Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4 แบบของงานวิจัย, นางสาวพรภัสส์ษา ภัทรวิกรัยกุล เลขที่ 1 รุ่น36/2…
บทที่ 4 แบบของงานวิจัย
กรอบแนวคิดงานวิจัย
1.Conceptualization
กระบวนการสร้างมโนทัศน์จากปรากฏการณ์จริงตามธรรมชาติ
การใช้ความรุ้จากทฤษฎี/งานวิจัย มาเกี่ยวข้องในการเขียน
กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical framework)
2.Theoretical framework
การเขียนเพื่อแสดงความสัมพันธ์ การเชื่อมโยงของตัวแปร ตามหลักของทฤษฎี
การเขียนให้ครอบคลุมทุกตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
เขียนเป็น diagram
3.Conceptual framework
การเขียนตัวแปรไม่ครบ
เขียนตัวแปรเฉพาะที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ใช้คำบรรยายประกอบภาพ
การเขียนอธิบายความสัมพันธ์ ของตัวแปร และอธิบายทำไมถึงไม่เขียนตัวแปรทุกตัว
แบบจำลองสร้างขึ้นจากทฤษฎีที่มีอยุ่แล้ว เพื่อศึกษาดูว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่
การเขียน
Conceptual framework
1.กำหนดขอบเขตงานวิจัย
2.เปลี่ยนชื่อเรื่อง
3.มีตัวแปรควบคุม
4.ทำให้อยู่ในรูป inclusion criteria
วิธีการเขียน
1.ทบทวนเอกสาร/วรรณกรรมให้ทันสมัยครอบคลุม
2.สรุปความรู้/ประเด็น
3.มีเกณฑ์ในการอ่าน เพื่อให้รู้ว่าความรู้นี่เป็นอย่างไร
ข้อบกพร่องที่พบ
1.การทบทวนวรรณกรรมไม่ดีพอ
2.แสดงความสัมพันธ์ไม่ถูกต้อง
ประเภทของงานวิจัย มีดังนี้
1.แบ่งตามประโยชน์ของการนำผลงานวิจัยไปใช้
1.1การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (basic or pure research)
มุ่งสร้างทฤษฎี และผลจากการทำจะเป็นสูตร หรือทฤษฎีในการเรียนสาขานั้นต่อไป
1.2การวิจัยประยุกต์ (applied research)
นำผลวิจัยที่เกิดขึ้นไปใช้ทำงานจริง
1.3การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research)
มุ่งทำให้เกิดผลที่เป็นพัฒนาการ/แก้ไขข้อบกพร่อง มีความเฉพาะเจาะจง
2.แบ่งตามวัตถุประสงค์และวิธีการเสนอข้อมูล
2.1การวิจัยขั้นสำรวจ (exploratory research)
การหาคำตอบที่เกี่ยวกับตัวแปล เช่น จำนวน ร้อยละ มาก-น้อย
2.2การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research)
คล้ายแลลสำรวจไม่มีการทดลอง แต่สามารถเปรียบเทียบตัวแปรได้
2.3การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย (explanatory research)
ไม่มีการทดลอง แต่หาปัจจัยที่มีผลต่อตัวแปร/ความสัมพันธ์ได้
2.4การวิจัยเชิงคาดคะเน (predictive research)
เป็นการคาดไว้ว่าจะเกิดขึ้น
2.5การวิจัยเชิงวินิจฉัย (diagnostic research)
เป็นการค้นหาปัญหาหรือสาเหตุของปัญหา
3.แบ่งตามความสามรถในการควบคุมตัวแปร
3.1การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)
ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
3.2การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (quasi research)
ควบคุมได้บางส่วน
3.3การวิจัยเชิงธรรมชาติ (naturalistic research)
ไม่ต้องควบคุมตัวแปร ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
4.แบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัย
4.1การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research)
หาความสัมพันธ์ในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อทำนายอนาคต
4.2การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research)
ไม่มีการทดลอง ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
4.3การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)
มีการทดลอง
4.4การวิจัยเชิงย้อนรอย (expost facto research)
ศึกษาจากผลไปหาเหตุ ซึ่งผลในปัจจุบันเกิดขึ้นจากเหตุในอดีต
4.5การวิจัยเชิงสำรวจ (survey research)
หาคำตอบเกี่ยวกับตัวแปร จำนวนเท่าไหร่ ลักษณะอย่างไร
4.6การวิจัยเชิงประเมินผล (evaluation research)
มีการใช้แบบประเมิน CIPP
C คือ context บริบทของงาน วัตถุประสงค์กับปัญหาสอดคล้องกันไหม
I คือ input ปัจจัยนำเข้า
P คือ process กระบวนการ มีปัญหาอะไรไหม
P คือ product ผลผลิต บรรลุวัตถุประสงค์ไหม
5.แบ่งตามลักษณะของข้อมูล
5.1การวิจัยเชิงริมาณ (quantitative research)
5.2การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research)
5.3การวิจัยแบบผสม (mixed methods)
แบบคุ่ขนาน
แบบตามลำดับก่อน-หลัง
6.แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
6.1การวิจัยจากเอกสาร (documentary research)
6.2การวิจัยจากการสังเกต (observation research)
สถานภาพ (status)
บทบาท (role)
6.3การวิจัยแบบสำมะโน (census research)
6.4การวิจัยแบบสำรวจจากตัวอย่าง (sample survey research)
6.5การศึกษาเฉพาะกรณี (case study)
6.6การศึกษาแบบต่อเนื่อง (panel study)
6.7การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)
ตัวอย่างประเภทของ
การวิจัยชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic study)
การวิจัยปรากฏการณ์ (Phenomenology study)
การวิจัยทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory)
งานวิจัยอื่นที่ควรรู้จัก มีดังนี้
R2R (routine to research)
PAR (participatory action research)
R&D (research and development)
Systematic review , meta-analysis , research synthesis
นางสาวพรภัสส์ษา ภัทรวิกรัยกุล เลขที่ 1 รุ่น36/2 รหัสนักศึกษา 612001081