Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การช่วยเหลือพยาบาลวิชาชีพในการดูแลบุคคลวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีปัญหาระ…
การช่วยเหลือพยาบาลวิชาชีพในการดูแลบุคคลวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
ระบบหายใจ คือ ระบบที่ร่างกายแลกเปลี่ยนแก๊ส โดยร่ากายจะรับแก๊สออกซิเจนที่อยู่ภายนอกร่างกายและขับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่ากายอวัยวะที่สำคัญในระบบนี้ได้แก่ จมูก หลอดลม ปอด กล้ามเนื้อกระบังลมและกระดูกซี่โครง
อวัยวะในทางเดินหายใจส่วนบน
จมูก เป็นทางผ่านด่านแรกของอากาศที่หายใจเข้าไปภายในจมูกจะมีขนขนาดเล็กและเยื่อเมือกหนาๆ
คอหอย เป็นหลอดตรงยาวที่เชื่อมต่อกันระหว่างช่องจมูกและช่องปาก โดยมีเพดานอ่อนเป็นตัวกั้น คอหอยเป็นทางผ่านของทั้งอาหารและอากาศ
อวัยวะในทางเดินหายใจส่วนล่าง
หลอดลม เป็นท่อที่ต่อมาจากคอหอยและกล่องเสียงลงไปสู่ปอดหลอดลมมีลักษณะเป็นหลอดกลมๆที่ประกอบด้วยกระดูกอ่อน
คอหอย ซึ่งแตกแขนงจากหลอดลมใหญ่ไปสู่ปอดทั้งซ้ายและขวา
หลอดลมฝอย ซึ่งเป็นแขนงเล็กๆ แยกย่อยไปยังถุงลมในปอดอีกทีหนึ่ง
ปอด ตั้ง2ข้างของช่องทรวงอก ฐานปอดจะแนบสนิทกับกะบังลม และมีหัวใจอยู่ตรงกลางระหว่างปอด 2 ข้าง ภายในปอดประกอบด้วยถุงลมขนาดเล็กที่ยืดหยุ่นจำนวนมาก
กะบังลม เป็นแผ่นกล้ามเนื้อด้านล่าง กระดูกซี่โดครง ที่แบ่งช่องอกออกจากช่องท้อง ซึ่งการหดและคลายตัวของกะบังลมนั้นมีผลต่อการควบคุมการหายใจเข้าออก
การทำงานของระบบทางเดินหายใจ
โดยทั่วไปเราจะมีอัตราการหายใจประมาณ 14-18 ครั้งต่อนาที
การหายใจอาจมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นตัวควบคุมการหายใจเข้าออก ได้แก่ ระดับคาร์บอนไดออกไซดืในเลือด และความต้องการออกซิเจน
กระบวนการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
เมื่อเราหายใจเข้า กะบังลมจะเลื่อนตํ่าลง ทำให้พื้นที่ช่องอกมากขึ้นความดันอากาศรอบๆ
ก๊าสออกซิเจน จากอากาศที่รับเข้ามาจะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดแดงและไหลเวียนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ
ก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์ จากทั่วร่างกายลำเลียงผ่านหลอดเลือดดำมายังปอดและแพร่สู่หลอดลมในปอด
กระบวนการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
หายใจเข้า
ช่องอกขยาย
กระดูกหน้าอกยกตัวสูงขึ้น
กระดูกซี่โครงเคลื่อนตัวลง
กระบังลม
กระบังลมเคลื่อนที่ตํ่าลง
หายใจออก
ช่องอกขยาย
กระดูกหน้าอกยกตัวสูงขึ้น
กระดูกซี่โครงยกตัวสูงขึ้น
กระบังลม
กระบังลมเคลื่อนที่ตํ่าลง
ความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ
หายใจติดขัด
คัดจมูก
ไอจามเล็กๆ น้อยๆ
อาการรุนแรงอย่างหายใจไม่ออก
มีคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในเลือด
โรคในระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อย
โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ
โรคหวัด เกิดได้จากเชื้อไวรัสหลายชนิด ทำให้มีอาการคัดจมูก นำ้มูกไหล ซึ่งมักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
คออักเสบ เกิดได้ทั้งจากเชื้อไว้รัสและแบคทีเรีย อาการที่เด่นชัดคือ เจ็บคอ ไอ และอาจมีไข้ในบางครั้ง
ปอดอักเสบ ปอดบวม มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา อาการที่พบคือมีไข้สูง หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก อาจพบผีในปอดและนำ้คั่งในปอดด้วย
วัณโรค เกิดจากแบคทีเรียไมโคแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิสมักพบอาการ ไอเรื้อรัง เสมหะเป็นเลือด เจ็บหน้าอก มีไข้ อ่อนเพลีย และนำ้หนักลด
โรคที่เกิดจากสาเหตุอื่น
หอบหือ เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม เป็นผลให้หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก และหายใจมีเสียงวี๊ดๆ
โรคภูมิแพ้ เกิดจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันจากการได้รับสิ่งกระตุ้น ทำให้มีอาการคัดจมูก นำ้มูกไหล ไอจามและอาจเกิดอาการกับระบบอื่นๆด้วย
ถุงลมโป่งพอง เกิดจากการอักเสบของถูกลมปอดจนพองและแตกออกจนเกิดอาการไอเรื้อรังและหายใจตี้น ซึ่งสาเหตุหลักนั้นมาจากการสูบบุหรี่
มะเร็งปอด มักเกิดจากการสูดดมควันบุหรี่ อาการในระยะแรกที่สังเกตได้คือ เจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร และนำ้หนักลด
การดูแลต้องการพื้นฐานของบุคคลด้านอากาเพื่อการหายใจ
การประเมินระดับออกซิเจนในร่างกาย
สามารถประเมินระดับออกซิเจนในร่างกายด้วยการประเมินสภาพร่างกาย การหาค่าระดับก๊าสในเลือดแดง
การประเมินสภาพร่างกาย
การสังเกตลักษณะการหายใจ
อัตราการหายใจ การตรวจความสมมาตรของทรวงอก
การฟังเสียงปอด
การประเมินร่วม ได้แก่
นับอัตราการเต้มของหัวใจ
ค่าความดันโลหิต
ระดับความรู้สึกตัว
สีของริมฝีปาก
สีของผิวหนัง
สีของเยื่อบุภายในปาก
สีของเล็บ
โดยผู้ที่มีภาวะพร่องออกซิเจน
อัตราการหายใจที่เร็ว และตื้น
อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติกระสับกระส่าย
หายใจแรงจนจมูกบาน
นอนราบแล้วมีอาการเหนื่อย ต้องลุกนั่งจึงจะหายใจได้ดีขึ้น
ใช้กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวช่วยในการหายใจ
การวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ค่าปกติคือ 95-100% ผู้ป่วยที่มีค่าเปอร์เซ็นต์ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดน้อยกว่า 90% แสดงถึงมีภาวะขาดออกวิเจน
การดูแลส่งเสริมให้ผู้ป่วยวัยผู้ใหญและผู้สูงอายุได้รับออกซิเจน
การส่งเสริมให้ร่างกายได้รับออกวิเจนมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านอากาศเพื่อการหายใจให้สามารถดำรงไว้ซึ่งการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
การจัดท่า
ท่าที่ทำให้ทรวงอกอกขยายตัวได้ดี คือ ท่านอนศีรษะสูง เป็นท่าทำให้อวัยวะต่างๆ ในช่องท้องเลื่อนตํ่าลง ไม่กดเบียดบักกระบังลมทำให้ปอดขยายตัวได้ดีและท่านั่งฟุบกับโต๊ะโดยผู้ป่วยนั่งบนเตียง
การสอนเทคนิคการหายใจ
การหายใจเข้า-ออกลึกๆ
การผ่อนลมหายใจออกทางปาก
การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลม
การกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้หายใจอย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า incentive spirometer โดยให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือนอนศีรษะสูงแล้วหายใจ เข้า-ออก ยาวๆ ลึกๆ จากนั้นใช้ปากอมส่วน mouth piece ของเครื่อง incentive spirometer แล้วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มที่ ค้างไว้อย่างน้อย 3-5 วินาที แล้วจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจออก
การให้ออกซิเจน
เพื่อให้ระดับออกซิเจนในกระแสเลือดปกติ ลดการทำงานของร่างกายในการแลกเปลี่ยนก๊าสและคงไว้ซึ่งภาวะสมดุล กรด-ด่างในร่างกาย
แหล่งออกซิเจน
ในโรงพยาบาลมี2ลักษณะ คือ ออกซิเจนบรรจุ ถังสามารถเคลื่อนย้ายได้ และออกซิเจนระบบท่อ
เครื่องทำความชื้น
เครื่องนี้มีความสำคัญเนื่องจากการให้ออกซิเจนต้องผ่านความชื้นก่อนเพื่อป้องกันเยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง
อุปกรณืให้ออกซิเจน
ชนิดสายยางเข้าจมูก (nasal cannula) ให้ออกซิเจน 22%-44% ด้วยอัตราการไหลของออกซิเจน1-6ลิตร/ นาทีสำหรับผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังห้ามเปิดออกซิเจนเกิน2-3ลิตร/นาที
ชนิดหน้ากากออกซิเจน (slmple mask) ให้ออกซิเจน40%-60% ด้วยอัตราการไหลของออกซิเจน6-10ลิตร/นาที
วิธีปฏฺิบัติการให้ออกซิเจนชนิดหน้ากาก
ต่อสายหน้ากากเข้ากับเครื่องทำความชื้น ป้องกันเยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง
ปรับอัตราการไหลออกซิเจน อัตรา 10-15 ลิตร/ นาทีตรวจสอบว่ามีออกซิเจนไหลผ่านเข้าไปในหน้ากาก
วางหน้ากากให้ตรงกับดั้งจมูกแล้วจึงครอบคางให้กระชับ ปรับสายยางคล้องรอบศีรษะให้กระชับให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
การขจัดเสมหะออกจากทางเดินหายใจ
การไออย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง ก้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ 3-4 ครั้ง ครั้งสุดท้ายหายใจเข้าแล้วกลั้นหายใจไว้ไอออกมาแรงๆ เพื่อขับ เสมหะออก
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับนำ้ ประมาณวันละ 2-3 ลิตร โดยนำ้อุ่นจะช่วยให้เสมหะอ่อนตัว ขับออกได้ง่าย
การพ่นละอองฝอย เป็นการใช้ละอ่องนำ้พ่นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้เสมหะอ่อนตัวลง และขับออกได้ง่ายขึ้น
การเคาะปอด การสั่นสะเทือน และการจัดท่าเพื่อระบายเสมหะเป็นวิธีที่ช่วยในการระบายเสมหะที่เกาะอยู่ภายในทางเดินหายใจให้หลุดออกมาได้ง่ายขึ้น
การดูดเสมหะ เป็นการใช้สายดูดเสมหะปราศจากเชื้อใส่ผ่านเข้าทางปาก จมูกท่อเจาะ หลอดลมคอหรือท่อหลอดลมคอ เพื่อนำเสมหะออกจากทางเดินหายใจ
ท่อหลอดลมคอ เป็นการใส่ท่อเข้าในหลอดลมโดยใส่เข้าทางปากหรือจมูก ส่วนปลายท่อจะอยู่เหนือคารีนา ประมาณ1นิ้วท่อนี้จะช่วยป้องกันการอุดตันทางเดินหายใจ และช่วยให้ดูดเสมหะได้ง่ายขึ้น
ท่อเจาะหลอดลมคอ เป็นการใส่ท่อโดยต้องเจาะคอผู้ป่วยก่อนเพื่อเป็นทางสำหรับสอดท่อเข้าหลอดลมใหญ่