การช่วยเหลือผู้ใช้บริการในภาวะฉุกเฉิน
อุบัติเหตุหมู่ และการบรรเทาสาธารณภัย
การดูแลผู้บาดเจ็บในระยะก่อนถึงโรงพยาบาล
หลักการเตรียมรับผู้ป่วยอุบัติเหตุหมู่
การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น (CPR)
การจำแนกผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
การจัดบริการในหน่วยฉุกเฉิน
หลักการพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน อุบัติเหตุหมู่และการบรรเทาสาธารณภัย
สามารถรักษาชีวิตของผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้
สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานได้
สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บมีอาการมากหรือหนักกว่าเดิม
สามารถส่งต่อผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้อย่างปลอดภัย
ระบาดวิทยาของผู้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บ
Early Deaths
Late Deaths
Immediate Deaths (การตายแบบฉับพลัน)
เป็นการตายที่เราสามารถป้องกันได้ แต่ไม่สามารถรักษาได้
เป็นช่วง Golden hour ที่มีความสำคัญอย่างมากในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วย
ถ้ามีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ดี จะสามารถดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ทำให้มีโอกาสรอดมากยิ่งขึ้น
ระยะเวลาอาจเป็นวันถึงสัปดาห์
อัตราการตายของผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาผู้ป่วยในช่วงแรก
การคัดกรองที่จุดเกิดเหตุ (Field Triage)
การคัดแยกผู้บาดเจ็บจำนวนมาก (Disaster Triage)
การคัดแยกผู้ป่วยที่มีจำนวนไม่มาก (Prehospital Triage)
MIMMS
START
- ผู้ป่วยที่สามารถเดินได้ ให้ผู้ป่วยเดินออกมาจากที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง โดยให้ผู้ป่วยเดิน
ออกมายังบริเวณที่ปลอดภัย และจัดผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็น “กลุ่มผู้ป่วยสีเขียว”
ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินได้ โดยจะประกอบไปด้วยผู้ป่วย ในกลุ่มสีแดง สีเหลือง และสีดำ
- ผู้ป่วยที่ไม่หายใจให้ทำการเปิดทางเดินหายใจ ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจจัดเป็นกลุ่มสีดำ แต่ถ้าผู้ป่วยกลับมาหายใจหลังเปิดทางเดินหายใจให้จัดเป็นกลุ่มสีแดง
- ให้ประเมินอัตราการหายใจ
มากกว่า 30 ครั้งต่อนาที จัดผู้ป่วยในกลุ่มสีแดง
น้อยกว่า 30 ครั้งต่อนาที ให้ประเมินชีพจรที่ข้อมือ ถ้าคลำชีพจรที่ข้อมือไม่ได้ หรือ capillary refill มากกว่า 2 วินาที ให้ประเมินการรู้สึกตัวต่อไป
ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ให้ จัดเป็นกลุ่มสีแดง
แต่ถ้าผู้ป่วยสามารถทำตามคำสั่งได้ให้ จัดเป็นสีเหลือง
click to edit
กลุ่มสีเหลือง เป็นกลุ่มผู้ป่วยถัดไปที่ต้องกการรักษาพยาบาล
กลุ่มสีเขียว เป็นกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มถัดไปที่ได้รับการรักษาถัดจากสีเหลือง
กลุ่มกลุ่มสีดำ เป็นกลุ่มที่ไม่ต้องทำการช่วยเหลือเนื่องจากโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก
เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยรายใดมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายออกมาจากจุดเกิดเหตุเป็นรายแรก และจากเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกมาจากจุดเกิดเหตุ จะทำการคัดแยกครั้งที่สองก่อนจะนำผู้ป่วยเข้าไปยังจุดรักษาพยาบาล
การคัดแยกก่อน/ขณะอยู่ในจุดรักษาพยาบาล (Secondary Triage)
การใช้คะแนน CGS SBP RR รวมคะแนน
คะแนน 1-10: จัดเป็น T1 (สีแดง) ต้องนำผู้ป่วยไปยังจุดรักษาพยาบาลที่เป็นโซนสีแดง
คะแนน 11 : จัดเป็น T2 (สีเหลือง) ต้องน าผู้ป่วยไปยังจุดรักษาพยาบาลที่เป็นโซนสีเหลือง
คะแนน 12 : จัดเป็น T3 (สีเขียว) ต้องน าผู้ป่วยไปยังจุดรักษาพยาบาลที่เป็นโซนสีเขียว
ประเภทสีเหลือง
ประเภทสีเขียว
ประเภทสีแดง
ประเภทสีดำ
ผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาที่จำเพาะเจาะจงทันที ไม่สามารถรอได้
การเสียเวลาที่จุดเกิดเหตุจะทำให้ช่วงเวลาที่ส าคัญ (Golden hour)
ผู้ป่วยประเภทนี้ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ให้การดูแลรักษาพยาบาลอย่าง
ถูกต้อง ก็อาจทำให้สูญเสียชีวิตหรือพิการได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ผู้ป่วยนัด Follow Up หรือผู้ป่วยเดินได้ สามารถรอการรักษาได้
เป็นกลุ่มที่ผู้ป่วยเสียชีวิต หรือมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมากแบบประเมินการ
ตอบสนองของร่างกายหลังการบาดเจ็บ
- การดำเนินการตอบสนอง (Response)
- การดูแล ณ จุดเกิดเหตุ (On Scene Care)
- การรายงานเหตุการณ์ (Reporting)
- การดูแลระหว่างการนำส่ง (Care on Transit)
- การตรวจพบว่ามีเหตุบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน (Detection)
- การนำส่งโรงพยาบาลที่เหมาะสม ( Transfer to Definitive care)
เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจะมีการแจ้งเหตุโดยพลเมืองดี หรือผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ณ์มายังศูนย์สั่งการ และศูนย์สั่งการมีหน้าที่ในการจัดส่งชุดปฏิบัติการออกทำการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บต่อไป
- คัดแยกระดับความรุนแรงของเหตุที่แจ้ง
- การให้คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นทางโทรศัพท์
เป็นการส่งทีมแพทย์ฉุกเฉินที่อยู่ใกล้ และมีศักยภาพเหมาะสมที่สุดออกทำการช่วยเหลือ ผู้บาดเจ็บ โดยรูปแบบการตอบสนองจะเป็นทีมกู้ชีพพื้นฐาน หรือทีมกู้ชีพขั้นสูง ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเหตุที่รับแจ้ง
ประเมินเหตุการณ์
การประเมินเบื้องต้น
ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรอบ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติการเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง
ประเมิน หากเป็นผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวนตำแหน่งของผู้ป่วยหรือ ผู้บาดเจ็บทั้งหมด และกลไกการบาดเจ็บ เพื่อวางแผนขอความช่วยเหลือ
การไหลเวียน (Circulation)
ระดับความรู้สึกตัว (Disability)
การหายใจ (Breathing)
บาดแผลตามร่างกาย และกระดูกแขนขา (Exposure and Disability)
ทางเดินหายใจและกระดูกต้นคอ (Airway and C-spine)
จะต้องทำการป้องกัน C-spine ให้ไม่ขยับโดยการทำ Manual in –line (จับศีรษะผู้ป่วยให้อยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง) และนำ hard collar มาใส่ให้กับผู้ป่วยพร้อมๆกัน หากทางเดินหายใจไม่เปิดโล่ง การรักษาเบื้องต้นที่จะทำ ณ ที่เกิดเหตุ คือ การจัดท่า ได้แก่Head Tilt, Chin Lift, ถ้าผู้ป่วยสงสัยเรื่อง C-spine ทำเฉพาะท่า Jaw Thrust เท่านั้น
ประเมินอาการของการหายใจลำบาก ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง ช่วยหายใจ หายใจเร็ว ตื้น หน้าอกบุ๋ม (retrection) เป็นต้น
เป็นการประเมินหาจุดเลือดออก
ประเมิน GCS
Disability) หากมีกระดูกหักให้ดามกระดูกเบื้องต้น จากนั้นทำการพลิกตัวผู้ป่วย แบบ Lod-roll
เป็นการดูแลขณะผู้ป่วยอยู่บนรถกู้ชีพ
Level I มีคุณสมบัติเหมือนในระดับ 2 มีศัลยแพทย์เฉพาะทางทุกสาขา
Level II มีคุณสมบัติเหมือนในระดับ 3 โดยมีเพิ่มเติมคือ มีแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ อย่างครบถ้วนและสามารถผ่าตัดฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชม.
Level III มีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินและแพทย์เฉพาะทางอุบัติเหตุสามารถทำการเอกซเรย์ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง มีอุปกรณ์ในการมอนิเตอร์ต่างๆ
Level IV ดูแลกู้ชีพได้เบื้องต้นเท่านั้น และทำการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลระดับสูงต่อไป
การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (Basic life support; BLS)
สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นในทางเดินหายใจ
การรักษาภาวะทางเดินหายใจอุดกันบางส่วน (เล็กน้อย)
การรักษาภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นโดยสมบูรณ์
และกระตุ้นให้ไอแรงๆ
การรัดกระตุกใต้ลิ้นปี่ (abdominal thrust) และกดกระแทกที่หน้าอก (chest thrust) ล้วนได้ผลดี
การรักษาภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นในผู้สำลักที่หมดสติ
ควรประคงผู้สำลักนอนกับพื้น เรียกหน่วย EMS ทันที แล้วเริ่ม CPR
การคิดคำนวณเปอร์เซ็นไฟไหม้
Head 9 % , Back 18% , Right arm 9% , Left arm 9% , Right leg 18% , Left leg 18% , Perineum 1%
สูตรการคำนวณสารน้ำ
ในปริมาณ 4 มล.Xน้ าหนักตัว (กิโลกรัม) X % บาดแผลไฟไหม้
โดยแบ่งให้ครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คำนวณได้ใน 8 ชั่วโมงแรก และอีกครั้งละ 1 ใน 4 ของปริมาณที่ คำนวณได้ ในช่วง 8-16 ชั่วโมง และ 16-24 ชั่วโมงต่อมา
ภาวะภัยพิบัติ (Disaster)
ส่งผลให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงต่อทั้งชีวิตและสิ่งแวดล้อม
อุบัติภัยหมู่
(Mass Casualty Incident, MCI)
เหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็ดหลายคน
แนวทางการปฏิบัติในระยะก่อนเกิดภัยพิบัติ
แนวทางในการปฏิบัติในระยะเกิดภัยพิบัติ
แนวทางการปฏิบัติในระยะหลังเกิดภัยพิบัติ
การเตรียมแผน เพื่อรองรับสถานการณ์ทั้งด้าน
บุคลากรสถานที่ ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ
ช่วยเหลือเบื้องต้น ระยะนี้ อาจจะใช้เวลามากน้อยเท่าไรขึ้นอยู่กับขนาดของ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น
ช่วยเหลือด้านการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูสภาพผู้ประสบภัย ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ที่อยู่อาศัย รวมทั้งการจัดอาชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทางด้านเศรษฐกิจด้วย
จากการดูหนัง ได้เห็นเกี่ยวกับการจำแนกผู้ป่วยที่บาดเจ็บจำนวนมากโดยการแบ่งตามอาการ
จากการดูหนัง มีพยาบาลที่ได้ไปช่วยตามหาผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ เมื่อเจอได้ประเมินเบื้องต้นจากการทดสอบ GCS ทำให้รู้ว่ามีเลือดออกในสมอง