Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทารกตายในครรภ์ - Coggle Diagram
ทารกตายในครรภ์
การดูแลหลังคลอด
- ให้การดูแลประคับประคองสภาวะจิตใจของสตรีตั้งครรภ์ สามีและญาติ เฝ้าระวังปัญหาทางจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า หลังยุติการตั้งครรภ์ถ้าผู้ป่วยอยากเห็นบุตร ควรให้ผู้ป่วยได้ดูซึ่งอาจจะลดอาการโศกเศร้าได้บ้าง ในบางกรณีอาจต้องให้แยกไม่อยู่ในหอผู้ป่วยหลังคลอด
- ถ้าอาการปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถให้กลับได้ ใน 6-24 ชั่วโมงหลังคลอด
- ช่วยยังยั้งการหลั่งน้ำนม เช่น ควรรัดเต้านมให้แน่นๆ ด้วยผ้ารัดหน้าอกหรือใส่ยกทรงคับ ๆ ไม่ควรดูดน้ำนมออก ใช้กระเป๋าน้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการปวด หรือใช้ร่วมกับยายับยั้งการหลั่งน้ำนม ได้แก่ bromocriptine ทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน โดยให้ 2.5 มก.วันละ 2 ครั้งพร้อมมื้ออาหาร นาน 3-5 วัน
- นัดตรวจติดตามใน 2- 6 สัปดาห์ แล้วแต่กรณี เพื่อติดตามอาการ แจ้งผลการตรวจหาสาเหตุและวางแผนการมีบุตร
คนต่อไป
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
-ทารกในครรภ์ไม่ดิ้น
-น้ำหนักลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น หรือครรภ์เล็กลง
-เต้านมขนาดเล็กลง มีเลือดหรือน้ำออกทางช่องคลอด
- การตรวจร่างกาย
-พบมดลูกขนาดไม่โตขึ้นเมื่อเปรียบเทียบการตรวจครั้งก่อนๆหรือขนาดมดลูกเล็กกว่าอายุครรภ์
-คลำไม่พบการเคลื่อนไหวของทารกหรือไม่รู้สึกว่าเด็กดิ้น
-ฟังไม่ได้ยินเสียงหัวใจทารก
-ตรวจภายใน คลำได้ศีรษะทารกนิ่มๆกระดูกเกยกัน
-คลำหน้าท้อง พบกะโหลกยุบ ศีรษะน่วมไม่คงรูปอย่างธรรมดา (พบภายหลังทารกเสียไปแล้ว 1-2 สัปดาห์)
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
3.1 ระดับฮอร์โมนต่าง ๆ
-เอสตริออล (Estriol) ในปัสสาวะลดลงทันทีหลังทารกเสียชีวิต 24-48 ชั่วโมง
-ฮิวแมนคอริออนิคโกนาโดโทรฟิน (Human chorionic gonadotropin: HCG) ลดลง (แต่รกอาจสร้าง HCG อยู่แล้วหลายสัปดาห์หลังจากทารกเสียชีวิต ดังนั้นจึงได้ผลบวกอยู่แม้ทารกเสียชีวิตไปแล้ว)
-แอมนิโอติคฟลูอิด ครีเอติไคเนส (Amniotic fluid creatinekinase) เพิ่มขึ้น 2 วันหลังจากทารกเสียชีวิต และจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ทารกเสียชีวิต
-ระดับของ Alpha Fetoprotein (AFH) ในเลือดของมารดาจะมีค่าสูงขึ้น
3.2 การถ่ายภาพรังสีบริเวณช่องท้องของมารดา
-Spalding’s signs เกิดจากการซ้อนกันของกระดูกกะโหลกของเด็ก เนื่องจากเนื้อสมองบางส่วนเหลวเละไป เกิดหลังจาก
เด็กตายแล้วประมาณ 1 สัปดาห์
-Deuel sign ในเด็กที่ตายแล้วจะมีการคั่งของของเหลวระหว่างชั้นไขมันของกะโหลกหนังศีรษะ ภาพรังสีจะแสดงให้เห็นเป็นช่องว่างรอบๆ
กะโหลกศีรษะ (Halo) เกิดขึ้นก่อนกระดูกกะโหลกจะซ้อนกัน ซึ่งเกิดเป็นเฉพาะในขณะที่แม่เจ็บครรภ์เท่านั้น
-พบฟองอากาศในหัวใจในหลอดเลือดใหญ่ (Aorta, Vena cava) สายสะดือ ตับ และในช่องท้องของเด็ก ฟองอากาศนี้เกิดจาก Putrefection
หลังจากเด็กตายในครรภ์แล้วไม่น้อยกว่า 2-3 วัน
-ภาพรังสีแสดงการงุ้มงอหรือหักเป็นมุมพับของกระดูกสันหลังของเด็กในครรภ์ กล้ามเนื้อพังผืดและเอ็นจะคลายตัว และเน่าเปื่อยทำให้
กระดูกสันหลังไม่สามารถคงสภาพได้ตามปกติ
-การไม่ทำงานของระบบทางเดินอาหาร
3.3 การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
-กะโหลกศีรษะเด็กเห็นแยกออกเป็น 2 เส้น Outer และ Inner table ของกระดูกแยกออกจากกัน
-หนังศีรษะหนามากขึ้น
-ศีรษะเด็กรูปร่างผิดปกติและมีการยุบของกะโหลกศีรษะ มีการซ้อนกันของกระดูกกะโหลก
-ไม่มีการเคลื่อนไหวของหัวใจ
3.4 Fetal monitoring เป็นเครื่องมือที่แสดงการเต้นของหัวใจเด็กในครรภ์ด้วยกราฟ
3.5 การตรวจทางชีวเคมี
-การหาปริมาณเอสตริออลในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ค่าของเอสตริออลจะลดต่ำลงมาทันทีภายในเวลา
24-48ชั่วโมง
-หา Creatinine phosphokinase activity ในน้ำคร่ำสูงขึ้นหลังจากเด็กตาย
แนวทางการรักษา
1.ให้เจ็บครรภ์และคลอดเอง
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ส่วนใหญ่แล้วมักเจ็บภายหลังจากที่เด็กตายแล้ว 2 สัปดาห์ รายที่เกิน 2 สัปดาห์ต้องตรวจหา Clotting time และระดับของไฟบริโนเจนหากน้อยกว่า 100 มก.ต้องทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง
2.ทำให้สิ้นสุดการตั้งครรภ์
2.1 ให้ Oxytoxin หยดเข้าหลอดเลือดดำ
2.2 Amnioinfuion ฉีดยาเข้มข้นเข้าถุงน้ำคร่ำทางหน้าท้อง
2.3 การใช้โปรสตาแกลนดิน
2.4 Hysterotomy การผ่าเอาเด็กที่ตายในครรภ์ออกเป็นวิธีสุดท้ายที่จะใช้เพราะต้องการความรีบด่วน เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนและอันตรายที่จะเกิดต่อแม่
-
การเปลี่ยนแปลงของทารกที่ตายในครรภ์
- ระยะเวลาหลัง 6 ชั่งโมงแรก ผิวหน้าชั้น Epidermis จะแยกออกจากชั้นล่างเป็นหย่อมๆ
2.ระยะเวลา 1-3 วันต่อมา จะมีตุ่มน้ำใสขนาดใหญ่ ที่บริเวณผิวหนังทั่วตัว เมื่อเอามือลูบไปบนตัวทารก ผิวหนังจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ
3.ระยะเวลา 3-4 วัน เม็ดเลือดจะแตก น้ำตาลจากเม็ดเลือดที่แตกไปเกาะทั่วตัวทารก ทำให้มีสีหมากสุกติดไปทั่วตัว เอ็นปลายกระดูกที่ติดกันจะยุ่ย หลุดออก ศีรษะเหลว เมื่อกดบนศีรษะจะรู้สึกเหมือนมีน้ำขังอยู่ภายใน
อาการและอาการแสดง
- น้ำหนักตัวมารดาคงที่หรือลดลง เต้านมเหลว นุ่มและเล็กลง มีความรู้สึกว่าเด็กหยุดดิ้น ถ้ามีคลื่นไส้อาเจียนจะหายไป
- ระดับมดลูกต่ำกว่าอายุครรภ์และตรวจหน้าท้องไม่พบว่าทารกดิ้นมากระทบมือในขณะตรวจครรภ์
2.1 มดลูกไม่โตขึ้นในเวลา 3 สัปดาห์ติดต่อกัน
2.2 เวลาคลำตัวมดลูกจะเกิดการหดรัดตัวของมดลูกได้ง่าย
2.3 ฟังเสียงหัวใจทารกไม่ได้
2.4 คลำศีรษะทารกได้เมื่อบีบดูจะรู้สึกนุ่มและสามารถบีบให้เล็กลงได้ เนื่องจากกะโหลกศีรษะเกยกัน เมื่อเจาะถุงน้ำคร่ำ จะได้น้ำคร่ำสีน้ำตาลเข้มและขุ่นข้น
- มีเลือดหรือมีสีน้ำตาลออกมาทางช่องคลอด
ภาวะแทรกซ้อน
- หญิงตั้งครรภ์มีความกลัว วิตกกังวล เศร้าโศกจากการสูญเสียทารกในครรภ์
- ในรายที่ทารกตายในครรภ์เกิน 4 สัปดาห์ ทำให้เกิดภาวะเลือดหญิงตั้งครรภ์ไม่แข็งตัว เนื่องจากการลดลงของไฟบริโนเจนในเลือด
- มีโอกาสติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ เนื่องจากถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเวลา
- การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี ทำให้การคลอดยาวนาน รกค้างและตกเลือดหลังคลอด
ผลต่อมารดา
1.ด้านจิตใจ
-จะมีการใช้บุหรี่ สุรา ยากล่อมประสาทสูง
-อัตราการฆ่าตัวตายสูง ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
-บางรายมีอาการทางจิต ได้แก่ psychosis anxiety, attacks, phobia, obsessive thoughs และ deep depression
-ภายหลังการสูญเสียทารกในครรภ์อาจทำให้บิดามารดา มีความพยายามที่จะตั้งครรภ์ทันที แต่ขณะเดียวกันก็มีความกลัวที่จะสูญเสียอีก จะมีความเครียดและความวิตกกังวลสูง
2.ด้านร่างกาย
-ถ้าทารกตายในครรภ์นาน 1 เดือนขึ้นไป มีโอกาสเกิดภาวะเลือดไม่แข็งตัว เนื่องจากมีการปล่อย tissue thromboplastin จากรก น้ำคร่ำและไฟบริโนเจนลดลงในสัปดาห์ที่ 3