Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพัฒนาองค์กรเเละเครื่องมือในการพัฒนาองค์กร, การวิเคราะห์องค์กรโดยใช้เทคน…
การพัฒนาองค์กรเเละเครื่องมือในการพัฒนาองค์กร
ความหมาย
องค์การ คือ การรวมตัวของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อมาร่วมมือ (หรือประสานงาน) ทํางาน
บางอย่างให้สําเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
วัฒนธรรมองค์การ คือ ค่านิยม (Value) และความเชื่อ(Believe) ของสมาชิกในองค์การซึ่งส่งผลให้เกิดพฤติกรรม(behavior)แนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ความหมายการพัฒนาองค์กร (Organization Development)
การพัฒนาองค์กร หรือที่นิยมเรียกกันว่า OD เป็นเครื่องมือที่ถูกนํามาใช้ในการบริหารและพัฒนาองค์กรเพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวและแก้ไขปัญหาก้าวทันการเปลี่ยนแปลงพร้อมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมมาก
การพัฒนาองค์กร คือ ความพยายามอย่างมีแผนที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมขององค์กร
เป็นความพยายามที่จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบขององคกรทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทาง
Wendul L. Irench และ Ceci H. Bell ได้ให้ความหมายการพัฒนาองค์การไว้ว่าเป็นเรื่องของกาใช้ความพยายามในระยะยาวที่จะแก้ไขปัญหาภายในองค์การและการฟื้นฟูองค์การ โดยจะดําเนินการในส่วนรของวัฒนธรรมองค์การ
Jack K. Fordyeและ Reymond Well ได้ให้ความหมายการพัฒนาองค์การไว้ว่า เป็นวิธีการมุ่งที่จะเอาพลังความสามารถของมนุษย์ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งขององค์การ การพัฒนาองค์การจะสําเร็จได้ ถ้าองค์การมีแผนและใช้ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์เข้ามาช่วย
หลักการพัฒนาองค์กร(Organization Development Principle)
กําหนดเป้าหมาย ( Goal Sating )
มีความเข้าใจในสถานการณ์( Understand Relations )
การปรับปรุงสัมพันธ์ภาพ ( Improving Relations )
ให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินการการแก้ปัญหา การตัดสินใจ
5.การเชื่อมโยง (Linking)
วัตถุประสงค์ในการพัฒนาองค์กร
1.เพื่อสร้างเสริมความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์การ
2.เพื่อให้องค์การสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและอยู่รอด เมื่อต้องประสบกับปัญหาและการเปลี่ยนแปลง
3.เพื่อพัฒนากระบวนการทํางานอย่างมีแผน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในวัตถุประสงค์ขององค์การร่วมกัน
4.ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข วัฒนธรรมที่ล้าสมัย ไร้สาระ ขัดต่อความเจริญ
5.มุ่งส่งเสริมหลักการทํางานที่เน้นหลักการมากกว่าตัวบุคคล
6.เน้นทั้งปริมาณงานและความรู้สึกของคน
7.กระจายการตัดสินใจไปยังผู้ปฏิบัติ
8.ส่งเสริมให้สมาชิกตระหนักในความรับผิดชอบต่อตําแหน่งและหน้าที่
9.มุ่งประสานเป้าหมายของบุคคลและองค์การเข้าด้วยกัน
ขั้นตอนของการพัฒนาองค์กร
1.การรวบรวมข้อมูล(Data Gathering)
2.การตรวจวินิจฉัยปัญหา(Diagnosis)
2.1นําข้อมูลจากแบบสอบถามมาวิเคราะห์ โดยใช้Mean
2.2.กําหนดเป้าหมาย เมื่อรู้สาเหตุของปัญหา ทําให้ปัญหา หมดไป หรือลดลง
2.3วิเคราะห์แรงดัน – แรงดึง
3.การกําหนดยุทธวิธี(tactic or Intervention )
การกําหนดสิ่งสอดแทรกหรือการเลือกวิธีการที่จะ
นํามาใช้ในการพัฒนาองค์กร
4.การประเมินผล( Evaluation ) เป็นขั้นตอนสําคัญอีกขั้นตอนหนึ่งในการพัฒนาองค์การที่ช่วยในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการพัฒนาองค์การว่าสอดคล้องกับเป้าหมาย เกณฑ์ และมาตรฐานที่กําหนดไว้เพียงใด
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาองค์กร(Organization Development Tools)
การบริหารที่ยึดวัตถุประสงค์เป็นตัวกําหนด (MBO : Management by objective)
หมายถึง การวางแผนเพื่อจัดองค์การที่หัวหน้าและลูกน้องมีบทบาทร่วมกันในการกําหนดเป้าหมายและขอบเขตของงานเพื่อให้บรรลุผลสําเร็จตามต้องการ
ขั้นตอนของการบริหารที่ยึดวัตถุประสงค์เป็นตัวกําหนด (MBO : Management by objective)
กําหนดวัตถุประสงค์ (Setting of objectives) ต้องชัดเจน ระบุการปฏิบัติงาน ระยะเวลา
เกณฑ์ต่าง ๆ
ปรับโครงสร้างขององค์การ (Revision of organization structure) มีการกําหนดลักษณะงาน
(Job description)ให้เอื้อในการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
กําหนดจุดตรวจสอบ (Estabishing check points) มีการประชุมระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง
เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน โดยดูตามมาตรฐาน
การประเมินการปฏิบัติงาน(Appraisal of performance) หัวหน้าเป็นคนตัดสินด้วยสติปัญญา
1-2 ครั้ง/ปี ประเมินตามเกณฑ์มาตรฐาน/ผลที่คาดหวัง
ระบบควบคุมคุณภาพ/กลุ่มคุณภาพ (Quality control circle : QCC,QC)
หมายถึง การดําเนินการ
โดยคนกลุ่มน้อย ดําเนินกิจกรรมเพิ่มพูนคุณภาพโดยตนเองอย่างอิสระ ณ สถานที่ทํางานเดียวกัน
หลักการทําระบบควบคุมคุณภาพ/กลุ่มคุณภาพ (Quality control circle : QCC,QC)นั้นใช้
Deming cycle
การวางแผน (Plan : P)
การปฏิบัติ
(DO:D)
การตรวจสอบ (Check : C)
การแก้ไขปรับปรุง
(Act:A)
การจัดการคุณภาพโดยรวม (Total quality management : TQM)
หมายถึง การจัดระบบและวินัยในการทํางาน เพื่อป้องกันความผิดพลาดเสียหาย และมุ่งสร้างคุณค่า (value) ในกระบวนการทํางาน(working process) ทุก ๆ ขั้นตอน
นักทฤษฎีที่เป็นเจ้าของแนวคิดนี้ได้แก่ เอ็ดเวิร์ด เดมิ่ง (Edward Deming) ได้พัฒนาเป็นแนวคิด
สําหรับการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวมให้มีประสิทธิผลไว้6 ประการ ดังต่อไปนี้คือ
1.การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง(Continuous Improvement ) Kaizen โดยใช้ PDCA เป็น
วิธีชีวิต การเดินทาง ไม่ใช้จุดหมายปลายทาง
2.การมอบหมายงานแก่พนักงาน(Employee Empowerment) ขยายงานสู่พนักงานระดับล่าง เพื่อเพิ่มระดับความรับผิดชอบ เป็นการผลักดันให้เกิดการติดสินใจ
3.การกําหนดมาตรฐานเทียบเคียง (Benchmarking) การเลือกมาตรฐานการปฏิบัติงานอาจเปรียบเทียบกับหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับ และนําส่วนที่ดีมาใช้เพื่อให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
4.การจัดส่งสินค้าแบบทันเวลาพอดี(Just in time : JIT) ทําให้ลดสินค้าคงเหลือ เช่น การให้ยาแบบ Day dose
5.Taguchi technique การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ช่วงที่มีการออกแบบ เพื่อให้ได้คุณภาพที่คงที่
6.ความรู้ในการใช้เครื่องมือ(Knowledge of TQM tools)
การบริหารแบบซิกซิกม่า(Six sigma)
Six sigma หมายถึง โอกาสของการเกิดข้อผิดพลาดเพียง 3.4 ครั้งต่อล้านครั้ง ข้อผิดพลาดในที่นี้ คือสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของขบวนการผลิตและบริการ ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก
Measurement เป็นการขั้นตอนการวัด วัดว่าองค์การอยู่ที่ใด black belt จะกระทําเพื่อวัดจุด
วิกฤตต่อคุณภาพ (Critical to Quality : CTQ)
Analyze เป็นการวิเคราะห์ว่าปัญหาต่าง ๆ เริ่มมาจากที่ใด เพื่อหาทางแก้ไขโดยการเปรียบเทียบ
ศักยภาพขององค์การและคู่แข่ง
Improvement การแก้ไขกระบวนการในขั้นนี้ black belt จะเป็นผู้ระบุลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่
ต้องปรับปรุง เพื่อให้บรรลุผลในการปฏิบัติงานและบรรลุวัตถุประสงค์ทางด้านการเงิน
Control การควบคุมในขั้นนี้ถูกกําหนดขึ้นมาเพื่อช่วยให้ black belt กําหนดมาตรการต่างๆ เพื่อ
เป็นตัวควบคุมตัวแปรที่สําคัญ
ระบบการบริหารแบบลีน(Lean Management System)
ลีน(Lean) คือปรัชญาในการผลิตที่ถือว่าความสูญเปล่า (Wastes) เป็นตัวการที่ทําให้เวลาที่ใช้ในการผลิตยาวนานขึ้น ดังนั้นการผลิตแบบลีน (Lean) จึงเป็นการนําเทคนิคต่างๆมาใช้เพื่อกําจัดความสูญเปล่าออกไปโดยกิจกรรมต่างๆในการผลิต
กิจกรรมที่เพิ่มคุณค่า(Value-Added Activities หรือ VA) คือกิจกรรมใดๆก็ตามที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัตถุดิบโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
กิจกรรมที่เพิ่มคุณค่า
(Value-Added Activities หรือ VA)
กิจกรรมที่ไม่เพิ่มคุณค่า(Non-Value Added
Activities หรือ NVA)
ในปัจจุบันนี้วิธีที่จะช่วยปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี
กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ (Lean Manufacturing)และSix Sigma
สรุป ลีนคือ แนวการออกแบบหรือการปรับปรุงกระบวนการหรือคุณค่าที่เป็นระบบ โดยมีวัตถุประสงค ในการกําจัดของเสีย ปรับปรุงคุณภาพ ลดต้นทุน เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า ปรับปรุงความพอใจให้กับพนักงาน เพิ่มความปลอดภัยในการทํางาน ใช้เวลาน้อย ใช้พื้นที่น้อย ใช้ความพยายามจากมนุษย์น้อยและใช้วัตถุดิบน้อย
องค์กรแห่งการเรียนรู้(Learning organization : LO)
หมายถึง องค์กรที่มีทักษะ มีความสามารถในการแสวงหา การสร้างสรรค์ การถ่ายทอดความรู้ และทําความเข้าใจกับความรู้ใหม่ได้อย่างลึกซึ้ง (Insight)จนสามารถนําความรู้มาปรับปรุงพฤติกรรมของคนในองค์กร
วินัย 5 ประการ:
Peter Senge
Personal Mastery ความเป็นเซียนส่วนบุคคล ความเชี่ยวชาญระดับพิเศษของบุคคลทําให้
คนเข้าใจลึกซึ้งในเป้าหมายของชีวิต
Mental Modelการยึดติดในใจ อคติ ความฝังใจ โลกทัศน์หรือความคิดความเข้าใจที่คนมี
ต่อโลก
Share visionฝันเดียวกัน สมาชิกในองค์การมีการกําหนดเป้าหมาย (Goals) ค่านิยม(Value)การมีวิสัยทัศน์ (vision) พันธกิจ (Mission) ร่วมกัน เพื่อนําไปสู่เป้าหมายหรืออนาคตขององค์กรร่วมกัน
Team learningการเรียนรู้เป็นทีม กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิก มีการแลกเปลี่ยน
ความรู้ ความคิดเห็น ประสบการณ์ ระหว่างสมาชิกในองค์กรอย่างต่อเนื่องและสม่ําเสมอ
System thinking ระบบการคิดของคนในองค์กร การคิดอย่างเป็นระบบ สิ่งต่าง ๆ มีการ
เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และ บูรณาการอย่างเป็นองค์รวม
การบริหารจัดการความรู้(Knowledge Management : KM)
หมายถึงการบริหารจัดการเพื่อให้คนที่ต้องการใช้ความรู้ ได้รับความรู้ที่
ต้องการในเวลาที่ต้องการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ความรู้สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
Tacit Knowledge ทักษะ
จากประสบการณ์ไม่สามารถบรรยายเป็นถ้อยคํา
Explicit Knowledge
บรรยาย/ถ่ายทอดเป็นทฤษฎี การแก้ไขปัญหา
สรุปการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management) นับว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการบริหาร เป็นการเสพความรู้ ย่อยความรู้ เลือกความรู้ที่มีประโยชน์ มีคุณธรรม ต่อยอด ความรู้ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ถ่ายทอด รักษาความรู้ได้ เก่ง ดี มีความสุข อย่างมีสติ
การบริหารการเปลี่ยนแปลง(Change management)
หมายถึงการจัดการณ์กับเหตุการณ์ สถานการณ์ หรือลักษณะที่ต่างไปจากเดิมให้ดีขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เช่น การออกนอกระบบ ไม่เพิ่มตําแหน่ง
ขั้นตอนในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
การวางแผนการเปลี่ยนแปลง (Planning for Change)
การนําแผนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปฏิบัติ (Implementing Change)
2.1 การกําหนดกลยุทธ์ในการนําแผนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปฏิบัติ
2.3 การจัดแบ่งงาน
2.4 การจัดกําลังคน
2.5 การจัดระเบียบวิธีการดําเนินงาน
2.6 การพัฒนาบุคคล
2.7 การทําให้การเปลี่ยนแปลงกลายเป็นแบบแผนวัฒนธรรมขององค์การ
2.8 การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรในการบริหารการเปลี่ยนแปลงนั้น
2.2 การสื่อสารความเข้าใจถึงแผนการเปลี่ยนแปลง
การติดตามประเมินผลและรักษาผลการเปลี่ยนแปลง (Evaluating and Maintaining Change)
การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (Public Sector Management Quality Award
:PMQA)
Public Sector Management Quality Award หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า PMQA เป็นกระบวนการพัฒนาองค์กรภาคราชการ โดยนํา “เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ” ที่ได้รับพัฒนาจากสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติและสํานักงาน ก.พ.ร. มาใช้กับระบบราชการ
(PMQA) มีจุดมุ่งเน้นที่สําคัญ 6 ประการ
การนําองค์กรอย่างมีวิสัยทัศน์
มีความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความสําคัญกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ปรับปรุงระบบบริหารจัดการให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว
พัฒนาการบริหารคนและการพัฒนาคน มีความคิดริเริ่มและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลสารสนเทศ
ทํางานโดยมุ่งผลลัพธ์เป็นสําคัญ(ประโยชน์สุขของประชาชน)
สรุป สําหรับแนวทางการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่คือการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ใน
ปัจจุบัน ให้เป็นองค์กรสมัยใหม่ ที่ยึดหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะส่งผลทําให้ภาครัฐทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์(RESULT BASED MANAGEMENT - RBM )
หมายถึง การบริหารโดย
มุ่งเน้นผลการปฏิบัติงานหรือผลสัมฤทธิ์เป็นหลักจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8
วัตถุประสงค์ของการบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์(RESULT BASED MANAGEMENT - RBM ) คือทํางานให้
เสร็จตามกําหนด เกิดผลดีต่อหน่วยงานและส่วนราชการใช้ทรัพยากรของทางราชการให้คุ้มค่า
การวิเคราะห์องค์กรโดยใช้เทคนิค SWOT analysis
ความหมายของ SWOT Analysis
การวิเคราะห์ SWOT เป็นเครื่องมือในการประเมินสถานการณ์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารกําหนดจุดแข็งและจุดอ่อนจากสภาพแวดล้อมภายใน โอกาสและอุปสรรคจากสภาพแวดล้อมภายนอก ตลอดจนผลกระทบต่อการทํางานขององค์กร
SWOT มาจากตัวย่อภาษาอังกฤษ 4 ตัว
S มาจาก Strengths หมายถึง จุดเด่นหรือจุดแข็ง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายใน ความสามารถและ
สถานการณ์ภายในองค์กรที่เป็นบวก
W มาจาก Weaknesses หมายถึง จุดด้อยหรือจุดอ้อน ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายใน สถานการณ์ภายใน
องค์กรที่เป็นลบและด้อยความสามารถ
O มาจาก Opportunities หมายถึง โอกาส ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่
เอื้ออํานวยให้การทํางานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์
T มาจาก Threats หมายถึง อุปสรรค ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่
ขัดขวางการทํางานขององค์กรไม่ให้บรรลุวัตถุประสงค์
ประโยชน์ของ SWOT
นํา SWOT ไปจัดทําแผนกลยุทธ์เพื่อพัฒนาองค์กร
การทํา SWOT จะช่วยให้ไหวตัวทันสถานการณ์ และมีการเตรียมความพร้อมกับการปรับเปลี่ยนของสภาพแวดล้อม
วิธีการทํา SWOT Analysis
การทํา SWOT นั้นทีมงานต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของตัวองค์กรเอง ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลคู่แข่งข่าวสารทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมาเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ อย่าลืมว่า เราต้องวิเคราะห์โดยอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริงไม่ใชจินตนาการ
SWOT ต้องทําให้เปฺ็นไปในทางเดียวกันกับ วิสัยทัศน์ พันธกิจ หรือ เป้าหมาย (Vision, Mission และObjective) หรือเข้ากับทรัพยากรในองค์กรและความสามารถที่เข้ากับสิ่งที่องค์กรถนัด แล้วนํา SWOT มาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผนกลยุทธ์องค์กร
ตัวชี้วัดการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน
เงินทุน แหลjงที่มาของเงินทุน ต้นทุนของเงินทุน ปริมาณเงิน ระยะเวลาในการใช้คืน ระบบบัญชีเพื่อการ
คํานวณต้นทุน การกําหนดงบประมาณสอดคล้องกับแผนงานขององค์กรหรือไม
เครื่องจักร/ครุภัณฑ์/สิ่งก่อสร้าง มีประสิทธิภาพแค่ไหน เหมาะสมกับปริมาณงานหรือไม่
วัตถุดิบ ปริมาณ ต้นทุนในการดําเนินงาน จํานวนผู้ผลิตและผู้ขาย ฤดูกาล ระยะเวลาในการสั่งซื้อ
เทคโนโลยี/นวัตกรรม เทคโนโลยีทันสมัยหรือล้าสมัย การสร้างมูลค่าเพิ่ม ความได้เปรียบในเชิง
เปรียบเทียบ การวิจัยและพัฒนา
TWOS Matrix
SO วิเคราะห์พร้อมกันเลยว่า เรามีจุดแข็งอะไรและมีโอกาสอะไรที่สนับสนุนจุดแข็งนั้น
ST วิเคราะห์ว่าเรามีอุปสรรคอะไรบ้าง และเราจะสามารถใช่จุดแข็งแก้ไขอุปสรรคนั้นได้อย่างไร
WO วิเคราะห์ว่า มีสภาพแวดล้อมภายนอกอะไรบ้างที่เอื้อโอกาสให้เราแล้ว แต่ถ้าเรายังมีจุดอ่อน อะไรที่
จะทําให้เราฉกฉวยโอกาสนั้นไม่ได้
WT วิเคราะห์ว่า มีสภาพแวดล้อมภายนอกอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคกับเราและยังกระทบกับจุดอ่อนของ
เราโดยตรงด้วย
TOWS Matrix
กําหนดแผนกลยุทธ์จากการวิเคราะห์ TOWS Matrix
กลยุทธ์ WT รีบสลายจุดอ่อนและหลีกเลี่ยงอุปสรรค
กลยุทธ์ WO เลี่ยงจุดอ่อน นําความสามารถเฉพาะอย่างมาใช้ให้ได้เปรียบในส่วนที่มีโอกาสสูง
กลยุทธ์ ST เอาจุดแข็งสูงสุดไปข่มอุปสรรค เช่น ใช้ จุดแข็ง ทางเทคโนโลยี การจัดการเพื่อจัดการอุปสรรคที่มีคู่แข็งมาก
กลยุทธ์ SO เป็นสถานการณ์ที่บริษัทต้องการมากที่สุดโดยใช้จุดแข็งและโอกาสที่ดี สร้างแผนรุก
ทางเลือกกลยุทธ์
เลือก WT เมื่อเห็นจุดอ่อนและอุปสรรคสูงกว่าคู่แข่งขันต้องพัฒนาอีกระยะ จึงจะแข่งขันได้ (กลยุทธ์ถอย)
เลือก WO มีจุดอ่อนสูงแต่โอกาสก็สูงด้วย ต้องคอยหลีกเลี่ยง บางจุดอ่อนเพื่อโอกาส ควรเลือกแผนตั้งรับ(Defensive)
เลือก ST มีจุดแข็งสูงแต่เจออุปสรรคแข่งขันสูง หรือผู้บริหารยังขาดความมั่นใจ ควรเลือกแผนทดสอบ
โครงการ Pilot test เพื่อดูความเป็นไปได้ของแผนบางตัวที่คาดว่าสร้างตลาดใหม่ได้ (Competitive)
เลือก SO มีทั้งจุดแข็งและโอกาสสูง เลือกแผนรุก (Aggressive)และลงทุนด้านงบประมาณเต็มที่เพื่อชัย
ส่วนใหญ่ถ้าให้หัวหน้างานหรือผู้บริหารระดับต้นและกลางทําวิเคราะห์ SWOT องค์กรทีไร จะเห็นว่าส่วนใหญ่ถ้าให้หัวหน้างานหรือผู้บริหารระดับต้นและกลางทําวิเคราะห์ SWOT องค์กรทีไร จะเห็นว่าระดับผู็บริหารระดับสูงทําการวิเคราะห์เอง จะเห็นผลการวิเคราะห์อีกแบบหนึ่ง
ดังนั้น การทํา SWOT ควรใช้ทีมงานทุกแผนกและอาจจะใช้หัวหน้างาน ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลางและระดับสูงมาทําร่วมกัน และรวบรวมจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาสและอุปสรรคทั้งหมดมารวมกัน ซึ่งต้องเปิดโอกาสให้ผู้เสนอ SWOT ให้เหตุผลและอธิบายสาเหตุวาทําไมจึงให้หัวข้อนี้เป็นจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส หรืออุปสรรค จากนั้นให้ที่ประชุมซักถามและออกความเห็น แล้วใช้มติที่ประชุมเป็นการชี้ขาดว่าเห็นชอบหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนเป็นประเภทอื่น