Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
อาหารที่เหมาะสมสำหรับบุคคลในภาวะและวัยต่าง ๆ, ตั้งครรภ์, นมบุตร, ทารก,…
อาหารที่เหมาะสมสำหรับบุคคลในภาวะและวัยต่าง ๆ
โภชนาการหญิงตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์เป็นระยะที่มีการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ เกิดขึ้นมากกว่าปกติ เพราะอัตราการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์สูงกว่าระยะของชีวิต
5.สังกะสี เป็นประกอบของเอนไซม์สําคัญ ที่ทําหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการระบบภูมิคุ้มอายุขัยของเซลล์ ภาวะที่ถ้า ทำให้ทารกในครรภ์เจริญ เติบโตช้า น้ำหนักแรกคลอดต่ำ
6.ไอโอดีน ภาวะขาดเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกตายขณะคลอด หรือมีความผิดปกติของสมองและระบบประสาท ควรได้ไอโอดีนเพิ่มวันละ 50 ไมโครกรัม
4.แคลเซียม มีความสำคัญต่อการพัฒนาการและการเจริญเติบดตของทารกในครรภ์ และการรักษาปริมาณมวลกระดูกของมารดา ร่างกานสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นทำให้การดูุดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้น
7.วิตามินบีหนึ่ง ควรได้รับเพิ่มขึ้นอีกวันละ 0.3 มิลลิกรัม
3.ธาตุเหล็ก ในระยะตั้งครรภ์ ร่างกายของมีการสร้างเม็ดเลือดดพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณเลือดมีการขยายมากขึ้น
แนะนำให้ได้รับยาเม็ดธาตุเหล็กเสริมวันละ 60 มิลลิกรัม
8.วิตามินบีหก ช่วยในการเผาพลาญและสังเคราะห์กรดอะมิโน ช่วยสังเคราะห์ heme ปริมาณที่ควรได้รับเพิ่มเป็น 0.6 มิลิกรัม
2.โปรตีน ร่างกายต้องการเพื่อสร้างเนื้อเยื่อ ทั้งกล้ามเนื้อและสมองของเด็ก และสร้างเนื้อเยื่อทางฝ่ายแม่
แนะนำให้ได้โปรตีนเพิ่ม วันละ 25 กรัม
9.วิตามินโฟลาซนิ ถ้าขาดจะส่งผลให้เด็กทารกที่คลอดออกมาพิการทางสมอง หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวันละ 500 ไมโครกรัม
1.พลังงาน ในขณะที่ตั้งครรภ์ จำเป็นต้องได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อใช้สำหรับเมทาบอลิซึมที่เพิ่มขึ้นเพื่อการเจริญเติบโตของอวัยวะของแม่ และการเพิ่มขนาดของตัวเด็กและรก เพิ่มปริมาตรของเลือด
แนะนำควรเพิ่มอีกวันละ 300 กิโลแคลอรี่
อาหารสำหรับหญิงตั้งครรภ์
เพื่อให้ร่างกายของแม่มีสุขภาพดี พร้อมสําหรับให้กําเนิดลูกแม่ต้องกินอาหารเพื่อใช้สำหรับร่างกายแม่เองได้แนะนําอาหารสําหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการพลังงานวันละ 2050 กิโลแคลอรี
อาหารกลุ่มผลไม ้ วันละ 5 ส่วน
อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ วันละ 12 ช้อนกินข้าว
อาหารกลุ่มผัก วันละ 6 ทัพพี
อาหารนมแผลิตภัณฑ์นม วันละ 3 แก้ว
อาหารกลุ่มข้าว แป้ง วันละ 9 ทัพพี
อาหารกลุ่มไขมัน วันละ 5 ช้อนชา
โภชนาการหญิงให้นมบุตร
การกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจะช่วยให ้มารดา ผลิตน้ำนมเลี้ยงทารกได้เพียงและช่วยซ่อมแซมร่างกายของมารดาที่เสื่อมโทรมเนื่องจากการคลอดบุตรและการให้นมบุตร
3.วิตามินในระยะให้นมบุตร ร่างกายจำเป็นต้องได้รับวิตามินเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการเสริมสร้างร่างกายของแม่และส่วนประกอบของน้ำนม
3.3 วิตามินบีหนึ่ง ควรได้เพิ่มอีก 0.3 มิลลิกรัม ซึ่งได้จากเนื้อหมู ถั่วเมล็ดแห้ง
3.4 วิตามินบีสอง หญิงให้นมบุตรควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 0.5 มิลลิกรัมซึ่งได้จากเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ถั่วต่าง ๆ ผักใบเขียว
3.2 วิตามินดี หญิงให้นมบุตรได้รับเท่าปกติก่อนตั้งครรภ์ซึ่งได้จากไข่แดง ตับปลา น้ำนม
3.5 วิตามินซี ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 35 มิลลิกรัม
3.1 วิตามินเอ เป็นส่วนประกอบที่สําคัญของนํ้านมแม่ ควรได้รับวิตามินเอเพิ่มขึ้นอีกวันละ 375 ไมโครกรัม ได้จากไข่แดง ตับสัตว์ ผักใบเขียว
4.เกลือแร่ที่จำเป็นต้องได้รับในระยะให้นมบุตร
4.2 แคลเซียม ในระยะให้นมบุตร แม่ต้องการแคลเซียมเท่าปกติ ซึ่งได้จากการดื่มน้ำมันปลาเล็กน้อยหรือปลาที่กินได้ทั้งกระดูก ผักใบเขียว
4.3 ไอโอดีน หญิงให้นมบุตรจึงควรได้รับไอโอดีนเพิ่มอีกวันละ 50 ไมโครกรัม ซึ่งได้จากการกินอาหารทะเล เช่น หอย กุ้ง ปู ปลา
4.1 ธาตุเหล็ก หญิงให้นมบุตรควรได้รับธาตุเหล็กจากอาหารวันละ 15 มิลลิกรัม ซึ่งได้รับจากกินเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว (วิตามินซีจะช่วยดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี)
2.โปรตีน แม่จําเป็นต้องได้รับโปรตีนให ้เพียงพอเพื่อใช้ในการสร้างน้ำนมสำหรับทารก และเพื่อซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ที่สูญเสียไปในการคลอด
1.พลังงาน ในระยะให นมบุตร แม่จําเป็นต้องได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อใช้พลังงานในการผลิตน้ำนม หญิงให้นมบุตรต้องได้รับพลังงานเพิ่มอีกวันละ 500 กิโลแคลอรี่
อาหารสำหรับให้นมบุตร
เพื่อให้หญิงให ้นมบุตรได้รับอาหารเหมาะสม และให้มีการสร้างน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกที่กำลังเจริญเติบโตด้วยนมแม่ หญิงให้นมบุตรควรได้รับชนิดอาหารเช่นเดียวกับหญิงตั้งครรภ์แต่ให้ดพิ่มปริมาณมากขึ้นเพิ่มจากภาวะปกติวันละ 500 กิโลแคลอรี่ ให ้ได้รับโปรตีนเพิ่มอีกวันละ 25 กรัม ต้องการพลังงานวันละ 2250 กิโลแคลอรี่
อาหารกลุ่มผลไม ้ กินวันละ 7 ส่วน
อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ กินวันละ 12 ส่วน
อาหารกลุ่มผัก กินวันละ 7 ทัพพี
อาหารกลุ่มนมและผลิตภัณฑ์นม กินวันละ 3 แก้ว
อาหารกลุ่มข้าว-แป้ง กินวันละ 9 1⁄2 ทัพพี
อาหารกลุ่มไขมัน กินวันละ 5 ช้อนชา
โภชนาการทารก
ทารกจะเจริญเติบโตเป็นปกติดีก็เมื่อได้อาหาเพียงพอกับที่ร่างกาย ในช่วงอายุ 6 เดือนแรก ความต้องการพลังงานและสารอาหารของทารกจะเท่ากับที่มีในนํ้านมแม่ที่มีสุขภาพดี
พลังงาน (Energy) ร่างกายต้องการพลังงานเพื่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เพื่อการเจริญเติบโตของทารกสารอาหารที่ให้พลังงานได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน ทารก 6-11 เดือนควรได้รับวันละ 800 กิโลแคลอรี่
โปรตีน (Protein) ใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมน เอนไซม์ ภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ และให้พลังงาน ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 15 กรัม พบมากในอาหารพวกเนื้อสัตว์ นม ผลิตภัณฑ์นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์จากถั่ว
ความต้องการสารอาหารในทารก
วิตามินบีหก จำเป็นต่อการสร้างและสังเคราะห์ DNA RNA และโปรตีนควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม
วิตามินบีสิบสอง เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเส้นใยประสาท ขาดจะทำให้เกิดโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ ควรได้รับวันละ 0.5 ไมโครกรัม พบมากในเนื้อสัตว์ ปลาา ไข่ นม
วิตามินบีสอง จำเป็นต่อสุขภาพของผิวหนังและระบบประสาท ควรได้รับ 0.4 มิลลิกรัมพบมากในเนย นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง
แคลเซียม (Calcium) เสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยการแข็งตัวของเลือด ทํางานของหัวใจ ควรได้รับวันละ 270 มิลลิกรัม พบมากในนม ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง ผักใบเขียว
วิตามินบีหนึ่ง มีความสำคัญในกระบวนการเผาพลาญอาหารของคาร์โบไฮเดรตทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 0.3 มิลลิกรัม พบมากในข้าวกล้อง เนื้อสัตว์
ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ควรได ้รับวันละ 275 มิลลิกรัมพบมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่างๆ
วิตามินซี จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยรักษาและสมาแผล ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ทารก 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 35 มิลลิกรัม พบมากในมะขามป้อม ฝรั่ง มะม่วงแก้ว
ไอโอดีน (Iodine) ควรได้รับวันละ 90 ไมโครกรัม พบมากในอาหารทะเล เกลืออนามัยที่เสริมไอโอดีน
วิตามินอี ช่วยลดการเกิดออกซิเดชั่นของกรดไขมันไม่อื่มตัวและช่วยรักษาสภาพของเซลล์ ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 5 มิลลิกรัม พบในน้ำมันพืช ไข่แดง ผักใบเขียว
ธาตุเหล็ก (Iron) ควรได ้รับวันละ 9.3 มิลลิกรัม พบมากในตับ เลือด เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่วเมล็ดแห้ง
วิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเพื่อใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 5 ไมโครกรัม พบมากในไข่แดง ตับปลา น้ำนม
สังกะสี(Zinc) ควรได ้รับวันละ 3 มิลลิกรัม พบมากในอาหารทะเล ตับ ไข่แดง นม เมล็ดธัญพืช
วิตามินเอ ช่วยในการมองเห็ฯ รักษาสภาพของเยื่อบุผิวที่ผิว ต้านทานโรค ทารก 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 400 ไมฌครกรับ พบมากในตับ ไข่แดง ผักใบเขียว
แนวทางการให้อาหารตามวัย
อาหารทารกอายุ 7 เดือนกินนมแม่แลอาหาร 1 มื้อ
-ข้าวบด 4 ชอนกินข้าว โดยข้าวบดอาจจะหยาบขึ้นกว่าตอนเด็กอายุ6 เดือนได้ เพื่อพัฒนาการเคี้ยว
-ไข่ทั้งฟอง ไข่ขาวและไข่แดงสลับกับเนื้อปลา 2 ชอนกินข้าว หรือ เนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว
-ผัก ผักสุก 1 1⁄2 ชอนกินข้าวโดยให ้ผักหลายชนิดสลับกันไป
ผลไม้ ผลไม ้สุก 2-3 ชน
อาหารทารกอายุ 8-9 เดือนกินนมแม่และอาหารอื่น 2 มื้อ
-ข้าวหุงนิ่มๆ 5 ชอนกินข้าว แบ่งกินมื้อละ 2-3 ช้อนกินข้าวไม่ต้องบดละเอียด เพราะฟันเด็กเริ่มขึ้น เพื่อให ้เด็กได้เคี้ยว
ไข่ทั้งฟอง และเนื้อสัตว์ 2 ช้อนกินข้าว โดยแยกเป็น 2 มื้อ
-ผัก ผักสุกหั่น 2 ช้อนกินข้าว แบ่งเป็น 2 มื้อ
-ผลไม้กินผลไม ้สุกวันละ 3-4ชิ้น ควรจะเป็นผลไม ้ที่เนื้อนิ่มๆ
เด็กอายุ 6 เดือนกินนมแม่ และอาหารอื่น 1 มื้อ
ข้าว - ข้าวบด 3 ช้อนกินข้าว ควรจะเป็นข้าวบดละเอียด
ไข่และเนื้อสัตวื - ไข่แดงครึ่งฟองสลับกับตับบด 1 ช้อนกินข้าว
ผัก - ผักสุกบดครึ่งช้อนกินข้าว ได้แก่ ผักตำลึง ผักกวางตุ้ง ฟักทอง
ผลไม้- ผลไม้สุก 1-2 ชิ้น
อาหารทารก อายุ 10-12 เดือนกินนมแม่และอาหารอื่น 3 มือ ดังนี้
-ข้าวสุกหุงนิ่ม 5 ช้อนกินข้าวให ้กินใน 1 วัน และแบ่งกินเป็น 3 มื้อ
-ไข่ทั้งฟองและเนือสัตว์ 2 ช้อนกินข้าว โดยแยกออกเป็น 3 มื้อ
-ผัก ผักสุกหั่น 2 ช้อนกินข้าว -ผลไม้ ผลไม้สุก ได้แก่ กล้วยนํ้าว้าสุก มะละกอสุก
โภชนาการเด็กก่อนวัยเรียน
พลังงาน เด็กวัยนี้ต้องการพลังงานเพื่อการเจริญเติบโต และทำกิจกรรมต่างๆ เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับพลังงานวันละ 1000 กิโลแคลอรี่ ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 1300 กิโแคลอรี่
วิตามินซี เด็กอายุ 1-3 ปีและเด็กอายุ 4-5 ปีควรได้รับวันละ 40 มิลลิกรัม พบมากในผักสด และผลไม้สด
วิตามินบีสิสอง เด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับวันละ 0.9 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 1.2 มิลลิกรัม
โปรตีน เป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโตต้องการโปรตีนเพื่อใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ เอนไซม์ ฮอร์โมน สร้างภูมิคุ้มกันโรค และให้พลังงาน เด็กอายู 1-3 ควรได้โปรตีนวันละ 18 กรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 22 กรัม
แคลเซียม เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับ วันละ 500 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปีควรได้รับวันละ 800 มิลลิกรัม พบมากในนม ปลากเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง
วิตามินเอ เด็กอายุ1-3 ปีควรได้รับวิตามินวันละ 400 ไมโครกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับ 450 ไมโครกรัม พบมากในไข่แดง ตับ ผักใบเขียว
ฟอสฟอรัส เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 460 460 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 500 มิลลิกรัม พบมากในเนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่วเมล็ดแห้ง
วิตามินบีหกเด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปีควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบมากใน เนื้อสัตว์ ข้าวกล้อง นม ไข่แดง
ธาตุเหล็กเด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 460 460 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 500 มิลลิกรัม พบมากในเนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่วเมล็ดแห้ง
วิตามินบีสองเด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปีควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบมากใน นม เนย ไข่ ถั่วแดง
ไอโอดีน เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 90 มิลลิกรัมเท่ากับเด็กอายุ 4-5 ปี พบมากในอาหารทะเล
วิตามินบีหนึ่งเด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปีควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบมากในข้าวกล้อง เนื้อสัตว์
อาหารสำหรับเด็กวัยก่อนเรียน
4.ควรฝึกให ้เด็กรับประทานผลไม ้ทุกวัน
ระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของอาหาร ภาชนะ/อุปกรณ์ สถานที่ตลอดถึงผู้เตรียมอาหารให้เด็กรับประทาน
3.ควรจัดอาหารที่มีส่วนประกอบของผักทุกวันให้มีความหลากหลาย เชน ผักใบเขียว ผักสีเหลือง ผักสีแสด วันละ 1-2 ชนิด จะช่วยให ้เด็กขับถ่ายสะดวก และบํารุงสุขภาพให ้แข็งแรง
5.ขนมหวานและอาหารว่าง ควรทําจากธัญพืชต่างๆ และถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียวต้มนํ้าตาล กล้วยบวชช ข้าวต้มมัด ขนมถั่วแปบ
ควรเสริมอาหารประเภทเต้าหู้และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆแทนอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เด็กควรได้รับไข่และนมทุกวัน
ไม่ควรให ้ขนมหรือกินเล่นก่อนมื้ออาหาร 1-2 ชั่วโมง
ควรจัดอาหารให ้หลากหลาย ย่อยง่าย เคี้ยวง่าย รสไม่จัดสีสันน่ารับประทาน ปริมาณเหมาะสมครบ 5 หมู่
6.ไม่ควรปรุงอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด ไขมันสูง
โภชนาการวัยเรียน
เด็กวัยเรียน มีอายุ 6-10 ปีในเด็กหญิง และอายุ 6-12 ปี ในเด็กชาย อัตราการเจริญเติบโตของเด็กวัยเรียนจะช้ากว่าวัยทารกและวัยก่อนเรียน แต่การเจริญเติบโตจะเป็นไปอย่างสมํ่าเสมอ
ธาตุเหล็ก เด็กอายุ 6-8 ปี เป็น 8.1 มิลลิกรัม เด็กอายุ 9-12 ปี (ชาย) เป็น 11.8 มิลลิกรัม และเด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) เป็น19.1 มิลลิกรัมขาดทําให ้เกิดโรคโลหิตจาง แนะนําให ้บริโภคอาหารที่มีสารช่วยดูดซึมะาตุเหล็ก เช่นวิตามินซี ลดการบริโภคที่มีสารขัดขวางการดูดซึม เช่น ไฟเตท แทนนิน
แคลเซียมและฟอสฟอรัส เด็กอายุ 6-8 ปี ควรได ้รับวันละ800 มิลลิกรัม/วัน และเด็กอายุ 9-12ปี ควรได ้รับ 1000 มิลลิกรัม/วันขาดทําให ้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ นมและผลติภัณฑ์นมเป็นขาดทําให ้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ นมและผลติภัณฑ์นมเป็น
ไอโอดีน เด็กอายุ 6-8 ปี และวัย 9-12 ปี ควรเป็น 120 ไมโครกรัม เพื่อป้องกันการเกิดคอพอกในเด็กวัยเรียน
โปรตีน เด็กวันเรียนอายุ 6-8 ปีมีความต้องการเป็น 28กรัม/วัน เด็กอายุ 9-12ปี (ชาย) มีความต ้องการ 40 กรัม/วัน เด็กอายุ9-12 ปี (หญิง) มีความต ้องการเป็น 41 กรัม/วัน
สังกะสีเด็กอายุ 6-8 ปี วันละ 4 มิลลิกรัม เด็กอายุ 9-12ปี วันละ 5 มิลลิกรัม ถ้าขาดจะทําให้การเจิญเติบโตหยุดชะงัก ขาดความอยากอาหาร แหล่งอาหารที่สําคัญ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารทะเล
พลังงาน เด็กอายุ 6-8ปีทั้งชายและหญิง ควรได้รับพลังงานวันละ 1400 กิโลแคลอรี เด็กอายุ 9-12ปี (ชาย)ควรได้รับพลังงานวันละ 1700 กิโลแคลอรี และเด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) ควรได ้รับพลังงานวันละ 1600 กิโลแคลอรี
วิตามินดีเด็กวัยเรียนอายุ 6-8 ปี และ 9-12 ปี เป็น 5 ไมโครกรัม/วัน วิตามินดีในร่างกายส่วนใหญ่ได้มาจากการสังเคราะห์วิตามินดีขึ้นเองในร่างกายที่ผิวหนังโดยอาศัยแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นและส่วนน้อยได้มาจกการบริโภควิตามินดี