Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
อาหารที่เหมาะสมสำหรับบุคคลในภาวะและวัยต่างๆ - Coggle Diagram
อาหารที่เหมาะสมสำหรับบุคคลในภาวะและวัยต่างๆ
หญิงตั้งครรภ์
สารอาหารที่ควรได้รับในขณะที่ตั้งครรภ ์ (Nutrition requirement during pregnancy)
พลังงาน
ในขณะที่ตั้งครรภ์จําเป็นต้องได้ร้บพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อใช้สําหรับเมทาบอลิซึมที่เพิ่มขึ้นเพื่อการเจริญเติบโตของอวัยวะของแม่ และการเพิ่มขนาดของตัวเด็กและรก เพิ่มปริมาตรของเลือด การขยายของมดลูก การขยายขนาดของเต้านม ควรเพิ่มอีกวันละ 300 กิโลแคลอรี่
โปรตีน
ร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อสร้างเนื้อเยื่อทั้งกล้ามเนื้อและสมองของเด็ก และสร้างเนื้อเยื่อทางฝ่ายแม่ ได้แก่ รก มดลูก เต้านม รวมทั้งนํ้าข้างนอก เซลล์ด้วย แนะนําให้ได้โปรตีนเพิ่มอีกวันละ 25 กรัม
ธาตุเหล็ก
ในระยะที่ตั้งครรภ์ร่างกายของแม่มีการสร้างเม็ดเลือดเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณเลือดมีการขยายมากขึ้น ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่จําเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและองค์ประกอบของฮีโมโกลบินซึ่งทำหน้าที่ถ่ายออกซิเจนในร่างกาย ถ้าร่างกายได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอจะเกิดการซีดได้ การขาด ธาตุเหล็กในระยะตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์ต่อการคลอดก่อนกำหนด และการคลอดทารกนํ้าหนักน้อย แนะนําให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาเม็ดธาตุเหล็กเสริมวันละ 60 มิลลิกรัม
แคลเซียม
มีความสำคัญต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์และการรักษาปริมาณมวลกระดูกของมารดา ร่างกายสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นทําให้การดูดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้น และยังช่วยป้องกันกันสลายแคลเซียมจากกระดูกจึงไม่จําเป็นที่หญิงตั้งครรภ์จะต้องได้รับแคลเซียมเพิ่ม
สังกะสี
เป็นประกอบของเอนไซม์สำคัญ ที่ทําหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการระบบภูมิคุ้มกันอายุขัยของเซลล ์ภาวะขาดสังกะสีขณะตั้งครรภ์ ทําให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า นํ้าหนักแรกคลอดตํ่า การพัฒนาระบบประสาทและพฤติกรรมบกพร่อง ปัญหาที่พบในแม่ คือ คลอดก่อนกําหนด มีปัญหาแทรกซ้อนซ้อนช่วงการตั้งครรภ์ และระหว่างคลอดหญิงตั้งครรภ์ควรได้สังกะสีเพิ่มวันละ 2 มิลลิกรัม
ไอโอดีน
ภาวะขาดเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกตาย ขณะคลอดหรือมีความผิดปกติของสมองและระบบประสาท ควรได้ไอโอดีนเพิ่มวันละ 50 ไมโครกรัม
วิตามินบีหนึ่ง ควรได้รับเพิ่มขึ้นอีกวันละ 0.3 มิลลิกรัม
วิตามินบีหก ช่วยในการเผาผลาญและสังเคราะห์กรดอะมิโน ช่วยสังเคราะห์ heme ปริมาณที่ควรได้รับเพิ่มเป็น 0.6 มิลลกรัม
วิตามนิโฟลาซิน ถ้าขาดจะส่งผลให้เด็กทารกที่คลอดออกมาพิการทางสมอง หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวันละ 500 ไมโครกรัม
อาหารสําหรับหญิงตั้งครรภ์ (Food for pregnancy)
สําหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการพลังงานวันละ 2050 กิโลแคลอรี่
อาหารกลุ่มข้าว แป้ง วันละ 9 ทัพพี
อาหารกลุ่มผัก วันละ 6 ทัพพี
อาหารกลุ่มผลไม ้วันละ 5 ส่วน
อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์วันละ 12 ช้อนกินข้าว
อาหารนมและผลิตภัณฑ์นม วันละ 3 แก้ว
อาหารกลุ่มไขมัน วันละ 5 ช้อนชา
หญิงให้นมบุตร
โภชนาการสำหรับหญิงให้นมบุตร (Nutrition requirement of lactating)
พลังงาน ในระยะให้นมบุตร แม่จำเป็นต้องได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อใช้เป็นพลังงานในการผลิตน้ำนม หญิงให้นมบุตรต้องได้รับพลังงานเพิ่มอีกวันละ 500 กิโลแคลอรี่
โปรตีน แม่จำเป็นต้องได้รับโปรตีนให้เพียงพอเพื่อใช้ในการสร้างนํ้านมสำหรับทารกและเพื่อซ่อมแซมเซลล์ต่างๆที่สูญเสียไปในการคลอดทารก
วิตามิน ในระยะให้นมบุตร ร่างกายจําเป็นต้องได้รับวิตามินเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในการเสริมสร้างร่างกายของแม่และส่วนประกอบของนํ้านม
1.วิตามินเอ ควรได้รับวิตามินเอเพิ่มขึ้นอีกวันละ 375 ไมโครกรัม
2.วิตามินดี หญิงให้นมบุตรได้รับเท่าปกติก่อนตั้งครรภ์ซึ่งได้จากไข่แดง ตับปลา นํ้านม
3.วิตามินบีหนึ่ง ควรได้เพิ่มอีก 0.3 มิลลิกรัม ซึ่งได้จากเนื้อ หมู ถั่วเมล็ดแห้ง
4.วิตามินบีสอง หญิงให้นมบุตรควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 0.5 มิลลิกรัมซึ่งได้จากเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว
5.วิตามินซี ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 35 มิลลิกรัม
เกลือแร่ ที่จำเป็นต้องได้รับในระยะให้นมบุตร
1 ธาตุเหล็ก จากอาหารวันละ 15 มิลลิกรัม
2 แคลเซียม แม่ต้องการแคลเซียมเท่าปกติ
3 ไอโอดีน เพิ่มอีกวันละ 50 ไมโครกรัม
อาหารสําหรับหญิงให้นมบุตร
อาหารสําหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการพลังงานวันละ 2,250 กิโลแคลอรี่
อาหารกลุ่มข้าว-แป้ง กินวันละ 9 ½ ทัพพี
อาหารกลุ่มผัก กินวันละ 7 ทัพพี
อาหารกลุ่มผลไม ้ กินวันละ 7 ส่วน
อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ กินวันละ 12 ส่วน
อาหารกลุ่มนมและผลิตภัณฑ์นม กินวันละ 3 แก้ว
อาหารกลุ่มไขมัน กินวันละ 5 ช้อนชา
ทารก
โภชนาการสำหรับทารก (Nutrition during Infancy)
พลังงาน ทารกอายุ 6 – 11 เดือนควรได้รับวันละ 800 กิโลแคลอรี่
โปรตีน ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 15 กรัม
วิตามินเอ ทารกอายุ 6 – 11 เดือน ควรได้รับวันละ 400 ไมโครกรัมวิตามินดี ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 5 ไมโครกรัม
วิตามินอี ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 5 มิลลิกรัม
วิตามินซี ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 35 มิลลิกรัม
วิตามินบีหนึ่ง ทารกอายุ 6-11 เดือนควรได้รับวันละ 0.3 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง ควรได้รับวันละ 0.4 มิลลิกรัม
วิตามินบีหก ควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม
วิตามินบีสิบสอง ควรได้รับวันละ 0.5 ไมโครกรัม
แคลเซียม ควรได้รับวันละ 270 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส ควรได้รับวันละ 275 มิลลิกรัม
ไอโอดีน ควรได้รับวันละ 90 ไมโครกรัม
ธาตุเหล็ก ควรได้รับวันละ 9.3 มิลลิกรัม
สังกะสี ควรได้รับวันละ 3 มิลลิกรัม
ชนิดอาหารที่ให้ทารกตามวัย
เด็กอายุ 6 เดือน กินนมแม่และอาหารอื่น 1 มื้อ
ข้าว ข้าวบด 3 ช้อนกินข้าว ควรจะเป็นข้าวบดละเอียด
ไข่และเนื้อสัตว์ ไข่แดงครึ่งฟองสลับกับตับบด 1 ช้อนกินข้าวหรือปลาบด 2 ช้อนกินข้าว
ผัก ผักสุกบดครึ่งช้อนกินข้าว
ผลไม้ ผลไม้สุก 1-2 ชิ้น
ตอนแรกเริ่มให้ทีละน้อยก่อนแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นจนได้ปริมาณตามที่แนะนํา
อาหารทารกอายุ 7 เดือน กินนมแม่และอาหาร 1 มื้อ
ข้าวบด 4 ช้อนกินิข้าว
ไข่ทั้งฟอง ไข่ขาวและไข่แดงสลับกับเนื้อปลา 2 ช้อนกินขา้ว หรือ เนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว
ผัก ผักสุก 1 ½ ช้อนกินข้าว
ผลไม ้ผลไม้สุก 2-3 ชิ้น
อาหารเด็กอายุ 7 เดือนนเี้หมือนกับเด็กอายุ 6 เดือน แต่ปริมาณมาก ขึ้นและสามารถให้กินไข่ได้ทั้งฟอง ทั้งไข่ขาวและไข่แดง เมื่อให้เด็กกินอาหารอิ่มแล้วให้เด็กดูดนมแม่จนอิ่ม
อาหารทารกอายุ 8-9 เดือน กินนมแม่และอาหารอื่น 2 มื้อ
ข้าวหุงนิ่มๆ 5 ช้อนกินข้าว
ไข่ทั้งฟองและเนื้อสัตว์ 2 ช้อนกินข้าว
ผัก ผักสุกหั่น 2 ช้อนกินข้าว
ผลไม้ กินผลไม้สุกวันละ 3-4 ชิ้น
อาหารทารก อายุ 10-12 เดือน กินนมแม่และอาหารอื่น 3 มื้อ
ข้าวหุงนิ่มๆ 5 ช้อนกินข้าว
ไข่ทั้งฟองและเนื้อสัตว์ 2 ช้อนกินข้าว
ผัก ผักสุกหั่น 2 ช้อนกินข้าว
ผลไม้ กินผลไม้สุก หลังอาหารทุกมื้อ
หลังจากให้ลูกกินอาหารแล้วควรให้ลูกกินนมแม่ตามจนอิ่ม
เด็กก่อนวัยเรียน
โภชนาการสําหรับเด็กวัยก่อนเรียน
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้พลังงานวันละ 1000 กิโลแคอรี่
เด็กอายุ 4-5ปี ควรได้รับวันละ 1300 กิโลแคลอรี่
เด็กอายุ 1-3 ควรได้โปรตีนวันละ 18 กรัม
เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 22 กรัม
วิตามินเอเด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามินวันละ 400 ไมโครกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 450 ไมโครกรัม
วิตามินซีเด็กอายุ 1-3 ปี และเด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 40 มิลลิกรัม วิตามินบีหนึ่งเด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับวัน ละ 0.5 มิลลิกรัม ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม
วิตามินบีสองเด็กอายุ 1-3ปี ควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรไดด้วันละ 0.6
วิตามินบีหกเด็กอายุ 1-3 ปี ควรไดร้ับวันละ 0.5 มิลลิกรัม เด็ก 4-5 ปี ควรได้วันละ 0.6 มิลลิกรัม
วิตามินบีสิบสองเด็กอายุ 1-3ปี ควรได้วันละ 0.9 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้วันละ 1.2 มิลลิกรัม
แคลเซียม เด็กอายุ 1-3ปีวันละ 500 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปีวันละ 800 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส เด็กอายุ 1-3 ปีวันละ 460 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี วันละ 500 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก เด็กอายุ 1-3ปีวันละ 460 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี วันละ 500 มิลลิกรัม
ไอโอดีน เด็กอายุ 1-3 ปีวันละ 90 มิลลิกรัม เท่ากับเด็กอายุ 4-5 ปี
หลักการจัดอาหารสําหรับเด็กวัยก่อนเรียน
ควรจัดอาหารให้หลากหลาย ย่อยง่าย เคี้ยวง่าย รสไม่จัด สีสันน่ารับประทาน ปริมาณเหมาะสมครบ 5 หมู่
ควรเสริมอาหารประเภทเต้าหู้และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ แทนอาหารประเภทเนื้อสัตว์เด็กควรได้รับไข่และนมทกุวัน
ควรจัดอาหารที่มีส่วนประกอบของผักทุกวันให้มีความหลากหลายจะช่วยให้เด็กขับถ่ายสะดวกและบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง
ควรฝึกให้เด็กรับประทานผลไม้ทุกวัน
ขนมหวานและอาหารว่างควรทําจากธัญพืชต่างๆและถั่วเมล็ดแห้ง
ไม่ควรปรุงอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด ไขมันสูง
ไม่ควรให้ขนมหรือกินเล่นก่อนมื้ออาหาร 1-2 ชั่วโมง
ระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของอาหาร ภาชนะ/อุปกรณ์ สถานที่ ตลอดถึงผู้เตรียมอาหารให้เด็กรับประทาน
วัยเรียน
ความต้องการสารอาหารในเด็กวัยเรียน
พลังงาน เด็กอายุ 6-8ปีทั้งชายและหญิง ควรได้พลังงานวันละ 1400 กิโลแคลอรี่ เด็กอายุ 9-12ปี (ชาย)ควรได้พลังงานวันละ 1700 กิโลแคลอรี่ และเด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) ควรได้พลังงานวันละ 1600 กิโลแคลอรี่
โปรตีน เด็กวันเรียนอายุ 6-8 ปี มีความต้องการเป็น 28 กรัม/วัน เด็กอายุ 9-12ปี (ชาย) มีความต้องการ 40 กรัม/วัน เด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) มีความต้องการเป็น 41 กรัม/วัน
แคลเซียมและฟอสฟอรัส เด็กอายุ 6-8 ปี ควรได้วันละ 800 มิลลิกรัม/วัน และเด็กอายุ 9-12ปี ควรได้ 1000 มิลลิกรัม/วัน
ธาตุเหล็ก เด็กอายุ 6-8 ปี เป็น 8.1 มิลลิกรัม เด็กอายุ 912 ปี (ชาย) เป็น 11.8 มิลลิกรัม และเด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) เป็น 19.1 มิลลิกรัม
ไอโอดีน เด็กอายุ 6-8 ปี และวัย 9-12 ปี ควรเป็น 120 ไมโครกรัม
สังกะสี เด็กอายุ 6-8 ปี วันละ 4 มิลลิกรัม เด็กอายุ 9-12 ปี วันละ 5 มิลลิกรัม
วิตามินดี เด็กวัยเรียนอายุ 6-8 ปี และ 9-12 ปี เป็น 5 ไมโครกรัม/วัน
อาหารสำหรับเด็กวัยเรียน
การเจริญเติบโตของเด็กวัยเรียนในช่วงอายุระหว่าง 6-12 ปี เป็นไปอย่างช้าๆ แต่ค่อนข้างสมํ่าเสมอ การจัดอาหารสําหรับเด็กวัยนี้นับเป็นสิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองและโรงเรียนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เด็กในวัยนี้ควรให้กินอาหารเหมือนผู้ใหญ่ทุกอย่าง เด็กวัยนี้มีความอยากอาหารดีมาก แต่ไม่ชอบกินผัก ควรให้กินผลไม้ให้มากขึ้น ในการจัดอาหารสําหรับเด็กวัยเรียนที่มีความต้องการพลังงานวันละ 1600 กิโลแคลอรี่ และ 1700 กิโลแคลอรี่ โดยนําหลักการจัดกลุ่มอาหารจากธงโภชนาการมาใช้