Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ตามอายุครรภ์, อ้างอิง - Coggle Diagram
การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ตามอายุครรภ์
การเปลี่ยนเเปลงของทารกในครรภ์
หลังการปฏิสนธิทารกในครรภ์มีการเปลี่ยนเเปลงดังนี้
การพัฒนาในไตรมาสเเรก 3 เดือนเเรก
เมื่อไข่และอสุจิผสมกัน โครโมโซมจากคุณพ่อและคุณแม่เริ่มกำหนดเพศ ผม สีตา และลักษณะเฉพาะต่างๆเพื่อเป็นอัตลักษณ์ของทารก
ชีวิตเริ่มก่อกำเนิดขึ้นจากเซลล์หนึ่งเซลล์ที่เรียกว่า Zygote เริ่มแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปดเซลล์ กระทั่งเป็นตัวอ่อนที่เรียกว่า Embryo เดินทางผ่านท่อนำไข่เข้าไปฝังตัวที่ผนังมดลูก
เมื่อตัวอ่อนฝังตัวเรียบร้อยแล้ว เริ่มมีการสร้างรก สายสะดือและผลิตน้ำคร่ำเพื่อหล่อเลี้ยงปกป้องตัวอ่อน เเละจะพัฒนาเป็นอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย
ในระยะนี้ตัวอ่อนมีขนาดเล็กประมาณ ¼ นิ้ว จะได้รับอาหารจากถุงไข่แดงที่อยู่ติดกับตัวอ่อน ก่อนที่รกจะพัฒนาเต็มที่และทำหน้าที่แทน
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 2 : หัวใจเริ่มเต้นแล้ว
ตัวอ่อนพัฒนารูปร่างชัดเจนขึ้น ศีรษะดูใหญ่กว่าส่วนอื่น เริ่มเห็นใบหน้า ดวงตากลมดำ หู จมูก แขนขา มือเท้า เปลือกตาบน ลำตัวเริ่มยืดออก ในช่วงนี้ทารกมีขนาดตัวยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร
ระบบประสาทส่วนกลางมีการพัฒนา หลอดประสาทซึ่งประกอบด้วยสมอง ไขสันหลังและเนื้อเยื่อเส้นใยประสาทมากมาย ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเซลล์อื่นๆ เพื่อพัฒนาการตอบสนองและพัฒนากล้ามเนื้อ
ตรวจพบว่าหัวใจเต้นแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ 6 ซึ่งคุณแม่จะเห็นได้เมื่อทำอัลตราซาวด์
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 5 : ทารกเริ่มดิ้น
เมื่อครรภ์มีพัฒนาการไปได้ถึง 5 เดือน ทารกตัวใหญ่ขึ้น มีขนาดตัวยาว 20-25 เซนติเมตร น้ำหนัก 400 กรัม กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น จนคุณแม่รู้สึกได้ว่าทารกเริ่มดิ้น
ฟันของทารกเริ่มพัฒนา ผมเริ่มงอก และมีขนอ่อนๆขึ้นตามร่างกาย
ผิวของทารกมีการผลิตไขสีขาวออกมาเคลือบผิวไว้ซึ่งจะช่วยปกป้องไม่ให้ระคายเคืองจากการอยู่ในน้ำคร่ำเป็นเวลานาน และมีการสร้างชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อให้ความอบอุ่นกับร่างกาย
ทารกเริ่มพัฒนาการรับรู้สัมผัสในด้านต่างๆ ทั้งแสง เสียง กลิ่น รส เวลาคุณแม่ลูบท้องทารกสามารถรับรู้ได้ ส่วนหูก็พัฒนาจนได้ยินเสียงของคุณแม่ การที่ทารกได้ยินเสียงต่างๆ
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 3 : เริ่มบ่งบอกเพศได้
มีดวงตา จมูก ปาก หน้าผาก ใบหู แขนขา นิ้วมือนิ้วเท้า เล็บมือเล็บเท้า สามารถขยับแขนขากำมือ เหยียดมือ อ้าปากได้ ช่วงนี้ทารกขนาดตัวยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร
อวัยวะเพศกำลังพัฒนาเป็นชายหรือหญิงแต่ยังเห็นไม่ชัดเจน อวัยวะสำคัญทั้งหมดสร้างเรียบร้อยแล้วและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทำงานได้
สมองกำลังสร้างจุดเชื่อมต่อสัญญาณประสาทมากมาย ระบบไหลเวียนและขับถ่ายปัสสาวะเริ่มทำงาน ตับมีการผลิตน้ำดี รกเริ่มส่งผ่านสารอาหารจากคุณแม่สู่ทารกและขับของเสียออกผ่านทางสายสะดือ
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 6 : ทารกเริ่มตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น
เมื่อครรภ์มีพัฒนาการไปได้ถึง 6 เดือน กล้ามเนื้อของทารกพัฒนาสมบูรณ์ขึ้น ช่วงนี้ทารกมีขนาดตัวยาว 30 เซนติเมตร น้ำหนัก 600 กรัม
ทารกได้ยินเสียงหัวใจเต้นของคุณแม่ คุ้นเคยกับเสียงคุณแม่ และสามารถตอบสนองด้วยการขยับตัว เคลื่อนไหวเมื่อได้ยินเสียง
ระบบภูมิคุ้มกันมีการพัฒนาเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว เริ่มหายใจในน้ำคร่ำ ซึ่งอาจทำให้ทารกสะอึกจนคุณแม่รู้สึกว่าทารกกระตุกอยู่ในท้อง
อวัยวะเพศภายในกำลังพัฒนา เพศชายอัณฑะจะเริ่มคล้อยลง ส่วนเพศหญิง มดลูก รังไข่และช่องคลอดเคลื่อนไปประจำตำแหน่ง
พัฒนาการทารกในช่วงไตรมาสที่สาม : 7-9 เดือนในครรภ์คุณแม่
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 7 : ทารกเริ่มลืมตา
ผิวทารกพัฒนาหนาขึ้นไม่บางใสแล้ว มีการสะสมไขมันใต้ผิวหนังทั่วตัว ช่วงนี้ทารกขนาดตัวยาว 35 เซนติเมตร น้ำหนัก 1000-1200 กรัม เริ่มขยับตัวไปในทิศทางที่ง่ายต่อการคลอด
ทารกเริ่มลืมตา กระพริบตาได้เมื่อเห็นแสงที่ส่องผ่านหน้าท้องคุณแม่ การส่องไฟทางหน้าท้องจะทำให้เซลล์สมอง ระบบเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นพัฒนาได้ดีขึ้น
ระบบประสาทสมองมีการพัฒนาเชื่อมโยงเครือข่ายส่วนที่ควบคุมเวลาตื่นเวลานอนของทารก
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 8 : ทารกเริ่มพัฒนาประสาทรับรู้แสง
พัฒนการทารกในครรภ์ในช่วง 8 เดือนนี้ ทารกดิ้นเตะกระทุ้งศอกแรงขึ้น ทารกเริ่มกลับตัวหันศีรษะลงด้านล่าง
ระบบประสาทสมองของทารกกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในสมอง และสมองมีรอยหยักมากขึ้น
ระบบประสาทส่วนที่รับรู้เสียง แสง และการสัมผัสทำงานได้ไวขึ้น ทำให้ทารกสามารถรับรู้ความมืดความสว่างได้
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 9 : ปอดและผิวหนังของทารกสมบูรณ์
เตรียมพร้อมหายใจครั้งแรกหลังคลอด ผิวหนังสมบูรณ์ ช่วงนี้ทารกมีขนาดตัวยาว 50 เซนติเมตร น้ำหนัก 2800-3000 กรัม ทารกกลับศีรษะลงสู่ช่องเชิงกรานเพื่อเตรียมพร้อมคลอด
สมองเริ่มควบคุมการทำงานของร่างกายทั้งหมด เช่น การหายใจ การเต้นของหัวใจ การตอบสนองต่างๆ การตื่นตัว รวมถึงการคว้าจับ การดูด ซึ่งจะทำให้ทารกสามารถจับมือคุณแม่และดูดนมคุณแม่ได้ทันทีหลังคลอด
พัฒนาการทารกในช่วงไตรมาสที่สอง : 4-6 เดือนในครรภ์คุณแม่
พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนที่ 4 : ดูดกลืนน้ำคร่า
ทารกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้ทารกมีขนาดตัวยาว 16-18 เซนติเมตร น้ำหนัก 200 กรัม มีผิวบางใสจนเห็นเส้นเลือดภายในชัดเจน มีการพัฒนาเปลือกตา ขนตา คิ้ว เล็บ ผม ลายมือ และสามารถขยับตัว
ทารกเริ่มแสดงความรู้สึกทางสีหน้า ระบบประสาทกำลังเริ่มทำงาน และประสาทสัมผัสทางลิ้นเริ่มมีการพัฒนาปุ่ม รับรส
อวัยวะเพศภายนอกและภายในพัฒนาสมบูรณ์ เมื่อทำอัลตราซาวด์จะเห็นเพศหญิงหรือชายชัดเจนขึ้น ทารกเพศหญิงในรังไข่มีไข่นับพันฟองแล้ว
ความหมาย
เป็นกระบวนการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์เริ่มตันตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งคลอด ซึ่งการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ต้องอาศัยการทำงานของรกเยื่อหุ้มเด็ก สายสะตือและน้ำคร่ำเป็นองค์ประกอบสำคัญช่วยในการเจริญเติบโต
การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ระยะที่มารดาทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ การช่วยกระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยในครรภ์จะส่งผลให้ทารกเกิดการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม พยาบาลผดุงครรภ์เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการแนะนำมารดาเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
วิธีการกระตุ้นพัฒนาการของทารกในครรภ์
ระบบประสาทการเคลื่อนไหว
พัฒนาเซลล์ประสาทการทรงตัว การเจริญเติบโตของร่างกาย
เริ่มปฏิบัติเมื่อตั้งครรภ์ 5 เดือน นั่งเก้าอี้โยกหน้าหลังและเปิดเพลงโดยสม่ำเสมอ
เมื่ออายุ 7 เดือน (28 สัปดาห์)ใช้วิธีนั่งเก้าอี้หมุนซ้าย-ขวา เพื่อพัฒนาการทรงตัวและการเคลื่อนไหว
ระบบประสาทการมองเห็น
ช่วยพัฒนาเซลล์ประสาทส่วนรับการมองเห็นของทารก
การเคลื่อนไฟฉาย เมื่อเข้าเดือน 7-8 (28-32 สัปดาห์) เคลื่อนไฟฉายจากซ้ายไปขวา เพื่อให้ทารกเกิดความสนใจ
ขณะปฏิบัติควรอยู่ในห้องมืดมีแสงไฟทำให้ทารกเห็นแสงได้ผลดี
ทำสม่ำเสมอเเละเป็นประจำจนกระทั่งคลอด
ระบบสำหรับความรู้สึก
การลูบสัมผัส
ใช้ไมโครโฟนพูดคุยกับลูกและร้องเพลงร่วมกับการสัมผัสได้
ถ้าอยู่ในบ้านเปิดหน้าท้องลูบสัมผัสวนไปรอบๆ โดยเริ่มจากหัว-หลัง-ก้น-ขา-แขน แล้ววนไปตามลำตัวช้าๆ
เพื่อให้ลูกเคยชินกับการสัมผัสและสงบอารมณ์ดี
การลูบสัมผัสทำได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน
สัมผัสกับลูกเป็นจังหวะ
ให้เคยชินอุบอุ่นและมั่นคงกับการสัมผัส
ใช้มือตบลงเบาๆบนหน้าท้อง บริเวณก้นของทารก
เคยชินกับพฤติกรรมสัมผัสเป็นจังหวะ
เมื่อหลังคลอดได้รับสัมผัสเช่นนี้อีก จะทำให้ทารกหยุดร้องเร็วขึ้น
สัมผัสน้ำอุ่นน้ำเย็น
พัฒนาเซลล์ประสาทส่วนความรู้สึกร้อนหนาวและปรับสภาพให้ลูกชินกับความเย็นทีละน้อย
ใช้ไมโครโฟนเรียกลูกว่าจะทำอะไร แล้วใช้ขวดพลาสติกมีฝาปิดขนาด 240 ซีซีใส่น้ำ ใช้ส่วนของก้นขวดวางก่อนใช้เวลา 2 นาที
เริ่มได้เมื่อตั้งครรภ์ 6 เดือน(24 สัปดาห์) และถ้า 2 เดือนสุดท้ายใกล้คลอดค่อยๆเพิ่มความเย็นและเวลาเป็น 3-5 นาที และยกขวดขึ้น ความเย็นสูงสุดที่คุณแม่ทนได้เท่านั้น
ตบหน้าท้องเบาๆขณะลูกดิ้น
ฝึกไหวพริบ สร้างการเรียนรู้และปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมภายนอก
เมื่อลูกดิ้นให้ตบลงเบาๆเป็นจังหวะ 2 ครั้งลงบนก้นลูก ทำได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน (28 สัปดาห์) เมื่อตั้งครรภ์ 8 เดือนก็ให้เปลี่ยนวิธีการใหม่
ฉีดน้ำบริเวณหน้าท้อง
ทำเมื่ออาบน้ำจะคุ้นเคยกับสายน้ำที่กระทบที่ท้องแม่ละเสียงของน้ำ เมื่อขณะเบ่งคลอดมีเสียงลักษณะนี้ลูกจะสงบไม่ตกใจ
ปฏิบัติได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน(28 สัปดาห์)
ระบบประสาทการได้ยิน
ใช้เสียงของแม่เล่านิทานให้ลูกฟัง
ส่งเสริมการได้ยินเป็นลำดับขั้นเพื่อเตรียมพร้อมออกเผชิญกับสิ่งแวดล้อมภายนอก
ทารกเคยชินและผูกพันกับแม่
ใช้เสียงดนตรีแก่ทารกในช่วงตั้งครรภ์ 18 สัปดาห์ขึ้นไป
มีพัฒนาการด้านการได้ยินเร็วกว่าปกติ
มีสติปัญญาสูง
มีอารมณ์แจ่มใส ร่าเริ่ง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับเสียงดนตรี
ทารกในครรภ์สามารถได้ยินเสียงเมื่ออายุ 4 เดือนครึ่ง(18 สัปดาห์)
เสียงการบีบตัวของลำไส้
เสียงการเคลื่อนไหวของกระแสโลหิต
เสียงการเต้นของหัวใจแม่
สาเหตุที่ต้องให้เสียงกับทารกตั้งแต่ในครรภ์
เซลล์สมองจะเพิ่มจำนวนเซลล์ถึงอายุครรภ์ 18 สัปดาห์ หลังจากจะมีแต่การเพิ่มขนาดของเซลล์สมอง
ขบวนการนี้จะเริ่มตั้งแต่ 18 สัปดาห์ ถึง 2-3 ขวบ จึงเป็นโอกาสที่เซลล์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เข้าไปในการใช้เสียงพัฒนาระบบประสาทการได้ยิน
อ้างอิง