Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

บทที่ 4 ภาวะผู้นำ - Coggle Diagram

- - - - พฤติกรรมมุ่งงาน (Initiating Structure behavior) หมายถึงผู้นําที่มี
        ลักษณะของความกระตือรือร้น มีความคิดริเริ่ม มีมนุษยสัมพันธ์ในกลุ่ม ชักนําให้มีการสร้างแบบแผน ที่ดี
      - พฤติกรรมมุ่งคน (Consideration behavior) หมายถึง ผู้นําที่มีลักษณะของ การดูแลเอาใจใส่ มีความเป็นมิตรภาพ มีความไว้วางใจต่อกัน ยอมรับฟังความคิดเห็น ให้การยอมรับ นับถือ ให้ความอบอุ่น
    - - พฤติกรรมผู้นําแบบเผด็จการ (Autocratic leader behavior) เป็นผู้นําที่ยึด ความเห็นของตนเองเป็นหลัก ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานเป็นความสัมพันธ์ใน ลักษณะผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นําจะเน้นออกคําสั่งให้ผู้ตามปฏิบัติ ผู้นําจะตัดสินใจคน เดียวว่าจะทําอะไร
      - พฤติกรรมผู้นําแบบประชาธิปไตย (Democratic leader behavior) ผู้นําแบบ ประชาธิปไตยจะมีการให้ความสําคัญกับผู้ตามมาก จะไม่เน้นถึงอํานาจหน้าที่ แต่ตะเปิดโอกาสให้ผู้ ตามแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการตัดสิจใจ
      - พฤติกรรมผู้นําแบบปล่อยตามสบาย (Laissez-faire leader behavior) หรือ แบบเสรีนิยม ผู้นําแบบปล่อยตามสบายจะเน้นให้ความอิสระแก่ผู้ตามมาก จะอนุญาตให้ผู้ตามมี อํานาจกระทําการใดๆได้ตามใจชอบ
    - - พฤติกรรมที่มุ่งงาน (Job-Centered Behavior) พฤติกรรมที่มุ่งงาน เป็นพฤติกรรมของผู้นำที่มุ่งให้ความสนใจในงานที่
        ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ และสนใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานดังกล่าวได้ดีเพียง
      - พฤติกรรมี่มุ่งให้ความสำคัญแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา (People-Centered Behavior)ในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ (subordinates as people) มุ่งในความสนใจในความต้องการของ บุคคล เน้นการสร้างความร่วมมือและเน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม
    - - พลังที่มีอยู่ในตัวผู้บริหาร (forces in the manager) ประกอบด้วย
        1) ระบบค่านิยม (value system)
        2) แนวโน้มเกี่ยวกับลักษณะส่วนตัวของภาวะผู้นำ (personal leadership inclinations)
        3) ความรู้สึกเกี่ยวกับความมั่นคงในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
      - พลังที่มีอยู่ในตัวของผู้ใต้บังคับบัญชา (forces in the subordinate)
        1) ความต้องการมีอิสระ (need for interdependence)
        2)ความพร้อมที่จะรับผิดชอบ (readiness to assume responsibility)
        3) ความคลุมเครือ (tolerance for ambiguity) สะท้อนให้เห็นถึงความ
        4) ผลประโยชน์ (interest)
        5) ระดับความเข้าใจในเป้าหมายขององค์การ(goals)
        6) ระดับของความคาดหวังที่จะร่วมกันตัดสินใจ (sharing in decision
      - พลังที่มีอยู่ในสถานการณ์ (forces in the situation) ประกอบด้วย
        1) ประเภทขององค์การ(type of organization)
        2) ประสิทธิผลของกลุ่มงาน (work group effectiveness)
        3) ลักษณะของปัญหา (problem itself)
        4) แรงกดดันจากเวลา (time pressure)
        5) ความต้องการที่จะเข้าไปแก้ปัญหาของผลบริหารในลำดับที่สูงขึ้น
        6) ความต้องการของรัฐบาลสหภาพแรงงาน และสังคมที่จะเข้าไปมีส่วนในการแก้ปัญหา
  - - - พฤติกรรมของผู้นําที่มุ่งงาน (task motivation)
      - พฤติกรรมของผู้นําที่มุ่งมนุษยสัมพันธ์ (relationship motivation) ไฟด์ เลอร์ได้พัฒนาเครื่องมือในการวิจัย เป็นแบบสอบถามเรียกว่า “ แบบสอบถามเพื่อวัดระดับความพึง พอใจที่บุคคลมีต่อเพื่อนร่วมงานน้อยที่สุด (The Least Preferred Co-worker Questionnaire : LPC)”
    - - หลักการสําคัญของทฤษฎี (Basic Premises)
        ทฤษฎีภาวะผู้นําแบบวิธีการกับการบรรลุเป้าหมาย เป็นทฤษฎีท่ีมีพื้นฐานการพัฒนามาจาก ทฤษฎีความคาดหวัง (Expectancy Theory of Motivation)
      - พฤติกรรมของผู้นํา (Leader Behavior)
        
        ภาวะผู้นําแบบชี้นํา (Directive Leadership)
        
        ภาวะผู้นําแบบสนับสนุน (Supportive Leadership)
        
        ภาวะผู้นําแบบมีส่วนร่วม (Participative Leadership)
        
        ภาวะผู้นําแบบมุ่งความสําเร็จ (Achievement-Oriented Leadership)
    - - ผู้นำแบบชี้นำ (Telling) เป็นภาวะผู้นำที่มุ่งงานสูง (high task) แต่มีมิติสัมพันธ์ต่ำ (low relationship) ผู้นำจะกำหนดบทบาทของผู้ใต้บังคับบัญชา
      - ผู้นำแบบขายความคิด (Selling) เป็นภาวะผู้นำที่มุ่งงานสูง (high task) และมีมิติสัมพันธ์ สูง (high relationship) ผู้นำจะมุ่งที่จะชี้นำการทำงานให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
      - ผู้นำแบบมีส่วนร่วม (Participating) เป็นภาวะผู้นำที่มุ่งงานต่ำ (low task) และมีมิติ สัมพันธ์สูง (high relationship) ผู้นำกับผู้ตามร่วมกันการตัดสินใจ
      - ผู้นำแบบมอบอำนาจ (Delegating) เป็นภาวะผู้นำที่มุ่งงานต่ำ (low task) และมีมิติ สัมพันธ์ต่ำ (low relationship) โดยผู้นำจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชา
  - - - ผู้นําแบบปฏิรูป (Transformational Leadership) ปฏิบัติภารกิจท่ีสําคัญหลาย ประการ
        
        ทําให้บุคลากรตระหนัก (awareness) ถึงปัญหาขององค์การ และผลที่จะเกิดข้ึนจาก ปัญหา (consequences)
        
        พัฒนากลยุทธ์ (strategy) ขอองค์การ ให้เกิดข้ึนในกระบวนการเชิงกลยุทธ์ทั้งระบบ ขององค์การ
        
        กําหนดวิสัยทัศน์ขององค์การ (create vision) กล่าวคือ การกําหนดว่าองค์การควร เจริญเติบโตไปทิศทางใดในอนาคต (what the organization) สร้างความผูกพันและการยอมรับ (commitment) ในวิสัยทัศน์ให้ครอบคลุมทั้งองค์การ
    - - เซอร์โตได้อธิบายว่า “ภาวะผู้นําแบบผู้สอนงาน (Coaching leadership)” หมายถึง ภาวะ ผู้นําที่ผู้บริหารให้คําแนะนํา (instruct) แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาถึงวิธีการที่จะจัดการกับสถานการณ์ท่ีเป็น การท้าทายองค์การให้บรรลุผลสําเร็จได้
    - - ผู้นําแบบพิเศษจะประสบผลสําเร็จได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถพัฒนาผู้ตาม (followers) ให้เป็นบุคคลท่ีมีประสิทธิภาพสูง ทํางานได้อย่างอิสระ และต้องการให้ผู้นําเข้ามาควบคุม น้อยท่ีสุด
    - - ภาวะผู้นําแบบผู้ประกอบการอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ผู้นําเป็นนายจ้างของตนเอง (selfemployed) ผู้นําตามทฤษฎีน้ีมีความสําคัญย่ิงต่อองค์การในการแกปัญหาวิกฤติ เขาจะ ดําเนินการราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่มีความเส่ียงในทางการเงินสูงในการลงทุน (risk of losing money)
  - - - ลักษณะด้านแรงจูงใจ (motives needs)
      - ลักษณะด้านอารมณ์ (temperament)
      - ลักษณะด้านความคิด(cognitive)
      - ลักษณะด้านปฏิสัมพันธ์ (interperson)
      - ลักษณะด้านความรู้ (knowledge)
      - ลักษณะด้านมนุษยสัมพันธ์ (relationship)
    - - มีแรงจูงใจสูง (drive) กล่าวคือ เป็นลักษณะที่ผู้นําแสดงออกให้เห็นถึงความ เป็นผู้ที่มีความพยายามในการทํางานสูงมากที่จะทํางานให้บรรลุความสําเร็จ
      - มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะนําผู้อื่น (desire to lead) กล่าวคือ เป็น คุณลักษณะที่ผู้นํามีความต้องการอย่างแรงกล้า (a strong desire)
      - มีความซื่อสัตย์และมีศักดิ์ศรี (honesty and integrity) กล่าวคือผู้นําจะ สร้างความไว้วางใจให้กับผู้อื่นเกิดความเชื่อถือ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกบผู้ใต้บังคับบัญชา
      - มีความเชื่อมั่นในตนเอง (self – confidence) กล่าวคือผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถมองผู้นําโดยปราศจากข้อกังขาใด ๆ
      - มีความรู้เก่ียวกับงานในหน้าที่ (job-relevant knowledge) กล่าวคือ ผู้นําที่ มีศักยภาพสูงจะต้องมีความรู้และความรอบรู้เกี่ยวกับงานขององค์การ
      - มีความฉลาด (intelligence) กล่าวคือ ผู้นําจะต้องมีความฉลาดเพียงพอที่จะ รวบรวมสังเคราะห์และตีความสารสนเทศที่มีอยู่อย่างมากมายหรือมอยู่อย่างจํากัด
    - - ความเห็นพ้องทางค่านิยม (affirming value) ซึ่งเป็นสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติของ ผู้คนในชุมชน
      - การจูงใจ (motivation) ผู้นำต้องจูงใจบุคลากรในการทำงานและช่วย แก้ปัญหาสังคม
      - กำหนดภาพในอนาคตของเป้าหมาย (envisioning goals) ผู้นำต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ที่ดีให้แก่องค์กร
      - การจัดการ(managing) ผู้นำต้องกำหนดเป้าหมาย วางแผนงาน จัดลำดับ ความสำคัญ
      - ความเป็นหนึ่งเดี่ยวกันเพื่อความสำเร็จของงาน (achieving workable unity)
      - การอธิบาย (explaining) ผู้นำต้องสอน หรืออธิบายให้ผู้อื่นใจได้ง่าย นั่นคือสามารถใช้การติดต่อสื่อสารที่ดี
      - การแสดงสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้นำ (serving as a symbol)
      - เป็นตัวแทนกลุ่ม (representing the group) ผู้นำต้องใจกว้าง
      - การสร้างสิ่งใหม่ ๆ (renewing) ผู้นำต้องรู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้น ให้เกิดศักยภาพในผู้อื่น
- - - - ความพร้อมในการทํางาน คือ ผู้นําต้องประเมินความพร้อมในการทํางานขององค์กร โดยผู้นํา ต้องมีข้อมูลภายในองค์กรและภายนอกองค์กร
      - อํานาจส่วนตัว คือ ผู้นําต้องประเมินตนเองถึงความสามารถของตนเองในการท่ีจะชักนําให้ผู้อ่ืน ยอมทําตามด้วยความสมัครใจ
      - บุคลิกลักษณะ ผู้นําต้องประเมินตนเองถึงบุคลิกภาพและคุณลักษณะแบบท่ีเหมาะสมที่ทําให้ ผู้ร่วมงานเชื่อถือและไว้วางใจ ท้ังการวาง ท่าทาง วาจา และการประพฤติปฏิบัติการทํางานด้วยความมุ่งมั่น