีบุตรได้ และมีวงจรประจำเดือนตามปกติ
มดลูก (Uterus)
ถือว่าเป็นอวัยวะที่ช่วยในการสืบพันธุ์ เปลี่ยนแปลงมาจากส่วนล่างของท่อนำไข่เพื่อทำหน้าที่เป็นที่เจริญเติบโตของทารก มดลูกมีตำแหน่งอยู่ข้างหลังของกระเพาะปัสสาวะ มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ
1) เนื้อเยื่อชั้นนอก (serosa) เป็นเยื่อบุบาง ๆ
2) เนื้อเยื่อชั้นกลาง (myometrium) เป็นกล้ามเนื้อเรียบหนา 2 ชั้น มีความยืดหยุ่นสูง สามารถขยายตัวได้หลายเท่าในระหว่างตั้งครรภ์ และจะบีบตัวให้ทารกคลอดออกมา
3) เนื้อเยื่อชั้นใน (endometrium) มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ เป็นชั้นที่มีการสร้างรก(placenta) เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนแก๊ส และอาหารให้แก่เอ็มบริโอ ผนังชั้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ยังมีประจำเดือนและสามารถรองรับการฝังตัวของเอ็มบริโอ เป็นบริเวณที่สลายหลุดลอกออกไปเป็นประจำเดือน
การเปลี่ยนแปลงในรังไข่
ระยะก่อนตกไข่ (Follicle stage) เป็นช่วงระยะเวลาจากเริ่มมีประจำเดือน ไปจนถึงมีการตกไข่ซึ่งกินระยะเวลาประมาณ 13-15 วัน ระยะนี้ฟอลลิเคิลขยายใหญ่ขึ้นและภายในจะมีไข่ 1 เซลล์ ฟอลลิเคิลที่เติบโตมีช่องว่างอยู่ภายใน จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาในระดับสูง ซึ่งมีผลไปกระตุ้นมดลูกให้ขยายใหญ่ขึ้น และมีการเจริญของเยื่อบุมดลูกโดยการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส มีเส้นเลือดเพิ่มขึ้นและสะสมของเหลวภายในเนื้อเยื่อให้มากขึ้น
ระยะตกไข่ (Ovulation stage) เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่ไข่หลุดออกจากฟอลลิเคิล ถ้านับวันแรกของการมีประจำเดือนเป็นวันที่หนึ่งของรอบ การตกไข่จะอยู่ระหว่างวันที่ 13 ถึง 15
ระยะหลังตกไข่ (Corpus luteum stage) ซึ่งถัดจากระยะตกไข่จนถึงเริ่มมีประจำเดือนเป็นเวลาประมาณ 13-15 วัน ระยะนี้ corpus luterm จะสร้างฮอร์โมน progesterone และทำหน้าที่ร่วมกับฮอร์โมน estrogen โดยไปกระตุ้นมดลูกให้มีผนังหนาขึ้น ทำให้ต่อมและเส้นเลือดที่เยื่อบุมดลูกเจริญจนเยื่อบุมดลูกกลายเป็นชิ้นเนื้อคล้ายฟองน้ำ เพื่อรอรับไข่ที่ถูกผสมแล้ว การเปลี่ยนแปลงในมดลูกนี้ต้องเกิดขึ้นก่อนที่ไข่ซึ่งถูกผสมจะมาฝังตัวที่ผนังมดลูกเพื่อเจริญเติบโตต่อไป