Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พัฒนาการพยาบาลในต่างประเทศ - Coggle Diagram
พัฒนาการพยาบาลในต่างประเทศ
ด้านการศึกษาพยาบาล
การศึกษาพยาบาลก่อนสมัยไนติงเกล
การที่โลกมีความเจริญทางเทคโนโลยีมากขึ้นความต้องการที่จะให้มีความรู้มากยิ่งขึ้นในเรื่องของกายและใจนั้นทำให้มีการริเริ่มการศึกษาพยาบาลอย่างเป็นระเบียบแบบแผนขึ้น
สมัยก่อนผู้ให้การพยาบาลไม่ได้มีการจัดการศึกษาที่มีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี มีแต่แรงจูงใจที่จะให้บริการผู้อื่นแต่ไม่มีความรู้พอที่ที่จะให้เหตุผลได้ว่าทำไมจึงให้การพยาบาลเช่นนั้น
เดิมการศึกษาพยาบาลยังไม่ได้แยกจากบริการพยาบาลและการพัฒนาการศึกษานั้นเป็นวิถีทางหนึ่งในการครองชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน
การรักษาการพยาบาลก็มักจะเป็นแบบง่ายๆ เช่น ให้การประคบ มีการใช้สมุนไพร และสุขวิทยาพื้นฐาน เป็นต้น
สมาชิกของแม่ชีนิกายต่างๆเชื่อกันแต่เพียงว่าผู้ที่จะทำการพยาบาลหากแต่มีความปารถนาที่จะดูแลผู้ป่วยก็เป็นการเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้มีความต้องการหลักสูตรการศึกษาอย่างเป็นทางการ
การผลิตพยาบาในขณะนั้นก็ไม่ได้มีการยอมรับว่าพยาบาลมีฐานะทางสังคมเหมือนกับบุคคลในอาชีพอื่น
การปฏิรูปทางสังคมได้เปิดแนวทางในเรื่องนี้ให้แก่ผู้มีการศึกษา
สำหรับสตรีไม่ได้รับการสนับสนุนให้ได้รับการศึกษาตามแบบแผน สตรีที่มีการศึกษาก็ต้องปฏิบัติงานมากมายเพื่อเตรียมตัวเป็นพยาบาล
ถึงแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับการศึกษาแล้วแต่การศึกษานี้กลับดูเป็นเรื่องจำกัดวงอยู่เฉพาะบุคคลที่มีฐานะดี
บาทหลวงได้เดินทางไปยุโรปและเกิดแนวความคิดในการจัดหลักสูตรการศึกษาเพื่อผลิตพยาบาลเนื่องจากได้ไปเยี่ยมชมสถาบันหลายแห่ง
ทำให้มีโรงพยาบาลและโรงเรียนได้เริ่มสร้างขึ้นในค.ศ. 1836 หรือ พ.ศ. 2389
โรงเรียนฝึกหัดพยาบาลนี้รับผู้เรียนที่เป็นผู้หญิงอายุ 18 ปีผู้เรียนต้องเป็นนักเรียนทดลอง 3 ปีเพื่อทดลองดูว่าจะสามารถเป็นพยาบาลได้หรือไม่
ต่อจากนั้นต้องศึกษาต่ออีก 3 ปี
แพทย์เป็นผู้สอนทฤษฎีและนางฟลีดเนอร์เป็นผู้สอนภาคปฏิบัติ
นักเรียนต้องผ่านการสอบของมลรัฐในวิชาต่างๆ ในระหว่างเรียนจะได้มอบหมายให้รับผิดชอบผู้ป่วยและนักเรียนต้องหมุนเวียนไปทุกแผนกเพื่อให้มีประสบการณ์
การศึกษาพยาบาลในสมัยในติงเกล
มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ท่านได้ปรับปรุงให้แนวคิดใหม่และมีความคิดริเริ่มต่างๆขึ้น ซึ่งแนวคิดหรือปรัชญาใหม่ของท่านนี้ได้เป็นพื้นฐานของการสร้างความรู้และประสบการณ์ในวิชาชีพพยาบาลมาจนทุกวันนี้
แตกต่างไปจากการปฏิรูปในแบบทางศาสนาหรือในแบบทางการเมือง
ด้านการปฏิบัติการพยาบาล
การพยาบาลในสมัยโบราณ
ไม่มีการกล่าวถึงที่แน่นอน
ภายในครอบครัวผู้หญิงหรือแม่จะทำหน้าที่ดูแลปกป้องเด็กและคนชราตลอดทั้งคนป่วยภายในครอบครัว เกิดตามสัญชาตญาณของการรักตนเองซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่ในมนุษย์ตั้งแต่เกิดและสัญชาตญาณความเป็นแม่
การพยาบาลในระยะเริ่มต้นแห่งอารยธรรม
วิธีการรักษาผู้ป่วยขึ้นอยู่กับความเชื่อทางศาสนา การเชื่อโชคลาง
พระเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในด้านการรักษา
ยาที่ใช้ ได้แก่ พืชสมุนไพรรวมทั้งเวทมนต์คาถา
ด้านการพยาบาลมีกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย เฉพาะในอินเดียที่บัญญัติของศาสนาฮินดูได้ระบุหน้าที่และคุณสมบัติของพยาบาลไว้ชัดเจน ซึ่งมีด้านการบริการพยาบาลเท่านั้น
การพยาบาลในยุคเริ่มต้นศาสนาคริสเตียน
มีการยอบรับคุณค่าของบุคคลมากขึ้น
ความเมตตา โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์มีมากขึ้น
การพยาบาลในยุคนี้อยู่ในมือของกลุ่มชี และสตรีผู้ใจบุญซึ่งอุทิศตนเข้ามาช่วยเหลือผู้ยากจน และผู้เจ็บป่วยต่างๆ
มีทั้งดูแลช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยตามบ้าน ให้การพยาบาลในโบสถ์ และโรงพยาบาล ซึ่งการออกเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้านอาจนับได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของพยาบาลอนามัยพวกแรก
การบริการพยาบาลเป็นไปในลักษณะของการพยาบาลในชุมชน
การพยาบาลในยุคกลาง ( ระยะต้น 500-1000 )
งานพยาบาลจึงตกอยู่ในมือของคนรับใช้ตั้งแต่ในช่วงปลายยุคกลาง เนื่องจากการเกิดกาฬโรคระบาทหลังสงครามจบทำให้ผู้คนอพยพหนีโรค
การปฏิบัติงานใช้ระเบียบวินัยของทหารพยาบาลจะปฏิบัติงานตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
จากภาวะสงครามครูเสดผู้ที่ทำหน้าที่พยาบาลนอกจากภรรยาที่ติดตามสามีไปสงครามรบแล้ว ยังมีบุรุษเข้ามาทำหน้าที่พยาบาลด้วย
การพยาบาลในยุคเรเนสซองค์ (ค.ศ. 1500-1700)
การปฏิบัติงานที่เป็นของพยาบาลแพทย์และนักศึกษาแพทย์มักจะทำเองส่วนการพยาบาลในเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยถือเป็นงานคนใช้โดยตรง
เมื่อมีผู้ให้การพยาบาลไม่เพียงพอก็จะสั่งให้นักโทษหญิงจากเรือนจำมาช่วย สถานภาพของงานบริการพยาบาลจึงตกต่ำลงเรื่อยๆ
บุคคลที่เข้ามาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่ได้มีจิตใจด้านการบุญการกุศลมีการฉ้อโกงเกิดขึ้น
สตรีที่มีการศึกษาและอยู่ในสังคมชั้นสูง ไม่เห็นด้วยจึงเลิกและไม่ทำต่อไปการพยาบาลในระยะนี้จึงตกอยู่ในมือของผู้ไม่มีความรู้ซึ่งเรียกการพยาบาลในยุคนี้ว่ายุคมืด เริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1600 จนถึงกลาง ค.ศ.1900
การเมืองได้เข้ามาแทรกแซงในการบริหารโรงพยาบาล
มีการเรียกร้องและเปิดทางให้สตรีผู้สามารถผู้หนึ่งเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ที่ตกต่ำของการพยาบาลท่านผู้นี้คือ มิสฟอเรนท์ ไนติงเกล
ได้จัดการแก้ไขสภาพการณ์ที่เลวร้ายต่างๆโดยจัดการหาเครื่องมือเครื่องใช้ จัดทำหน้าที่รับผิดชอบ และเข้าทำหน้าที่ต่างๆที่หาคนประจำไม่ได้เอง
ทำให้การเสียชีวิตของทหารลดลงเหลือ 2 เปอร์เซนต์
ทำการปฏิรูปโรงพยาบาลสำเร็จในระยะเวลา 8 เดือน
ทำให้การพยาบาลได้เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนทั่งไป จึงอาจกล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้ก่อกำเนิดวิชาชีพพยาบาล
การพยาบาลยุคแรกในสหรัฐอเมริกา
การสวดมนต์อ้อนวอนเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้รักษา
การพยาบาลในสหรัฐอเมริกามีการพัฒนาเป็นลำดับขั้นเช่นเดียวกับทางด้านยุโรป
พระทำหน้าที่เป็นแพทย์ผู้รักษา
การพัฒนาเปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งทุกคนได้เห็นความสามารถและผลงานโดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งพยาบาลทหารได้ออกปฎิบัติงานอย่างกล้าหาญและมีความสามารถส่งผลให้มีการพัฒนาการพยาบาลให้มีความเจริญก้าวหน้าจนกระทั่งปัจจุบัน
การวิจัยทางการพยาบาล
กำเนิดขึ้นมาพร้อมกับการก่อตั้งวิชาชีพพยาบาล
มิสไนติงเกลได้ใข้การวิจัยเพื่อพิสูจน์ให้เห็นวิธีการลดอัตราตายของทหารจากการบาดเจ็บในสงคราม
โดยการปรับปรุงสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล
สิ่งที่สำคัญทางการพยาบาลคือการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้ป่วย ได้แก่อากาศบริสุทธิ์ แสงสว่าง ความอบอุ่น
พยาบาลจะต้องสังเกตอาการผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อมอย่างแม่นยำพร้อมทั้งบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ เพื่อหาวิธีการในการช่วยเหลือผู้ป่วย
แนวคิดในการวิจัยเพื่อปรับปรุงคุณภาพการพยาบาลไม่ได้รับการสานต่อทั้งนี้เพราะความแตกต่างของการศึกษา และวิสัยทัศน์ของการพยาบาลทั่วไป
มิสฟลอเรนซ์ไนติงเกลได้เน้นให้เห็นคุณค่าของการสังเกตและการบันทึกข้อมูลที่ถูกต้องร่วมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีระบบ
แนวคิดของไนติงเกลเน้นการพยาบาลโดยวิธีการสังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมาย ละเอียด รอบคอบพร้อมทั้งมีการบันทึกข้อมูลที่สังเกตได้เพื่อนำมาใช้พัฒนาปรับปรุงความรู้ทางการพยาบาล
แนวคิดของการพยาบาลในระยะต่อมาจึงมุ่งเน้นเฉพาะการบริการเพียงอย่างเดียวพยาบาลที่ดีจะถูกตัดสินในฐานะผู้ให้บริการโดยไม่คำนึงถึงความเป็นนักวิชาการ
วิวัฒนาการของการพัฒนาวิชาชีพในสมัยภายหลังไนติงเกลเป็นไปอย่างช้าๆและมีของเขตจำกัด
ช่วงระยะ ค.ศ. 1900-1949 (พ.ศ. 2443-2492)
เริ่มมีงานวิจัยเกิดขึ้นเล็กน้อย
เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นการศึกษาพยาบาลมากว่าการปฏิบัติ
พยาบาลในสหรัฐอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นผู้นำทางการวิจัยค้นคว้าทางการพยาบาล
ต่อมาเริ่มมีงานวิจัยเกิดขึ้นเพิ่มอีกเล็กน้อยทางด้านการศึกษาพยาบาล
เนื่องจากรูปแบบการจัดการศึกษาพยาบาลไม่ชัดเจน
พยาบาลยังขาดความรู้ในการปฏิบัติงาน
เนื่องจากรูปแบบการจัดการศึกษาพยาบาลไม่ชัดเจน
จากการศึกษาของ Adelaide & Stewart (1906), Goldmark (1923) และ Browm (1948)
ทำให้มีการจัดตั้งโรงเรียนพยาบาลในระดับมหาวิทยาลัยในช่วงปลายของระยะนี้
เริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารและการบริหารพยาบาลเช่นคุณภาพของพยาบาล
พยาบาลเรียนรู้วิธีการปฏิบัติการพยาบาลโดยวิธีการถ่ายทอดประสบการณ์ที่สั่งสมสืบทอดต่อกันมามากกว่าที่จะใช้สติปัญญาคิดค้นสังเกตบันทึกข้อมูลและนำไปพัฒนาความรู้ทางการพยาบาลให้เกิดเป็นองค์ความรู้หรือศาสตร์ทางการพยาบาลได้
ใน ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443)
มีวารสารทางการพยาบาลเกิดขึ้นครั้งแรก
มี case studies ลงพิมพ์ในวารสารซึ่ง case studies เหล่านี้มีลักษณะเป็นการวิเคราะห์ประเมินผล ระบบการบริการในคนไข้แต่ละคนเพื่อให้เกิดการเข้าใจในการพยาบาลดีขึ้น
Case studies เหล่านี้เป็นการเริ่มต้นไปสู่การวิจัย
ใน ค.ศ. 1950-1959 (พ.ศ. 2493-2502)
มีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในการวิจัยทางการพยาบาลในอเมริกา
มีการเสนอแนะให้มีการพัฒนาการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกเพื่อเร่งพัฒนาการวิจัยทางการพยาบาลได้มีกิจกรรมการวิจัยที่สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น
ในค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495)
ได้เริ่มมีการตั้งแผนกวิจัยและสถิติขึ้นในสมาคมแห่งชาติอเมริกาเพื่อกระตุ้นสมาชิกให้มีการทำวิจัยให้ทุนและให้บริการคำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับการวิจัยมีศูนย์การวิจัยทางการพยาบาล
เป็นการวิจัยด้านการศึกษาพยาบาลเพื่อหาวิธีการศึกษาพยาบาลที่จะให้ได้พยาบาลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
นักการศึกษาพยาบาลมีการเริ่มนำวิจัยเข้ามาสอนในหลักสูตรพยาบาลระดับปริญญาตรีในปีค.ศ.1955
ใน ค.ศ. 1960-1969 (พ.ศ. 2503-25117)
มีการพัฒนาศาสตร์ทางการพยาบาลอย่างจริงจัง
นักทฤษฎีทางการพยาบาลหลายท่านเริ่มเขียนหนังสือแสดงแนวคิดทางการพยาบาล การใช้กระบวนการทางพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาล
เป็นการวิจัยด้านการปฏิบัติการพยาบาลส่วนใหญ่
เป็นการวิจัยของหนักศึกษาปริญญาโทหรือพยาบาลที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท
ใน ค.ศ. 1980-1989 (พ.ศ. 2523-2531)
ระยะนี้วิจัยทางการพยาบาลได้เจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
มีพยาบาลที่ศึกษาจบหลักสูตรโท และเอกมากขึ้นซึ่งบุคคลเหล่านี้ช่วยให้การวิจัยเพิ่มขึ้น
หลักสูตรปริญญาเอกเพิ่มขึ้นอีกกว่า 40 หลักสูตร
ประเภทการวิจัย ส่วนใหญ่จะเป็นเชิงทดลองหรือกึ่งทดลองเพิ่มมากขึ้นกว่า 50%
งานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการวิจัยทางคลินิกซึ่งครอบคลุมปัญหาสุขภาพของบุคคล การตอบสนองต่อภาวะเจ็บป่วยตลอดจนการใช้กระบวนการพยาบาลในคลินิก
ใน ค.ศ. 1970-1979 (พ.ศ. 2513-2522)
เป็นทศวรรษที่มีการวิจัยด้านการปฏิบัติการพยาบาลเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
มีการจัดตั้งหลักสูตรปริญญาเอกทางการพยาบาลเกิดขึ้นทำให้การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาศาสตร์การพยาบาลเกิดขึ้น
มีทฤษฎีการพยาบาลที่สำคัญๆเกิดขึ้น มีการพัฒนารูปร่างให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น
การวิจัยทางด้านการศึกษาจะเป็นเรื่องวิธีการสอน และการเรียนจากประสบการณ์มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการเรียนการสอน
สมาคมพยาบาลแห่งชาติอเมริกันได้กำหนดทิศทางของการวิจัยทางการพยาบาลในช่วง 10 ปีเน้นให้มีการวิจัยด้านการปฏิบัติการพยาบาล และด้านวิชาชีพการพยาบาลให้มากขึ้น
มุมมองของสังคมต่อวิชาชีพพยาบาล
คาลิซและคาลิซเป็นผู้ที่มีผลงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาพลักษณ์พยาบาลอย่างแพร่หลาย กล่าวว่า
ภาพลักษณ์พยาบาลเกิดจากการที่บุคคลในสังคมได้รับรู้ทั้งโดยประสบการณ์ตรงเมื่อเจ็บตัว ตลอดจนจากสื่อประเภทต่างๆ
ภาพลักษณ์พยาบาลเป็นภาพที่เกิดขึ้นในใจของบุบคที่มีต่อพยาบาล ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติต่างๆของพยาบาล รวมทั้งการปฏิบัติงานและผลงานที่พยาบาลได้กระทำ
การพัฒนาองค์กรทางวิชาชีพทางการพยาบาล
องค์กรวิชาชีพพยาบาลในต่างประเทศ ได้แก่
สมาคมพยาบาลแห่งประเทศอเมริกา
กำหนดนโยบายและกฏหมายในประเด็นการดูแลสุขภาพและหารพยาบาล
กำหนดมาตรฐานของวิชาชีพพยาบาล และตัพิมพ์จรรยาบรรณสำหรับพยาบาล
สภาการพยาบาลสากล
เผยแพร่นโยบาลด้านสุขภาพ
ส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าทางด้านวิชาการเกี่ยวกับการพยาบาล
ควบคุมมาตรฐานการรักษาพยาบาล
สหพันธ์การพยาบาลแห่งชาติ
เพื่อส่งเสริมมาตรฐานและนวัตกรรมในการศึกษาการพยาบาล
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาองค์กรวิชาชีพ
มีโครงสร้างที่ชัดเจนและเป็นสากล
งบประมาณเพียงพอในการดำเนินกิจการต่างๆให้ลุล่วง
มีระบบประกันคุณภาพขององค์กร ทำให้พัฒนางานได้ทุกมิติ
มีระบบควบคุมจริยธรรมการประกอบวิชาชีพที่ชัดเจน
แนวโน้มการพัฒนาองค์กรวิชาชีพพยาบาลในอนาคต
บุคลากรในองค์กรควรได้รับการพัฒนาสมรรถนะ
ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
ขาดการเตรียมความพร้อมผู้นำองค์กร และแผนที่ชัดเจน
การเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจ
เอกสารอ้างอิง
ภาพลักษณ์พยาบาลตามความคิดเห็นของผู้ป่วยที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล
. สืบค้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2563. [ออนไลน์]. จากเว็บไซต์
https://med.mahidol.ac.th/nursing/jns/DocumentLink/2542/issue_02/02.pdf
จรูญลักษณ์ ป้องเจริญ.
พัฒนาการของวิชาชีพการพยาบาลในต่างประเทศ
. สืบค้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2563. [ออนไลน์]. จากเว็บไซต์
https://sites.google.com/a/bcn.ac.th/issue-and-trend/hnwy-kar-reiyn-ru1?fbclid=IwAR3llsVItQQ_sZd7SYNLosnSoxa_oNR8mq_Y3sAjBf9nRLs2NhUN0XAIjas
องค์กรวิชาชีพพยาบาล
. สืบค้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2563. [ออนไลน์]. จากเว็บไซต์
https://prezi.com/zosqbni8hppj/presentation/