Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 8 เรื่อง การประเมินภาวะสุขภาพการดูแลช่วยเหลือมารดาและทารกในระยะที่ 2…
บทที่ 8 เรื่อง การประเมินภาวะสุขภาพการดูแลช่วยเหลือมารดาและทารกในระยะที่ 2 ,3 และ 4 ของการคลอด
1) การตรวจการฉีกขาดช่องทางคลอด การตรวจการหดรัดตัวของมดลูก
การตรวจการฉีกขาดช่องทางคลอด
มีข้อควรสังเกตคือ
ถ้ามีการเสียเลือดมากหลังคลอดโดยที่มดลูกมีการหดรัดตัวดีและตรวจรกพบว่าสมบูรณ์ดี
สาเหตุของการตกเลือดจะมาจากการฉีกขาดของช่องทางคลอดและปากมดลูก
อาจพบเป็น
ก้อนเลือด (Puerperal hematona )
3ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการฉีกขาด
1การทําสูติศาสตร์หัตถการต่างๆ เช่น การใช้เครื่องดูดสุญญากาศ การใช้คีมช่วยคลอด การหมุนเปลี่ยนท่าเด็กภายใน ทําไม่ถูกวิธี หรือ ไม่มีความชํานาญพอ
2การคลอดเร็วผิดปกติ ( Precipitated labour) ทําให้ช่องทางคลอดปรับตัวหรือขยายตัวไม่ทัน เกิดการฉีกขาดได้
3การตัดฝีเย็บที่ไม่ถูกวิธี อาจทําให้มีเลือดออกมาก ถ้าเป็นการฉีกขาดของหลอดเลือดฝอยหรือเส้นเลือดดําขอดพองจะเสียเลือดเพิ่ม
4มดลูกบางกวาปกติ เนื่องจากผ่านการตั้งครรภ์และคลอดมาหลายครั้ง เคยผ่าเนื้องอกของมดลูก เคยผาตัดคลอดทางหน้าท้อง แผลฉีกขาดที่เกิดที่มดลูกอาจจะฉีกต่อลงมาที่ปากมดลก
2อาการแสดง
1.มดลูกหดรัดตัวแข็ง
2.เลือดที่ออกมาเป็นสีแดงสดและออกตามจังหวะชีพจร
3.ตรวจพบรอยฉีกขาดของช่องทางคลอด
4.ในรายที่มดลูกแตก ถ้ารอยแตกไม่สูงจะคลําได้จากการตรวจภายใน
1ระดับการฉีกขาดของแผลฝีเย็บ
1.First degree tear
เป็นการฉีกขาดบริเวณ Fourchette ผิวหนังบริเวณด้านหน้าของฝีเย็บเยื่อบุช่องคลอดเท่านั้น แต่ Fascia และกล้ามเนื้อของ Perineal body ไม่มีการฉีกขาด
2.Second degree tear
เป็นการฉีกขาดที่ลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อของ Perineal body แต่ไม่ถึง anal sphincter
3.Third degree tear
เป็นการฉีกขาดที่ลึกลงไปถึงหูรูดทวารหนัก (Anal sphincter) บางครั้งถึงผนังหน้าของทวารหนัก (Rectal mucosa) ซึ่งเรียกว่า Complete tear
4.Fourth degree
บางครั้งการฉีกขาดอาจเกิดขึ้นบริเวณ Labia, clitoris
และรอบๆ urethra อาจเป็นรอยถลอกหรือลึกพอที่จะทำให้เกิดการเสียเลือดได้
การตรวจการหดรัดตัวของมดลูก
การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี
อาการแสดง
1 มดลูกใหญ่ นุ่ม ไม่ตึงตัว
2 เลือดที่ออกมีสีค่อนข้างคลำ้และซึมออกตลอดเวลา
3 ตรวจไม่พบรอยฉีกขาดของช่องทางคลอด
4 ตรวจไม่พบรอยฉีกขาดของมดลูก
มดลูกจะลดขนาดลงทันทีที่เด็กและรกคลอดแล้ว สามารถคลำไปทางหน้าท้องมีลักษณะเป็นก้อนแข็งจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ระดับยอดมดลูกจะลดลงมาอยู่ที่ระดับตำกว่าสะดือหลังจากคลอดครบ หลังจากนั้นใน
วันที่ 2 หลังคลอดมดลูกจะหดรัดตัวและลดขนาดลงวันละ 1/2 - 1 นิ้ว หรือประมาณ1 fingerbreadth (FB)
7 วันหลังคลอดระดับมดลูกจะอยู่กึ่งกลางระหว่างหัวเหน่ากับสะดือ หรือประมาณ 3 นิ้วฟุตเหนือหัวเหน่า
2 สัปดาห์หลังคลอดระดับมดลูกจะอยู่ที่ระดับหัวเหน่าหรือคลำไม่พบทางหน้าท้อง
6 สัปดาห์หลังคลอดมดลูกจะมีน้ำหนักเท่ากับระยะก่อนตั้งครรภ์ คือประมาณ 50 กรัม
ถือว่าสิ้นสุดกระบวนการลดขนาดของมดลูกในระยะหลังคลอด สำหรับมารดา
ระยะหลังคลอด การกลับเข้าสู่ภาวะปกติของมดลูกนี้เรียกว่า uterine involution
“ถ้าระดับมดลูกไม่ลดลงติดต่อกัน 3 วัน
หรือมดลูกลดตัวช้ากว่าปกติเรียกว่า
“มดลูกไม่เข้าอู่”
การดูดนมจะกระตุ้น Posterior pituitary gland หลั่ง Oxytocinไปกระตุ้นมดลูกให้หดรัดตัว
ระยะเวลาที่เกิดอาการ ปวดมดลูกปกติจะไม่เกิน 72 ชั่วโมง ถ้าอาการปวดมดลูกมีนานเกิน 72 ชั่วโมง
หรืออาการเจ็บปวดรุนแรงอาจเกิดจากมีเศษรกค้างหรือมีก้อนเลือดค้างอยู่
https://administer.pi.ac.th/uploads/eresearcher/upload_doc/2015/academic/1422690008532793009615.pdf
2) การตัดและซ่อมแซมฝีเย็บ
การตัดฝีเย็บ
1หมายถึง
การตัดบริเวณรูเปิดของช่องคลอดเพื่อช่วยขยายปากช่องคลอดให้กว้างขึ้น สะดวกในการเคลื่อนผ่านของศีรษะและลำตัวทารกออกสู่ภายนอก ในช่วงที่กำลังมีการเบ่งคลอด จะทำในระยะที่ 2 ของการคลอดเพื่อป้องกันการฉีกขาด
ผู้ทำคลอดนิยมตัดฝีเย็บ (Episiotomy)
ตัดเมื่อฝีเย็บ ตุง บาง มัน ใส ศีรษะเท่าไข่ไก่ เส่นผ่านศูนย์กลาง 4-5 cm
4ข้อบ่งชี้ในการตัดฝีเย็บ
1.การตัดฝีเย็บไม่จำเป็นสำหรับผู้คลอดทุกราย (WHO, 2018c) ขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างศีรษะของทารกกับฝีเย็บ
ระยะเวลาในการคลอด และความจำเป็นในการช่วยคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการ
ถ้ากระบวนการคลอดเกิดขึ้นช้าๆ ร่วมกับฝีเย็บนุ่มและยืดขยายดี ทารกสามารถเคลื่อนต่ำลงมาได้เรื่อยๆ โดยไม่มีอาการแสดงว่าจะมีการฉีกขาดของฝีเย็บก็ไม่จำเป็นต้องตัด
2.การตัดฝีเย็บจะทำเฉพาะกรณีที่คาดว่า ถ้าปล่อยให้การคลอดดำเนินต่อไปจะเกิดการฉีกขาดของฝีเย็บ
ข้อบ่งชี้ในการตัดฝีเย็บ
ได้แก่ ฝีเย็บสั้น สูงหรือหนา ในการคลอดที่ใช้คีมหรือเครื่องดูดญญากาศช่วยคลอด
ในรายที่ทารกมีขนาดใหญ่ ในรายที่ทารกคลอดก่อนกำหนดเพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะถูกกดมากเกินไป
ในรายที่ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ ได้แก่ ท่ากัน ท่าหน้า ท่าท้ายทอยอยู่ด้านหลัง
ในรายที่ระยะที่สองของการคลอดยาวนาน หรือมีอาการที่แสดงว่าเกิด fetal distress รวมทั้งในรายที่มุมกระดูกหัวหน่าวแคบ
6ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการตัดฝีเย็บ
1.มีเลือดออกจากแผลฝีเย็บ (Bleeding)
2.แผลฝีเย็บบวมเลือด (Hematoma)
3.ความเจ็บปวดของฝีเย็บเป็นภาวะแทรกซ้อ้ นที่รบกวนผู้คลอดทำใหรู้้สึกไม่สุขสบาย
4.การติดเชื้อบริเวณแผลฝีเย็บ จะเห็นขอบแผลแดง บวม แข็ง รอยแผลที่เย็บไว้จะปริหรือแตก
3ประโยชน์ของการตัดฝีเย็บ
1.ลดอันตรายที่จะเกิดกับสมองทารก คือ ภาวะเลือดออกในสมองจากการที่ศีรษะถูกกดบริเวณปากช่องคลอดนาน
2.ป้องกันการฉีกขาดและการหย่อนยานของ pelvic floor ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดปัญหาในการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะในภายหลังได้
3.สะดวกในการซ่อมแซมฝีเย็บ ถ้าฝีเย็บฉีกขาดเองแผลจะกระรุ่งกระดิ่ง เย็บซ่อมแซมยาก
4.ช่วยลดเวลาในระยะที่สองของการคลอด
5ชนิดของการตัดฝีเย็บ
ทั่วไปมี 5 แบบ
1.Medio-lateralเป็นวิธีที่นิยมกันมาก
การตัดเริ่มจากบริเวณกลาง fourchette ลงไปบริเวณด้านข้างฝีเย็บข้างใดข้างหนึ่งเป็นแนวเฉียง ประมาณ 45 องศา หรือห่างจากทวารหนัก 2-3 cm
ข้อดี : มีโอกาสฉีกขาดลุกลามไปถึง rectum ได้น้อยกว่าแบบ median ข้อเสีย : การเย็บซ่อมแซมยากกว่า median
2.Median เป็นที่นิยมทำเช่นกัน
การตัดเริ่มจากแนวกลาง fourchette ลงไปตรงๆ ตัดประมาณ 2.5 - 3 cm ของฝีเย็บ ห่างจากกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักอย่างน้อย 1 cm
-ข้อดี : เสียเลือดน้อย การเย็บซ่อมแซมทำได้ง่าย และไม่รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลภายหลังคลอดเท่ากับแบบ Medio - Lateral
-ข้อเสีย : มีโอกาสฉีกขาดลุกลามไปถึง rectum ได้มากกว่าแบบ Medio - Lateral episiotomy
3.Jshaped
เริ่มจากตรงกลาง fourchette ลงไปตรงๆ ประมาณ 2 cm แล้วเฉียงออกไปด้านข้างของฝีเย็บเพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณทวารหนัก
วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เพราะเย็บแผลยาก แผลที่ซ่อมแซมแล้วมักมีรอยย่น
4.Lateral
การตัดจะตัดออกไปตามแนวราบของฝีเย็บข้างใดข้างหนึ่ง
วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
เนื่องจากมีเลือดออกมากและแผลหายช้า ทำให้กล้ามเนื้อชั้นลึกหย่อนและเย็บลำบาก
5.nverted IT incision เป็นการตัดฝีเย็บที่มีทำหลังการตัดวิธี Median episiotomy
เพื่อเพิ่มความกว้างของช่องทางคลอด
7การใช้ยาชาเฉพาะที่ก่อนทำการตัดฝีเย็บ
เพื่อป้องกันความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น
นิยมใช้ในปัจจุบันคือ
xylocaine HCL หรือ lidocaine
ออกฤทธิ์เร็วประมาณ 1 - 2 นาทีหลังฉีด และออกฤทธิ์นานประมาณ 1 ชั่วโมง
ส่วนใหญ่พิษของยาเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1.การฉีดยาเข้าหลอดเลือด ก่อนฉีดทุกครั้งควรจะตรวจสอบดูว่าแทงเข็มเข้าหลอดเลือดหรือไม่ ถ้าไม่มีเลือดออกมาแสดงว่าเข็มไม่เข้าหลอดเลือดก็ฉีดยาเข้าไปช้า ๆ พร้อมกับถอนเข็มออก
2.ให้ยาที่มีความเข้มข้นหรือจำนวนมากเกินไป ปกติยาชาเฉพาะที่จะใช้ชนิดความเข้มข้น0.5-1% ปริมาณของยาชาที่ใช้ไม่ควรเกิน 500 มิลลิกรัมต่อครั้ง
การใช้ยาชาเฉพาะที่ควรคำนึงถึงความเข้มข้น และจำนวนยาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยของคลอดและทารกในครรภ์
วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่ปฏิบัติดังนี้
1) เตรียมกระบอกฉีดยาขนาด 10 ml และเข็มฉีดยาเบอร์18 ดูดน้ำยา 1% xylocaineประมาณ 10 ml แล้วเปลี่ยนเข็มเป็นเบอร์ 23 - 24 สำหรับฉีด
2) บอกให้ผู้คลอดทราบ
3) ในขณะที่มดลูกหดรัดตัว ใส่นิ้วชี้และนิ้วกลาง 2 นิ้วของมือซ้ายเข้าไปในช่องคลอดระหว่างฝีเย็บและศีรษะทารกเพื่อป้องกันไม่ให้เข็มผ่านเข้าไปยังศีรษะทารก
4) แทงเข็มเข้าไปบริเวณจุดกลางของ fourchette ลงไปจนสุดเข็มให้ปลายเข็มอยู่ระหว่างทวารนัก และ Ischial tuberosity หรือประมาณ 45 องศา จากจุดกึ่งกลาง ตรวจสอบดูก่อนว่าปลายเข็มแทงเข้าไปในหลอดเลือดหรือไม่ ถ้าไม่มีเลือดออกก็ค่อย ๆ ฉีดยาเข้าไปประมาณ 2 - 3 ml พร้อมกับถอนเข็มออกช้า ๆ ให้ปลายเข็มมาอยู่ที่กึ่งกลางๆถึงกลางของ fourchette อย่างเดิม
5) แทงเข็มเข้าไปยังจุดอื่นของฝีเย็บเป็นรูป fan-shaped บริเวณที่ฉีดยาจะเป็นบริเวณที่เหนือกว่าจุดแรก 1 จุด และต่ำกว่าจุดแรก 1 จุด โดยแต่ละจุดให้ปลายเข็มห่างกันประมาณ 1 cm ก่อนฉีดยาทุกครั้งให้ตรวจสอบดูก่อนว่าไม่ได้แทงเข้าหลอดเลือด แล้วฉีดยาเข้าไปแห่งละไม่เกิน 3ml เมื่อฉีดครบหมดทุกจุดแล้วจึงถอนเข็มออกจากจุดกึ่งกลาง fourchette
พิษของยาได้แก่
ซึม มีอาการกระตุกตามหน้า ส่วนแขนและขาของร่างกาย ชัก ทางเดินหายใจถูกกด (respiratory depression) การไหลเวียนของโลหิตไม่พอเพียง
การแก้ไข เมื่อมีอาการแพ้ยา
ให้นอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง ช่วยให้ทางเดินหายใจสะดวกและให้ออกซิเจน
8การฉีกขาดของฝีเย็บ
แบ่งตามระดับการฉีกขาดฝีเย็บ
ระดับ1 (first degree tear) เป็นการฉีกขาดที่บริเวณ fourchette ผิวหนังบริเวณด้านหน้า
ของฝีเย็บหรือเยื่อบุช่องคลอดเท่านั้น
ระดับ2 (second degree tear) เป็นการฉีกขาดที่ลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อของ perineal bodyเช่น กล้ามเนื้อรอบปากช่องคลอด(bulbocavernosus), superficial and deep transverse perineummuscles แต่ไม่ถึงหูรูดทวารหนัก (sphinctor ani)
ระดับ3 (third degree tear) เป็นการฉีกขาดที่ลึกลงไปถึงหูรูดทวารหนัก
ระดับที่ 4 (fourth degree tear; Complete tear) เป็นการฉีกขาดถึงผนังหน้าของทวารหนัก
ความไม่สมดุลระหว่างศีรษะทารกกับฝีเย็บ
1.ทารกตัวโตเกินไป หรือทารกคลอดในท่ากัน จึงทำให้เกิดการฉีกขาดของฝีเย็บได้ง่าย
2.การยืดขยายของฝีเย็บไม่ดี ได้แก่ ไม่มีความต้านทานเนื่องจากมีแผลเป็น เคยตัดฝีเย็บมาก่อน ฝีเย็บบวมจากการที่ศีรษะทารกมากดนาน ๆ มีเส้นเลือดขอดบริเวณมีเส้นเลือดขอดบริเวณปากช่องคลอดและฝีเย็บ มี fibrous tissue มากเกินไป
3.ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ (malpresentation)
4.ฝีเย็บสูง
5.เคยซ่อมแซมตบแต่งช่องคลอดและฝีเย็บมาก่อน
การคลอดที่เกิดอย่างรวดร็ว
ฝีเย็บถูกยึดขยายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากแรงผลักดันมาก มดลูกหดรัดตัวแรง เบ่งแรง หรือในรายที่รีบทำคลอดศีรษะออกในรายท่ากันโดยไม่ระวังฝีเย็บ
คลอดโดยใช้เครื่องมือ
การใช้คีม หรือการตัดเอาทารกออกเป็นส่วนๆ (decapitation)โดยไม่ระวังฝีเย็บ
error
9อาการแสดงว่าฝีเย็บจะมีการฉีกขาด
1.ฝีเย็บตุงมาก แต่ยืดขยายไม่ดี หรือฝีเย็บสูง
2.มีเลือดไหลซึมออกจากช่องคลอดเมื่อศีรษะมาอยู่ที่ฝีเย็บ ซึ่งแสดงว่าอาจมีการฉีกขาดของเยื่อบุช่องคลอดภายใน มีแนวโน้มที่จะฉีกขาดออกมาถึงภายนอกได้
3.บริเวณ fourchette มีสีเขียวคล้ำ และต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวมันบางใสใกล้จะปริออกจากกัน
4.มีการฉีกขาดที่ fourchete ก่อนที่ศีรษะทารกจะมี crowning โอกาสที่จะฉีกขาดรุนแรงย่อมมีมาก
วิจัยการตัดฝีเย็บตามกิจวัตรกับการตัดฝีเย็บเท่าที่จำเป็นในผู้คลอดคร้ัแรก
http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/52921191.pdf
2สาเหตุของการตัดฝีเย็บ
1.ความไม่สมดุลระหว่างศีรษะทารกกับฝีเย็บ ได้แก่ทารกตัวโตเกินไป ฝีเย็บยืดขยายไม่ดี Subpubic arch แคบ ทารกท่าผิดปกติ ฝีเย็บสูงและเคยทำการซ่อมตกแต่งช่องคลอดและฝีเย็บมาก่อน
2.การคลอดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
3.คลอดโดยใช้สูติศาสตร์หัตถการ
10การพยาบาลขณะที่ตัดฝีเย็บ
1.บอกให้ผู้คลอดทราบ
2.ฉีดยาชาอย่างถูกวิธีให้ในขนาดที่เหมาะสมและระวังไม่ฉีดเข้าไปในหลอด
เลือด
3.ตัดฝีเย็บในเวลาที่เหมาะสม
4.สังเกตฤทธิ์ข้างเคียงของยาชา ซึ่งเกิดจากฉีดยาเข้าหลอดเลือดหรือให้ยาที่มีความเข้มข้นหรือจำนวนมากเกินไป อาการเหล่านั้น ได้แก่ ซึม มีอาการกระตุกตามใบหน้า แขน ขา ชัก ทางเดินหายใจถูกกด การไหลเวียนของโลหิตไม่เพียงพอ
5.สังเกตปริมาณเลือดที่ออกจากฝีเย็บ ถ้ามีเลือดออกมาก ควร stop
bleeding
คลิปการตัดฝีเย็บ ในปัจจุบันระหว่างการคลอด
https://www.youtube.com/watch?v=-wCkJ_1FuVc
การซ้อมแซมแผลฝีเย็บ Perineorrhaphy
การเย็บซ่อมแซมนี้จะทำภายหลังจากที่รกคลอดเรียบร้อยแล้ว
วัตถุประสงค์ของการซ่อมแซมฝีเย็บ
1.ป้องกันการเสียเลือดมาก
2.ให้แผลติดเร็วขึ้น
3.ให้พื้นเชิงกรานกลับคืนสู่สภาพเดิม
เทคนิคในการเย็บซ่อมแซมอาจแตกต่างกันไปแต่โดยทั่วๆ ไป ปฏิบัติดังนี้
1.แจ้งให้ผู้คลอดทราบและจัดท่าผู้คลอดให้อยู่ในท่านอนพาดขาบนขาหยั่ง
2.เตรียมเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการซ่อมแซมฝีเย็บให้พร้อม ได้แก่ needle holder, artersclamp,tooth forceps, กรรไกรตัดไหม, chromic catgut เบอร์ 270, เข็มเย็บแผล, tampon,ฆ่าเชื้อ, สำลีและผ้าก็อช
3.ทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอดรอบทวารหนักและด้านในของโคนขาด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
และปูผ้ารองเย็บแผลและผ้าช่องหรือผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง
4.คลึงมดลูกให้หดรัดตัวแข็ง แล้วกดยอดมดลูกเพื่อไล่เลือดก้อนที่ค้างอยู่ในโพรงมดลูก
5.ประเมินการฉีกขาดของช่องคลอดและฝีเย็บ ขนาดและความลึกของแผล ซึ่งปกติแผลจากการตัดฝีเย็บมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มุมยอดคือยอดของแผลในช่องคลอด มุมล่างคือ
ส่วนต่ำสุดของรอยขาดบนผิวหนัง มุมด้านข้างทั้งสองคือบริเวณ fourchette ที่แยกออกจากกัน
6.ใส่ tampon ให้ลึกพ้นก้นแผลเพื่อป้องกันมิให้เลือดจากโพรงมดลูกไหลออกมาเคลือบบริเวณแผล ทำให้เห็นขอบแผลและก้นแผลไม่ชัด
7.ฉีดยาชาเฉพาะที่โดยเริ่มฉีดจากมุมแผลบนผิวหนังด้านนอกให้ถึงกันแผลด้านในของช่องคลอดระวังการฉีดเข้าหลอดเลือดและการฉีดยาในปริมาณมากเกิน
8.เย็บซ่อมแซมแผล โดยปกติจะเย็บซ่อมแซม 3 ชั้น คือ
แผลในช่องคลอด ได้แก่ deep and superficial tissues, and vagina mucosa
กล้ามเนื้อพื้นเชิงกราน และบริเวณฝีเย็บ
ผิวหนังของฝีเย็บ และ subcutaneous tissue
การเย็บแผลฝีเย็บด้วยหุ่นจำลองฟองน้ำ
https://www.youtube.com/watch?v=zos6Sd5lwt0
https://www.youtube.com/watch?v=yE5HheA2jO0
:
1หมายถึง
เป็นการเย็บซ่อม Fascia และกล้ามเนื้อ ด้วยไหมละลาย No 2/0 -3/0 ให้ขอบแผลเชื่อมกันเหมือนเดิม
2ระดับการฉีกขาดของฝีเย็บ
1.First degree tear เป็นการฉีกขาดของ ผิวหนังที่ฝีเย็บและชั้นเยอื่บผุนังช่องคลอด
2.Second degree tear เป็นการฉีกขาด ของชั้นผิวหนัง เยื่อบุ พังผืด และกล้ามเนื้อของ ช่อง คลอดและฝีเย็บ
3.Third degree tear เป็นการฉีกขาดเช่นเดียวกับ
Second degree tear และกล้ามเนื้อเนื้อหู รูดทวารหนัก
4.Fourth degree tear เป็นการฉีกขาดเช่นเดียวกับ Third degree tear และมีการฉีกขาดต่อ จากกล้ามเนื้อหู รูดทวารหนักจนถึงผนังของ Rectu
3ชนิดของการเย็บแผล
1.Interrupted simple suture
คือ การเย็บแผลทั้งสองข้างให้มาบรรจบกันตรงกลางแล้วผูกปม การเย็บควรใช้เข็มตักให้ห่างจากขอบแผลประมาณ 1 cm และลึกลงข้างใต้แผลประมาณ 1 cm หรือมากกว่า แล้วแต่ความลึกของแผล เพื่อป้องกันไม่ให้เหลือช่องว่างใต้แผล การเย็บวิธีนี้ทำได้ง่าย และเร็ว ใช้เย็บเยื่อบุผนังช่องคลอด กล้ามเนื้อของช่องคลอดและฝีเย็บ
2.Horizontal figure-of-eight suture (การเย็บรูปเลข 8 )
ใช้เย็บจุดเลือดออก เย็บ rectus sheath และแผลอื่น ๆ แทนการเย็บแบบที่ 1ได้
3.Continuous non-locking ใช้ไหมเส้นเดียวเย็บตลอดความยาว
ของแผลแล้วจึงผูก ปม วิธีนี้ท าได้ง่าย เสร็จแล้ว ใช้เย็บเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการแรงยึดมากนัก เช่น เนื้อเยื่อและ ไขมันใต้ผิวหนัง
4.Continuous lock วิธีเย็บคล้ายกับแบบ simple suture แต่ใช้ไหมเส้นเดียวกันเย็บตลอดความยาวของแผล
ใช้เย็บในรายที่ต้องการให้ส่วนที่เย็บตึงมากกว่า วิธีที่ 3 เป็นการช่วยให้เลือดหยุด ใช้เย็บเยื่อบุผนังช่องคลอด กล้ามเนื้อของช่องคลอดและฝีเย็บ
5.Subcuticular stitchใช้เย็บชั้นใต้ผิวหนัง
เริ่มต้นจากมุมแผล แล้วใช้เข็มแทงใต้ผิวหนังเข้าไป ห่างจากขอบอย่างน้อย 0.3 cm เข้าและออกในขอบแผลทั้งสองข้าง ที่ระดับเดียวกันจนถึงมุม แผลอีกข้าง จึงผูกปม
การเย็บวิธีนี้มีข้อดี
คือ แผลเล็ก เรียบ สวยงาม
มีข้อเสีย
คือ ถ้าแผลไม่ตื้น พอจะทำให้มีช่องว่างใต้ผิวหนังมาก อาจเกิดก้อนเลือดคั่งข้างในและแผลไม่ติด
3) การคาดคะเนการเสียเลือด
บทความวิจัยปัจจัยที่ส่งผลต่อการตกเลือดหลังคลอดระยะแรก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/download/169857/122139/
1ความหมาย
ภาวะตกเลือดหลังคลอด
หมายถึง การเสีย
ลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตร จากกระบวนการคลอดปกติและมากกว่าหรือเท่ากับ 1,000 มิลลิลิตรจากการผ่าตัดคลอด
รวมถึงการวินิจฉัยจากความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงที่ลดลงมากกว่าร้อยละ 10 จากก่อนคลอดและจากอาการแสดงถึงการช็อกจากการเสียเลือด
2การตกเลือดหลังคลอด แบ่งตามระยะเวลาของการตกเลือดได้ 2 ชนิด
(WHO, 2010; Murray & McKinney, 2014)
1.การตกเลือดหลังคลอดในระยะแรก (Primary or early postpartum hemorrhage) (ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ, ่ 2560)
หมายถึง การตกเลือดที่เกิดขึ้นตั้งแต่หลังคลอดทันทีจนถึง 24 ชั่วโมงหลังคลอด
2.การตกเลือดหลังคลอดในระยะหลัง
(Secondary or late postpartum hemorrhage) (ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ, 2560)
หมายถึง การตกเลือดที่เกิดขึ้นในระยะ 24 ชั่วโมงจนถึง12 สัปดาห์หลังคลอด
การตกเลือดหลังคลอด
http://apheit.bu.ac.th/jounal/science-july-2560/15_17_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94_proof1_formatted.pdf
3สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการตกเลือดหลังคลอด
4 สาเหตุหลัก (4T)
(ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ, 2560)
1) Tone คือ
มดลูกหดรัดตัวไม่ดี (Uterine atony)
2) Trauma คือการฉีกขาดของช่องทางคลอด (Laceration of the genital tract)
3) Tissue คือ การมีเศษรก/เนื้อเยื่อหรือรกค้าง
4) Thrombin คือ ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด
4อาการและอาการแสดงของการตกเลือดหลังคลอด
ใจสั่น ซีด ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตตํ่า ช็อกมีการขาดออกซิเจน เกิดภาวะไตวาย หัวใจวาย มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือดและเสียชีวิต
ทําให้มารดาหลังคลอดมีสุขภาพอ่อนแอ เป็นโรคโลหิตจาง และมีความต้านทานต่อการติดเชื้อน้อย
ปริมาณนํ้านมไม่พอแก่
การเลี้ยงทารก ซีด และสุขภาพทรุดโทรม
การสูญเสียเลือดมากกว่า 500 cc
คือการคาดคะเนการสูญเสียที่จะวินิจฉัยว่าเป็นการตกเลือดหลังคลอด
5วิธีการประเมินการสูญเสียเลือด
ประเมินจากอาการแสดงทางคลินิก การวัดปริมาณเลือด เช่น
การคาดคะเนด้วยตาเปล่า
การตวงเลือดซึ่งมีหลากหลายวิธี
การชั่งนำ้หนักเลือด
การวัดความเข้มข้นของเลือด
ชั่วโมงแรก ไม่เกิน 60 cc
ชั่วโมงที่2 ไม่เกิน 30 cc
ชั่วโมงที่3 120-240 cc แต่ไม่ควรเกิน 300 cc
ถ้าเกินแสดงว่ามีการตกเลือดระยะที่3 ของการคลอด
รวมทั้งหมดต้องไม่เกิน 500 cc กรณีคลอดธรรมชาติทางช่องคลอด
กรณีผ่าคลอดต้องไม่เกิน 1000 cc
4) การประเมินและการพยาบาลผู้คลอด 2ชม หลังคลอด
การประเมินสภาพร่างกายทั่วไป
1การรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดของครรภ์ปัจจุบันและ ประวัติการมาตรวจครรภ์ขณะตั้งครรภ์
ครรภ์ที่เท่าไร อายุครรภ์เมื่อคลอด ยาที่ได้รับขณะคลอด คลอดโดยวิธีใด ระยะเวลาของการ คลอดระยะที่ 1 - 3 ได้ทารกเพศใด นำ้หนักเท่าไร สภาวะของทารกเมื่อแรกคลอด
2สัญญาณชีพ
BP อาจสูงหรือต่ำกว่าเดิมได้ ถ้าต่ำกว่า 100 mmHg. อาจแสดงถึงภาวะของการเสียเลือดมาก ถ้าสูงกว่าปกติ เกิน 140 mmHg. ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว อาจเสี่ยงต่อภาวะซักได้
ซีพจร ประมาณ 50-70 ครั้ง/นาที ถ้าพบชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ เกิน 90ครั้ง/นาที อาจพบได้ในกรณีเสียเลือด
อุณหภูมิกาย ปกติใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด อาจพบมีไข้ขึ้นได้ไม่เกิน
38 องศาเซลเซียส (Reactionary Fever)
ใน 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด วัดV/S 15 นาที 4 ครั้ง 30 นาที 2 ครั้ง
วัดV/S ทุก15 นาทีหลังคลอดชั่วโมงแรก
7เต้านมและหัวนม
การไหลของนำ้นมและภาวะผิดปกติ
3การหดรัดตัวของมดลูก
ปกติลักษณะกลมแข็ง กดไม่เจ็บ หากพบว่ามดลูกนุ่มแสดงถึงภาวะ Uterine Atony อาจตกเลือดหลังคลอดได้
หลังคลอดไม่เกิน 1 วันยอดมดลูกจะอยู่ที่ระดับสะดือหรือตำ่กว่าระดับสะอืดเล็กน้อย ประมาณ 5-6 นิ้ว เหนือกระดูกหัวหน่าว จะลดลงวันละ 1 นิ้วและจะมีขนาดเท่ามดลูกก่อนตั้งครรภ์ใน Wks 6-8
4กระเพาะปัสสาวะ
พบกระเพาะปัสสาวะเต็มได้ สามารถคลำเหนือบริเวณหัวหน่าวจะได้เป็นก้อนนุ่มหยุ่น จะขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก
อาจปัสสาวะลำบาก หรือไม่อยากถ่ายปัสสาวะ
5ปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอด
1 hr แรก 60 cc ชั่วโมงที่ 2 30 cc
ถ้ามากกว่า 500 cc ใน 24hr หลังคลอด ถือว่าเป็นการตกเลือด
เลือดชุ่มผ้าอนามัย 1 ผืน ประมาณ 50 cc
6แผลฝีเย็บ
ประเมินลักษณะของแผลฝีเย็บโดยใช้ REEDA Score
R = Redness แผลฝียบมีสีแดงหรือไม่
E = Edema ลักษณะบวมหรือไม่
E = Echymosis ลักษณะชำ่เลือดหรือไม่
D= Discharge มีสิ่งคัดหลั่งจากแผลหรือไม่
A = Approximate ลักษณะขอบแผลฝีเย็บเสมอกันหรือไม่
8ความปวดภายหลังคลอด
9การตอบสนองของมารดาต่อทารก
การประเมินสภาวะด้านจิต-สังคม
พยาบาลควรประเมินความรู้สึกต่อการคลอด
สังเกตุปฏิกิริยาที่แสดงออกกับทารกว่าเป็นอย่างไร
มารดาจะอ่อนเพลียมาก ไม่ควรรบกวน
มารดามากเกินไปและดูแลให้พักผ่อนเต็มที่
การดูแลมารดาหลังคลอด 2 ชั่วโมง
1จัดให้มารดานอนหงายราบในท่าที่สบาย
ให้นอนหนีบขาเข้าหากัน เพื่อให้แผลที่เย็บไม่ตึงเกินไป
2ดูแลร่างกายของมารดาให้สะอาด
โดยเปลี่ยนผ้าที่เปียกและเปรอะเปื้อนออกไป เช็ดตัวให้แห้งสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าให้
3สังเกตการหดรัดตัวของมดลูกทุก 15 นาที ใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
และทุก30 นาทีในชั่วโมงที่สองถ้ามีก้อนเลือดค้างอยู่ในโพรงมดลูกเป็นสาเหตุให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดีเกิดการตกเลือดได้
ถ้ามดลูกหดรัดตัวไม่ดีควรคลึงมดลูกแต่หากมดลูกแข็งไม่ควรคลึง
เพราะจะทำให้มดลูกหดรัดตัวมากเกินไป
4สังเกตจำนวนและลักษณะของเลือดที่ออกทางช่องคลอด
ปกติจะมีการเสียเลือดภายหลังรกคลอดแล้วประมาณ 120 - 240 cc.ซึ่งรวมแล้วมารดาจะเสียเลือดประมาณ 300 cc.
ถ้ามีเลือดออกมาจำนวนเกิน 500 cc. ขึ้นไป ถือว่ามีการตกเลือดหลังคลอด
5ตรวจดูกระเพาะปัสสาวะให้ว่างอยู่เสมอ
ภายหลังคลอดจะมีการขับถ่ายนำ้ออกจากร่างกายมาก ดังนั้นในระยะ 1 - 2 ชั่วโมงหลังคลอดอาจพบกระเพาะปัสสาวะเต็มได้ ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง โดยกระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะเพื่อไม่ขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูกและทําให้ตกเลือดหลังคลอดได้หากปัสสาวะเองไม่ได้อาจพิจารณาสวนปัสสาวะทิ้ง
6วัดBP PR RR ทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรกหลังคลอดแล้ววัดทุก 30 นาทีในชั่วโมงที่สองหลังคลอด
ถ้าหาก P เร็วเกิน 100 ครั้งต่อนาที BPตำ่กว่า 100mmHg. หายใจเร็วมักเป็นอาการแสดงว่าตกเลือดหรือช็อค ต้องรีบให้การช่วยเหลือทันที
7การวัดT ภายหลังคลอด
Tอาจสูงหรือตำ่กว่าปกติเล็กน้อย
ถ้าสูงกว่า37.7 C เรียกว่า Reactionary fever
ซึ่งพบได้ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
8ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของมารดา
โดยการห่มผ้าเพื่อป้องกันอาการหนาวสั่นในระยะหลังคลอด
9เนื่องจากได้มีการจำกัดอาการและนำ้ทางปาก และร่างกายมีการสูญเสียนำ้โดยเหงื่อ เลือด และอาเจียน ในระยะเจ็บครรภ์และระยะคลอด หลังการคลอดมารดาส่วนใหญ่จึงกระหายนำ้ จึง
ควรให้มารดาดื่มนำ้
ซึ่งอาจเป็นนำ้เปล่า/
นำ้ผลไม้ได้ทดแทนโพแทสเซียม
หลังคลอดให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ได้ทันที
10พยายามให้มารดาได้พักผ่อนนอนหลับเต็มที่
และควรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เงียบ ไม่มีแสง และเสียงรบกวนมากนัก
11มารดาที่มีแผลที่ฝีเย็บ หรือมีการหดรัดตัวของมดลูกที่รุนแรง จะมีผลให้มารดาเจ็บปวดมาก ควรให้ยาแก้ปวดหรือยานอนหลับ เพื่อให้มารดาได้พักเต็มที่
12สังเกตดูแผลที่ฝีเย็บว่า มีการฉีกขาดของแผลที่เย็บไว้หรือไม่ มีอาการบวมหรือไม่ สังเกตดูอาการคั่งของเลือดคือ เกิด Hematoma ที่บริเวณแผลฝีเย็บ
13การเขียนรายงานการคลอด ควรจะท าให้เสร็จพร้อมๆ กับกระบวนการคลอดสิ้นสุดลงเวลาย้ายมารดาออกไปหน่วยหลังคลอดจะต้องส่งรายงานการคลอดไปพร้อมกันด้วย
14การย้ายมารดาออกจากห้องคลอด ทั่วไปหญิงหลังคลอดจะนอนพักเพื่อการดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องคลอด 2 ชั่วโมง เมื่อไม่มีอาการผิดปกติจะย้ายออกไปนอนที่หน่วยหลังคลอด
ก่อนย้ายพยาบาลจะต้องตรวจดูมดลูก จะต้องแข็งมีการหดรัดตัวดี อยู่ตำ่กว่าระดับสะดือ คลึงมดลูกให้หดตัวเต็มที่และดันไล่ก้อนเลือดออกจากโพรงมดลูก กระเพาะปัสสาวะจะต้องว่าง ถ้าปัสสาวะเต็มต้องกระตุ้นให้มารดาถ่ายปัสสาวะ ถ้าถ่ายเองไม่ได้อาจจ าเป็นต้องสวนให้
การตกเลือดหลังคลอด: บทบาทส าคัญของพยาบาลในการป้องกัน
http://apheit.bu.ac.th/jounal/science-july-2560/15_17_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94_proof1_formatted.pdf
หลักการประเมิน 5 B
1.Body condition : การตรวจสอบประวัติการคลอดเพื่อ
ประเมินปัจจัยเสี่ยงในระยะ คลอด
2.Bladder and Uterus : คือ Bladder เป็นการประเมิน
กระเพาะปัสสาวะว่ามีโป่งตึง มีน้ำปัสสาวะ คั่งค้างหรือไม่ เพื่อการมีน้ำปัสสาวะคั่งค้าง จะทำให้การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี อาจเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้
3.Breast and Lactation คือ การประเมิน ลักษณะของเต้านม
หัวนม และการไหลของน้ำนม เพื่อประเมินความพร้อมในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
4.Bleeding ,Lochia and Episiotomy คือ ประเมินลักษณะและปริมาณของเลือดหรือ น้าคาวปลาที่ออกจากช่องคลอด
การประเมินบริเวณ ช่องทางคลอดและแผลฝีเย็บ ใช้หลัก REEDA Scale
ในการประเมิน ซึ่งประกอบด้วย
Redness คือ แผลมีลักษณะ แดงอักเสบหรือไม่
Edema คือ แผลมีลักษณะบวม หรือไม่
Ecchymosis คือ แผลมีรอยช้าเลือด หรือจำ้เลือด หรือไม่
Discharge คือ แผลมีเลือดน้าเหลือง หรือหนองซึมออกมาหรือไม่
Approximate คือ แผลฝีเย็บ ขอบเรียบชิดติดกันดีหรือไม่
5.Bottom คือ การประเมินทวารหนักและอวัยวะ โดยรอบว่ามีอาการปวด บวม แดง หรือมีเลือดคั่งหรือไม่
5) การส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่าง บิดา มารดา ทารก และสมาชิกในครอบครัว
มารดากับทารก
https://www2.si.mahidol.ac.th/division/nursing/sins/attachments/article/222/sins_nursing_manual_2558_10.pdf
ระยะหลังคลอด
ให้แม่สัมผัสลูกภายใน 40 นาทีหลังคลอด
(sensitive period)
มีความสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์แม่ลูก เพราะทารกจะอยู่ในระยะตื่นตัวและสงบ (quiet alert state) ทารกจะมีแรงดูดนมที่แรงที่สุด
ให้มารดาได้โอบกอดทารกทันทีหลังคลอดทำให้เกิดการสัมผัสทางตา (Eye-to-eye contact)
ทารกมีแรงดูดนม(suckling)ที่แรงมาก หากวางทารกบนหน้าท้องมารดา
ทารกมีรีเฟล็กซ์การคลาน(crawling reflex)ไปดูดนมจากอกแม่ช่วยสร้างสัมพันธ์แม่ลูก
การสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ(skin to skin contact)กับ มารดา ทารกจะได้รับ normal floras จากมารดาและจะสร้างภูมิต้านทานจากการไดร้ับเชื้อโรค (passive immunization)
การให้ลูกดูดนมแม่ภายในระยะครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงหลังคลอด
ให้ทารกอยู่ในห้องเดียวกับแม่ (Rooming-in) ขณะอยู่ในโรงพยาบาล แม่และลูกประสบความสำเร็จในการให้นมแม่มากกว่าแม่ที่ไม่ได้ให้นมลูกเอง
ส่งผลให้
กระตุ้นหลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน (oxytocin) เพิ่มการหดรัดตัวของมดลูกป้องกันการตกเลือดหลังคลอดและช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
กระตุ้นให้มารดาหลั่ง ฮอร์โมนโปรแลคติน (prolactin)ช่วยในการหลั่งนำ้นม
เป็นการกระตุ้นการสร้างนำ้นม และฝึกการใช้ลิ้นของทารก
บิดากับทารก
http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/53910255/chapter2.pdf
วิจัยความรักใคร่ผูกพันระหว่างบิดากับทารก
http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/53910255/title.pdf
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรักใคร่ผูกพัน
Klaus and Kennell (1982) เชื่อว่าความรักใคร่ผูกพันระหว่างผู้เลี้ยงดูกับทารกเริ่มตั้งแต่การวางแผนการตั้งครรภ์และได้สร้างทฤษฎีความรักใคร่ผูกพัน (Theory of bonding)
เน้นช่วงเวลาสั้น ๆ หลังคลอดเรียกว่า
“Sensitive period” ระยะ 40 นาทีแรกหลังคลอด
พฤติกรรมความรักใคร่ผูกพันได้แก่
การสัมผัส (Touch)
การมองสบตา (Eye-to-eye contact)
การได้ยิน (Voice) การตอบสนองการได้ยินทันทีที่ทารกเกิด
การเคลื่อนไหวตามจังหวะ (Entrainment)
การได้กลิ่น (Odor)
ความอบอุ่นของร่างกาย บิดาและทารกจะมีความพึงพอใจต่อความอบอุ่นของกัน
ระยะตั้งครรภ์
1 เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพภารรยาและทารก
2 ส่งเสริมการแสดงบทบาทบิดา
พามาตรวจครรภ์ตามนัด5ครั้งคุณภาพ
ให้ฟังผลการตรวจครรภ์
ให้คำแนะนำการดูแลภรรยา
3 พัฒนาสัมพันธภาพกับทารกในครรภ์
สัมผัสหน้าท้อง
ให้รับรู้การเคลื่อนไหวของทารก
ให้ฟังเสียงหัวใจทารก
หลังคลอด
บุคลากรทางการแพทย์ส่งเสริมให้แม่ พ่อ ลูกมีการสร้างสายสัมพันธ์ ขณะอยู่ในโรงพยาบาลโดยให้แม่พ่อและลูก อยู่ด้วยกันอย่างส่วนตัวในชั่วโมงแรกหลังคลอดและระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาล
สมาชิกในครอบกับทารก
1 ส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัว ปู่ ย่า ตายาย ประคับประคองจิตใจของสตรีตั้งครรภ์และส่งเสริมการปรับตัวระยะตั้งครรภ์
2 ให้ช่วยเหลือประประคองในระยะคลอด เพื่อให้เกิดความเห็นอกเห้นใจกัน
3 กระตุ้นให้ใกล้ชิดทารก เช่น เยี่ยมทารก ช่วยเหลือบิดามารดาในการเลี้ยงทารก
4 ให้ปู่ ย่า ตา ยาย แสดงความรู้สึกเกี่ยวกับทารก
5 เปิดโอกาสให้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ วัฒนธรรม ที่ไม่เป็นอันตรายต่อมารดาทารก
บุตรคนโตกับทารก
1 เตรียมบุตรคนโตสำหรับการมีน้องใหม่ แจ้งให้รู้ว่ามีน้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
2 ให้เข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับมารดา เช่น เตรียมของให้น้อง พูดคุยกับน้อง
3 ให้ความรู้แก่บิดามารดาในการปรับตัวของบุตรคนโตทั้งทางบวกและลบ
4 ให้บุตรคนโตได้เยี่ยมน้องที่ รพ อยู่ร่วมกับบิดามารดาและน้องเพื่อสร้างความคุ้นเคย
5 กล่าวชมเชยบุตรคนโตเมื่อแสดงพฤติกรรมทางบวกแก่น้อว
6 เตรียมผู้ดูแลบุตรคนโตขณะมารดาไปคลอด ควรเป็นคนใกล้ชิด
7 หากมีการเปลี่ยนแปลงของครอบครัว เช่น การย้ายห้องนอน ต้องอธิบายให้เข้าใจก่อน
ระยะก่อนตั้งครรภ์
1 ส่งเสริมให้คู่สามีรรยาวางแผนในการมีบุตร
2 ส่งเสริมให้มีทัศนคติที่ดีในการบุตร ความตั้งใจ ความพร้อม
3 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับบทบาทการเป็นมารดาและเตรียมพร้อมมีบุตรล่วงหน้า เพื่อการปรับตัวที่ดี
ระยะตั้งครรภ์
1 ส่งเสริมการยอมรับการตั้งครรภ์
ให้คำแนะน าการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย จิตใจ
ให้คำแนะนำการปฏิบัติขณะตั้งครรภ์
สนับสนุนการเตรียมตัวเพื่อการคลอด
2 ส่งเสริมการยอมรับความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์
อธิบายการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ให้หญิงตั้งครรภ์และครอบครัว
เปิดโอกาสให้หญิงตั้งครรภ์และครอบครัวหัวเสียงหัวใจทารกในครรภ์หรือดูทารกในครรภ์ U/S
ให้สัมผัส คลำส่วนของทารกทางหน้าท้อง
ให้นับลูกดิ้นอย่างสมำ่เสมอ
3 ส่งเสริมการพัฒนาสัมพันธภาพมารดาทารก
พูดคุยกัยทารกในครรภ์ เรียกชื่อ
ลูบหน้าท้อง สัมผัสทารกเบาๆ
เปิดเพลง ร้องเพลงให้ทารกฟัง
4 ส่งเสริมการปรับตัวต่อบทบาทการเป็นมารดา
เปิดโอกาสให้บอกความรู้การเป็นมารดา
ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว การเลี้ยงดูทารก
เลขที่ 115 นางสาววิภาพร ภัคพลธนวินท์ รหัสนักศึกษา 612401118 ปี 2
จัดทำโดย
อ้างอิง
เพ็ญนภา บุญยก.(2558).
ปัจจัยทำนายควมรักใคร่ผูกพันระหว่างบิดากับทารก.
สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2563,จาก
http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/53910255/chapter2.pdf
จรรยา แก้วใจบุญ.(2563) .เอกสารประกอบการเรียนวิชามารดาทารก.
การส่งเสริมพัฒนาการทารกในภรรภ์
นิภา เพียรพิจารณ.(2558).
การส่งเสริมสายสัมพันธ์แม่ ลูกและการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ในห้องคลอด
สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2563,จาก
https://www2.si.mahidol.ac.th/division/nursing/sins/attachments/article/222/sins_nursing_manual_2558_10.pdf
เอกสารวิชาการ
บทที่ 1 ระยะหลังคลอด แม้ว่าในระยะหลังคลอดโดยท - สถาบันพระบรม**
สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2563,จาก
https://administer.pi.ac.th/uploads/eresearcher/upload_doc/2015/academic/1422690008532793009615.pdf
พิมาลา เล้าประจง (2559)
ผลลัพธ์ของการตัดฝีเย็บตามกิจวัตรกับการตัดฝีเย็บเท่าที่จำเป็นในผู้คลอดคร้ังแรก
.** สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2563,จาก
http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/52921191.pdfิ
ทิพวรรณ์ เอี่ยมเจริญ (2560) การตกเลือดหลังคลอด: บทบาทสำคัญของพยาบาลในการป้องกัน สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2563,จาก
http://apheit.bu.ac.th/jounal/science-july-2560/15_17_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94_proof1_formatted.pdf
Post one page ครั้งที่ 3