Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่3 3.5กฏหมายสาธารณสุขอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลและกา…
บทที่3 3.5กฏหมายสาธารณสุขอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลและการผดุงครรภ์
เป็นกฏหมายที่กำหนดสิทธิหน้าที่ในการป้องกันและรักษาชีวิต สุขภาพอนามัยของประชาชน เพื่อให้ปลอดภัยจากการเจ็บป่วยและมีสุขภาพอนามัยที่ดี
ข้อจำกัด/เงื่อนไขในการได้รับมอบหมายให้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม มีดังนี้
1.ผู้ที่กระทวง ทบวง กรม หรือสภากาชาดไทย จะต้องมีระเบียบที่กำหนดไว้
2.จะทำการประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้เฉพาะ
2.1 เป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์
2.2 ต้องปฏิบัติราชการ หรืออยู่ในสถานพยาบาลเท่านั้น
2.3ต้องอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
3.บุคคลที่สามารถทำการประกอบวิชาชีพได้ มีดังนี้
3.1หนักงานอนามัย
3.2เจ้าหนักงานสาธารณสุข
3.3ผู้สำเร็จประกาศนียบัตรสาธารณสุขศาสตร์
3.4ผู้ช่วยพยาบาลและผดุงครรภ์ ผู้ช่วยพยาบาลจิตเวช
3.5พนักงานสุขภาพชุมชน
3.6ผู้ประกอบวิชาชีพการผดุงครรภ์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง
3.7อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
ผู้ที่ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง มีรายละเอียดดังนี้
1.ด้านอายุรกรรม ให้การพยาบาลเบื้องต้น เพื่อบรรเทาอาการ
อาการอักเสบต่างๆ
โรคคางทูม โรคสุกใส โรคไอกรน
โรคติดต่อ โรคผิวหนัง
ปวดเอว ปวดหลัง ปวดศีรษะ
อาหารเป็นพิษ โรคขาดสารอาหาร
2.การรักษาพยาบาลอื่นๆ
การให้น้ำเกลือ
การสวนปัสสาวะ
การฉีดเซรุ่มแก้พิษงู
การสวนล้างกระเพาะอาหาร
3.ด้านศัลยกรรม
ผ่าฝี
เย็บบาดแผลไม่สาหัส
ทำแผล ล้างแผล
นำสิ่งแปลกปลอมออกจากแผล
4.ด้านสูตินรีเวชกรรม
ทำคลอดรายปกติ
ช่วยเหลือในรายที่คลอดผิดปกติ
การฉีดวัคซีนป้องกันโรค
ช่วยเหลือกรณีทำแท้ง
ปฐมการพยาบาลเกี่ยวกับการได้รับสารพิษ
การเจาะเลือดปลายนิ้ว
การคุมกำเนิดทั้งการฉีดและยาเม็ด
5.กระทำการวางแผนใส่ห่วงและถอดห่วงอนามัยได้
1.ทดสอบว่าผู้รับไม่ตังครรภ์
2.ผู็ขอรับคลอดบุตรมาแล้ว 45-60 วัน และยังไม่มีประจำเดือนมา
3.ผู็ขอรับได้คลอดหรือแท้งบุตรมาแล้ว 30 วัน และยังไม่มีประจำเดือนมา
สามารถให้ยาสลบชนิด gerneral anesthesia แต่ไม่รวมถึงการให้ยาทางไขสันหลัง
การปะกอบวาชีพเวชกรรม มีรายละเอียดดังนี้
1.ให้การพยาบาลเบื้องต้น เพื่อบรรเทาอาการหรือโรคต่างๆ เช่น ปวดท้อง ท้องผูก
2.การปฐมการพยาบาล เกี่ยวกับบาดแผลสด กระดูกหัก ไฟฟ้าดูด ได้รับสารพิษ
3.เจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ การใช้ยา
3.1ยาสามัญประจำบ้าน
3.2ยาที่จ่ายเฉพาะราย
3.3ยาสมุนไพรที่กำหนดในกระทรวงสาธารณสุข
พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541
มาตรา 4 'สถานพยาบาล' หมายถึง สถานที่รวมถึงพาหนะ เพื่อการประกอบวิชาชีพการพยาบาล และการผดุงครรภ์
ผู้ป่วย หมายถึง ผู้ขอรับบริการในสถานพยาบาล
ผู้รับอนุญาต หมายถึง ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล
ผู้ดำเนินการ หมายถึง ผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินสถานการพยาบาล
ผู้ประกอบวิชาชีพ หมายถึง ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ทันตกรรม เภสัชกรรม
สถานพยาบาลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.ประเภทไม่รับผู้ป่วยค้างคืน รักษาเฉพาะไป-กลับ เช่น คลินิก
2.ประเภทรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน รับตรวจผู้ป่วยไป-กลับ และค้างคืน เช่น โรงพยาบาล
การขออนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล มีดังนี้
1.อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
2.มีถิ่นอยู่ในประเทศไทย
3.ไม่เคยรับโทษหรือจำคุก
4.ไม่เป็นโรคที่รัฐบาลกำหนด
5.ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
6.ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต คนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไรความสามารถ
อายุใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล
มีอายุจนถึงสิ้นปีปฏิทินของปีที่สิบนับตั้งแต่ปีที่ออกใบอนุญาต
การขอต่อใบอนุญาตต้องยื่นคำขอก่อนใบอนุญาตสิ้นสุด
การขออนุญาตดำเนินการ มีดังนี้
ต้องไม่มีคุณสมบัติและข้อห้าม ดังนี้
1.เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ หรือประกอบวิชาชีพเวชกรรม วิชาชีพผดุงครรภ์
2.ต้องไม่เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาลอยุ่ก่อนแล้วสองแห่ง
3.เป็นผู้ที่สามารถควบคุมดูแลกิจการสถานพยาบาลได้ใกล้ชิด
หน้าที่ของผู้ดำเนินการสถานพยาบาล มีดังนี้
1.ควบคุมดูแลไม่ให้ผู้ประกอบวิชาชีพ ประกอบวิชาชีพผิดสาขา ชั้น หรือแผนตามที่ได้รับอนุญาต
2.ควบคุมมิให้มีการรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนเกินจำนวนเตียงตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต
3.ต้องควบคุมดูแล ปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมาย
4.ต้องควบคุมดูแลสถานพยาบาลให้สะอาดเรียบร้อย ปลอดภัย
กำหนดบทลงโทษที่สำคัญไว้ ดังนี้
การปิดสถานพยาบาลชั่วคราว
1.ไม่ชำระค่าธรรมเนียมตามเวลาที่กำหนด
2.กระทำการละเว้นจนทำให้เกิดความเดือดร้อน
3.ไม่มีการแก้ไขปรับปรุง เครื่องมือ ยา ตามคำสั่งภายในระยะเวลาที่กำหนด
4.ปฏิบัติไม่ถุกต้องตามพระราชบัญญัติ
โทษทางอาญา มีดังนี้
1.ไม่แสดงใบอนุญาต ค่ารักษาพยาบาล ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
2.ไม่จัดทำรายงานการรักษาพยาบาล ไม่ควบคุมดูแลสถานพยาบาล มีดทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.โฆษณาอันเป็นเท็จ มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 1 มื่นบาท นับแต่วันที่ฝ่าฝืนจนกว่าจะระงับการโฆษณา
5.จัดทำค่ารักษาพยาบาลอันเป็นเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2523
โรคติดต่อ หมายถึง โรคที่ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นโรคติดต่อ
โรคติดต่อต้องแจ้งความ หมายถึง โรคติดต่อที่ประกาศไว้ในกิจจานุเบกษาให้เป็นโรคติดต่อต้องแจ้งความ
พาหะ หมายถึง คนหรือสัตว์ ไม่มีอาการปรากฏแต่ร่างกายมีเชื้ออาจติดผู้อื่นได้
ผู้สัมผัสโรค หมายถึง คนใกล้ชิด สัตว์/สิ่งของติดโรค
ระยะฟักตัวของโรค หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย จนถึงเวลาที่แสดงอาการป่วย
ระยะติดจ่อของโรค หมายถึง ระยะเวลาที่เชื้อแพร่กระจาย โดยทางตรงและทางอ้อม
แยกกัก หมายถึง การแยกผู้สัมผัสโรคหรือพาหะ ออก
กักกัน หมายถึง การแยกผู้สัมผัสโรค จนกว่าจะพ้นความเป็นพาหะ
คุมไว้สังเกต หมายถึง การควบคุมดูแลโดยไม่กักกัน
เขตติดโรค หมายถึง เขตที่มีการติดโรคเกิดขึ้น
เจ้าของพาหะ หมายถึง ผู้รับผิดชอบในการควบคุมพาหะ
ผู้เดินทาง หมายถึง คนที่เดินทางเข้ามาทั้งคนควบคุมพาหะและคนประจำพาหะ
การสร้างภูมิคุ้มกันโรค หมายถึง การกระทำทางแพทย์ต่อคนหรือสัตว์ เพื่อให้เกิดอำนาจต้านทานโรค
ที่เอกเทศ หมายถึง ที่สำหรับแยกหรือกักกันบุคคลที่ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่
เจ้าพนักงานสาธารณสุข หมายถึง เจ้าหนักงานที่ได้รับการแต่งตั้งให้ตรวจตรา และรับผิดชอบในสาธารณสุขโดยทั่วไป
พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายถึง ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติ
รัฐมนตรี หมายถึง ผู้รักษาการพระราชบัญญัติ
การแจ้งความโรคติดต่อ มาตรา 7 มีดังนี้
1.กรณีโรคติดต่ออันตราย ให้บุคคลดังต่อไปนี้แจ้งเจ้าหนักงานสาธารณสุขหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
2.กรณีมีการเจ็บป่วยหรือสงสัย เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้าน หรือแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาล
3.กรณีมีการเจ็บป่วยหรือสงสัย ในสถานพยาบาล เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในสถานพยาบาลนั้น
4.กรณีมีการชันสูตรทางแพทย์พบว่ามีเชื้อ เป็นหน้าที่ของผู้ชันสูตรทางแพทย์
เมื่อมีโรคติดต่ออันตราย ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขหรือพนักงานเจ้าหน้าที่แห่งท้องที่ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เริ่มมีการเจ็บป่วย
การแจ้งความดำเนินคดี มีดังนี้
แจ้งชื่อ ที่อยู่ สถานที่ทำงานของตนเอง อายุ ตัวอย่างการวินิจฉัยโรคขั้นต้น และผลการชันสูตร
กรณีเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับแจ้งความให้พนักงานรายงานต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขทันที
กฏเกณฑ์ในการป้องกันควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ดังนี้
1.ช่องทางและด่านตรวจคนเข้าเมือง
2.หากเกิดการติดต่อภายนอกอาณาจักร ประกาศให้ท้องที่นั้นเป็นเขตติดโรค
3.ค่าใช้จ่ายต่างๆ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานสาธารณสุข
โทษตามพระราชบัญญัติ มีดังนี้
1.บุคคลที่ไม่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ มีโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
2.ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศ มีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.ผู้ควบคุมยานพาหะไม่ปฏิบัติตาม มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกินห้่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทบาท มีดังนี้
1.ผู้แจ้งความโรคติดต่อ ต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ภายใน 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่เมื่อพบเหตุหรือสงสัยว่ามีการป่วย
2.ผู้ควบคุมการระบาดของโรค เมื่อผู้ป่วยอยุ่ในความดูแลต้องให้ความสำคัญ คือ การแยกผู้ป่วย การเฝ้าดูอาการจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558
โรคติดต่อ หมายถึง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อโรค สามารถแพร่ทางตรงและทางอ้อม
โรคติดต่ออันตราย หมายถึง โรคติดต่อที่มีความรุนแรงสูง สามารถแพร่ได้รวดเร็ว
โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หมายถึง ต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ หรือจัดเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
โรคระบาด หมายถึง โรคที่ติดต่อยังไม่ทราบสาเหตุ อาจแพร่ไปได้รวดเร็ว หรือมีการเกิดโรคมากกว่าปกติ
พาหะ หมายถึง คนหรือสัตว์ ไม่มีอาการแต่ร่างกายมีเชื้อ สามารถติดผู้อื่นได้
ผู้สัมผัสโรค หมายถึง คน สัตว์ หรือสิ่งของติดโรค
ระยะติดต่อของโรค หมายถึง ระยะเวลที่เชื้อสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่น
แยกกัก หมายถึง การแยกโรค ให้ห่างจากผู้อื่นเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่กระจายเชื้อ
กักกัน หมายถึง การควบคุมผู้สัมผัสโรค จนกว่าจะพ้นระยะฟักตัวของโรค
คุมไว้สังเกต หมายถึง การควบคุมโดยไม่กักกัน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ระยะฟักตัวของโรค หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย จนถึงแสดงอาการ
เขตติดโรค หมายถึง ท้องที่ที่เกิดโรคติดต่อ
การสอบสวนโรค หมายถึง กระบวนการเพื่อหาสาเหตุ แหล่งที่เกิดการแพร่ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค
การเฝ้าระวัง หมายถึง การสังเกต รวบรวม และการติดตามผลการแพร่ของโรค
-คำแนะนำ ของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศกำหนด ดังนี้
1.ชื่อและอาการสำคัญ
2.ช่องทางเข้าออก
3.การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
การป้องกันเมื่อมีเหตุอันสมควร มีดังนี้
1.กำหนดวัน/เวลา สถานที่
2.ยื่นเอกสารต่อเจ้าหนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
3.ห้ามผู้ใดเข้าหรืออกนอกอาณาจักรที่ยังไม่ได้รับการตรวจจากเจ้าพนักงาน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
หน้าที่ของผู้รับอนุญาตประกอบกิจสถานพยาบาล
1.ต้องแสดงใบอนุญาต
2.ต้องแสดงรายละเอียด ดังนี้
2.1ชื่อสถานพยาบาล
2.2รายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม การพยาบาล การผดุงครรภ์ ทันตกรรม
2.3อัตราค่าพยาบาลและค่าบริการ
2.4สิทธิของผู้ป่วย
3.การย้ายสถานพยาบาล ต้องดำเนินการเช่นเดียวกับการขออนุญาตประกอบกิจการพยาบาลใหม่
4.ถ้าประสงค์จะเลิก ต้องแจ้งเป็นหนังสือและจัดทำรายงาน อย่างน้อย 15 วัน
5.ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อนุญาต เพื่อประโยชน์และส่วนได้ส่วนเสียของผู้ป่วย
6.ถ้าพ้นจากหน้าที่หรือปฏิบัติไม่ได้เกิน 7 วัน
7.ถ้ามีการเปลี่ยนตัวต้องแจ้งเป็ฯหนังสือให้ทราบภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีการเปลี่ยน
8.ต้องไม่เรียกเก็บเงินหรือค่าพยาบาลเกินอัตราที่แสดงไว้ และให้บริการตามสิทธิที่แสดงไว้
หน้าที่ร่วมกันของผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินสถานการพยาบาล
1.จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพและจำนวนที่กำหนดตลอดเวลาทำการ
2.จัดให้มีเครื่องมือ ยาที่จำเป็น
3.ต้องมีรายงานหลักฐานเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ และต้องเก็บรักษาไว้ตรวจสอบได้ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่จัดทำ
4.ควบคุมดูแลการประกอบวิชาชีพให้เป็นไปตามมาตรฐาน
5.ควบคุมดูแลการช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยที่อยู๋ในสภาพอันตรายต้องได้รับการพยาบาลโดยฉุกเฉิน
6.ควบคุมไม่ให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลผิดประเภท
7.ควบคุมไม่ให้โฆษณา ชวนเชื่อเกินจริง
8.ไม่จัดทำเอกสารการรักษาพยาบาลอันเป็นเท็จ
ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ มีบทบาท ดังนี้
1.ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสถานพยาบาล
2.ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล
3.ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล
4.ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลประเภทต่างๆ ดังนี้
ดูแลมารดาและทารกก่อนคลอด/หลังคลอด ยกเว้นการทำแท้ง
ให้บริการมารดาและทารกก่อนคลอด/หลังคลอด และส่งเสริมอนามัยแม่และเด็ก
สถานพยาบาลผู้ป่วยเรื้อรัง
นางสาวพรภัสส์ษา ภัทรวิกรัยกุล 36/2 เลขที่ 1 รหัสนักศึกษา 612001081