การช่วยเหลือผู้ใช้บริการในภาวะฉุกเฉิน อุบัติเหตุหมู่ และการบรรเทาสาธารณภัย
การจัดบริการในหน่วยฉุกเฉิน
การจำแนกผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
การดูแลผู้บาดเจ็บในระยะก่อนถึงโรงพยาบาล
การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น (CPR)
หลักการพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน อุบัติเหตุหมู่และการบรรเทาสาธารณภัย
หลักการเตรียมรับผู้ป่วยอุบัติเหตุหมู่
ความสำคัญของการให้พยาบาลฉุกเฉิน
สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บมีอาการมากหรือหนักกว่าเดิม
สามารถส่งต่อผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้อย่างปลอดภัย
สามารถรักษาชีวิตของผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้
สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานได้
บทบาทของพยาบาล
ด้านการรักษาพยาบาล
ด้านการป้องกัน
ต้องประเมินและจำแนกประเภทผู้ป่วยเพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นได้
ต้องจัดระบบ วางแผน เตรียมอุปกรณ์และบุคลากรให้พร้อม สามารถให้บริการได้รวดเร็ว
ด้านการดูแลต่อเนื่อง
หลังจากผ่านภาวะวิกฤต
เคลื่อนย้ายและส่งต่อผู้ป่วยอย่างปลอดภัย หรือในกรณีที่มีแพทย์อนุญาตให้กลบับ้านได้ต้องให้คำแนะนำและวางแผนการเยี่ยมบา้น
Triage
คือ การคัดแยกผู้ป่วยออกเป็นกลุ่มตามระดับความรุนแรงของการเจ็บป่วยนั้น
ประโยชน์ของการคัดกรองผู้ป่วย
ช่วยลดความเครียด และเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ
ช่วยลดความล่าช้าในการตรวจ
ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาทันและเหมาะสม
การลดค่าใช้จ่าย
การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแบ่งออกเป็น 3 ช่วง
Immediate Deaths (การตายแบบฉับพลัน)
เกิดขึ้นในเวลาเป็นวินาทีถึงนาที สาเหตุการตายเกิดจากการขาดอากาศหายใจ เส้นเลือดขนาดใหญ่ฉีกขาด หรือหัวใจได้รับการกระทบอย่างรุนแรง การตายในช่วงนี้เป็นการตายที่สามารถป้องกันได้ แต่ไม่สามารถรักษาได้
Early Deaths
Late Deaths
เกิดขึ้นในเวลาเป็นนาทีถึงชั่วโมง สาเหตุการตายเกิดจากเลือกออกในเยื่อหุ้มสมอง เลือดออกในช่องเยื่อหุ้มปอด มีลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด ตับหรือม้ามแตก หรือมีการเสียเลือดอย่างมาก ในช่วงนี้เป็น Golden hour ทำให้มีโอกาสรอดมากยิ่งขึ้น
เกิดขึ้นในเวลาเป็นวันถึงสัปดาห์หลังได้รับอุบัติเหตุ สาเหตุการตายเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด หรืออวัยวะภายในร่างกายล้มเหลว
การแบ่งประเภท
การคัดกรองที่จุดเกิดเหตุ (Field Triage)
การคัดกรองผู้ป่วยทางโทรศัพท์ (Phone Triage)
การคัดแยกที่โรงพยาบาลในห้องฉุกเฉิน
(Emergency Department Triage)
การคัดแยกผ้บูาดเจ็บจำนวนมาก (Disaster Triage)
START (Simple Triage and Rapid Treatment)
การประเมินการหายใจ (respiratory) การไหลเวยีนโลหิต (perfusion) และระดับความรู้สึกตัว (mental status)
Jump START
การคัดแยกผู้ป่วยที่มีจำนวนไม่มาก (Prehospital Triage)
แยกผู้ป่วยออกเป็น 4 กลุ่ม คือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีดำ
ขั้นตอนการคัดแยก
ผู้ป่วยที่สามารถเดินได้ ให้เดินออกมาจากที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง มายังบริเวณที่ปลอดภัย และจัดเป็น “กลุ่มผู้ป่วยสีเขียว” หรือ “walking wounded” หรือ “minor” ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ต้องการการรักษาเร่งด่วน
ผู้ป่วยที่ไม่หายใจให้ทำการเปิดทางเดินหายใจ โดยวิธีการ Head-Tilt/ Chin-Lift ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจจัดเป็นกลุ่มสีดำ (deceased) แต่ถ้าผู้ป่วยกลับมาหายใจหลังเปิดทางเดินหายใจให้จัดเป็นกลุ่มสีแดง (immediate)
ผู้ป่วยกลุ่มที่หายใจได้มากกว่า 30 ครั้งต่อนาที จัดผู้ป่วยในกลุ่มสีแดง (immediate) ถ้าน้อยกว่า 30 ครั้งต่อนาที ให้ประเมินชีพจรที่ข้อมือ (radial pulse) ถ้าคลำชีพจรที่ข้อมือไม่ได้ หรือ capillary refill มากกว่า 2 วินาที จัดเป็นกลุ่มสีแดง (immediate) แต่ถ้าผู้ป่วยสามารถทำตามคำสั่งได้ให้ จัดเป็นสีเหลือง (delayed)
สีแดง (immediate) ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเป็นกลุ่มแรก
สีเหลือง (delayed) เป็นกลุ่มถัดไปที่ต้องการรักษาพยาบาล
สีเขียว (minor) เป็นกลุ่มถัดไปที่ได้รับการรักษาถัดจากสีเหลือง
สีดำ (deceased) เป็นกลุ่มที่ไม่ต้องทำการช่วยเหลือ เนื่องจากโอกาสรอด ชีวิตน้อยมาก
ใช้กับเด็กอายุ1-8 ปี โดยมีข้อแตกตา่งจาก START
ถ้าไม่หายใจหลังจากเปิดทางเดินหายใจแล้ว ให้คลำชีพจรก่อน ถ้าไม่มีให้เป็นสีดำ ถ้ามีชีพจร ให้ช่วยหายใจ 5 ครั้ง ถ้ากลับมาหายใจได้เองให้เป็นสีแดง ถ้าไม่หายใจด้วยตนเองให้เป็นสีดำ
การประเมินการหายใจใช้น้อยกว่า 15ครั้ง/นาที หรือมากกว่า 45ครั้ง/นาทีจึงจัดเป็นกลุ่มสีแดง
A = Alert = สีเหลือง V = Verbal ตอบสนองต่อเสียงเรียกอย่างเหมาะสม = สีเหลือง P = Pain ตอบสนองต่อความเจ็บป่วยอยา่งเหมาะสม = สีเหลือง U = Unresponsive ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น= สีแดง
Triage sieve
Primary Triage
Secondary Triage
ผู้ป่วยที่สามารถเดินได้ ให้เดินออกจากที่เกิดเหตุ และจัดเป็นสีเขียว อาการไม่รุนแรง สามารถรอได้นาน 24 ชั่วโมง
เข้าไปประเมินผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินได้ โดยประเมินทางเดินหายใจ (air way) ผู้ป่วยที่ไม่หายใจ ให้ทำ head tilt/ chin lift หรือ jaw thrust ถ้าเปิดทางเดินหายใจแล้วผู้ป่วยไม่หายใจ จัดเป็นกลุ่ม สีน้ำเงิน/สีดำ ซึ่งเป็น ผู้ป่วยที่มีโอกาสเสียชีวิตสูง ถ้าเปิดทางเดินหายใจแล้วหายใจได้ จัดเป็น กลุ่มสีแดง ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ต้องดูแลรักษาเพื่อช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วนโดยทันที
ผู้ป่วยที่หายใจได้ ถ้าน้อยกว่า 10 ครั้ง/นาที หรือมากกว่า 30 ครั้ง/นาที จัดเป็นกลุ่มสีแดง
ถ้าผู้ป่วยหายใจ 10-29 ครั้ง/นาที ให้ประเมินการไหลเวียนโดยตรวจ Capillary refill นาน 5 วินาทีแล้วปล่อย และตรวจชีพจร ถ้า Capillary refill มากกว่า 2 วินาที หรือชีพจรมากกว่า 120 ครั้ง/นาที จัดเป็นกลุ่มสีแดง ถ้า Capillary refill น้อยกว่า 2 วินาที หรือชีพจรน้อย กว่า 120 ครั้ง/นาที จัดเป็นกลุ่มสีเหลือง หมายถึงผู้ที่ต้องการการดูแลรักษาภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
ใช้หลัก Triage sort
จะใช้ Triage revised trauma score (TRTS) มาช่วยในการจัดกลุ่มประเภทผู้ป่วย
คะแนน 1-10: จัดเป็น T1 (สีแดง)
คะแนน 11 : จัดเป็น T2 (สีเหลือง)
คะแนน 12 : จัดเป็น T3 (สีเขียว)
แบ่งตามอาการบาดเจ็บของผู้ป่วยเป็น 4 ประเภท
ประเภทสีแดง หมายถึงผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาที่จำเพาะเจาะจงทันที ไม่สามารถรอได้
ประเภทสีเหลือง หมายถึงผู้ป่วยที่หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องอาจทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้
ประเภทสีเขียว หมายถึงผู้ป่วยที่นัด Follow Up หรือผู้ป่วยที่เดินได้สามารถรอการรักษาได้
ประเภทสีดำ หมายถึงเป็นกลุ่มที่่ผู้ป่วยเสียชีวิต หรือมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก
ขั้นตอนในการดแูลผู้ป่วยนอก
การดูแล ณ จุดเกิดเหตุ (On Scene Care)
การดำเนินการตอบสนอง (Response)
การดูแลระหว่างการนำส่ง (Care on Transit)
การรายงานเหตุการณ์/ การแจ้งของความช่วยหลือ (Reporting)
การตรวจพบว่ามีเหตุบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน (Detection)
. การนำส่งโรงพยาบาลที่เหมาะสม ( Transfer to Definitive care)
ประเมินสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง ผู้ร่วมงาน ผู้ป่วย และบุคคลอื่นๆ
ถ้าทีผู้บาดเจ็บ 1-2 คน หรืออุบัติเหตุหมู่ เมื่อได้รับการคัดกรองแล้วก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และส่งต่อ เน้นการ Scoop and run คือการ
ใชเ้วลาที่จุดเกิดเหตุไม่เกิน 10 นาที และนำส่งโรงพยาบาลที่เหมาะสม
Mechanism of obstruction
การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (Basic life support; BLS)
1.การอุดกั้นแบบสมบูรณ์ (complete obstruction)
2.การอุดกั้นบางส่วน (partial obstruction)
การสำลักสิ่งแปลกปลอม
เป็นภาวะฉกุเฉินที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทันที
การรัดกระตกุหน้าท้อง abdominal thrusts (Heimlich maneuver) ในผ้ใูหญ่และเด็กโต
ตบหลัง (back blows) 5 ครั้งและกดหน้าอก (chest thrusts) 5 ครั้งในเด็กเล็กอายนุ้อยกว่า 1ปี
ไม่แนะนำให้ทำ abdominal thrusts เพราะอาจจะทำให้อวยัวะในช่องท้องแตกได้
การทำ back blows เป็นการทำให้เกิดการไอ การทำ chest thrusts เป็นการกระตุ้นให้สิ่ง แปลกปลอมพุ่งออกมา
ทำการรัดกระตุกบริเวณหน้าอกของผู้ป่วยแทน (chest thrusts) ในคนตั้งครรภ์ หรืออ้วนมาก
ทำการกดหน้าอกนวดหัวใจหรือ CPR ทันทีกรณีผ้ปู่วยหมดสติ
ประเภทของภัยพิบัติ
ตามลักษณะการเกิดหรือสาเหตุ
การแบ่งตามสถานการณ์
วงจรการจัดการภัยพิบัติ
ระยะเกิดภัยพิบัติ
ระยะหลังเกิดภัยพิบัติ
ระยะก่อนเกิดภัยพิบัติ
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ภัยพิบัติที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
ภัยจากเทคโนโลยีต่างๆ
ภัยพิบัติในภาวะปกติ
ภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน
ภัยพิบัติในภาวะสงคราม
ระยะก่อนเกิดภัยพิบัติ (pre-impact phase) การเตรียมแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ทั้งบุคลากร สถานที่ ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ
ระยะหลังเกิดภัยพิบัติ (post-impact phase) ช่วยเหลือด้านการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูสภาพผู้ประสบภัย ทั้งร่างกายจิตใจ
ระยะเกิดภัยพิบัติ (impact phase) เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น ระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของภัยพิบัติ
จะเห็นได้ว่าทีมแพทย์และพยาบาลสามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงที
ทีมแพทย์และพยาบาลมีการวางแผนการช่วยเหลือ อุปกรณ์และบุคลากรมีความพร้อม มีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน ทำให้ทำงานได้รวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความรู้ความสามาถเรื่องการแบ่งประเภทของผู้ป่วยเป็นอย่างดี
จากภาพยนต์ ทำให้เห็นการคัดกรองผู้ป่วยอย่างชัดเจน แบ่งตามระดับความรุนแรงของการเจ็บป่วย ทำให้ช่วยเหลือได้ตรงจุด ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ทันท่วงที
เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในการนำส่งโรงพยาบาลไดทำการช่วยเหลือเบื้องต้น เพื่อให้ผู้ป่วยมีการเจ็บป่วยที่ลดลง มีการส่งต่อข้อมูลที่มีประโยช์ทางการรักษาต่อทีมแพทย์และพยาบาลที่โรงพยาบาล
ผู้ช่วยเหลือทุกคนมีความพยายามที่จะบรรเทาความเจ็บปวด ทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยทุกคนอย่างเต็มความสามารถ