Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเตรียมและช่วยเหลือมารดาทารกที่ได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ - Coggle…
การเตรียมและช่วยเหลือมารดาทารกที่ได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ
Biochemical Assessment
Amniocentesis
คือ การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดโดยเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจโครโมโซมทารกในครรภ์ที่ผิดปกติ เช่น ตั้งครรภ์อายุตั้งแต่ 35 ปี โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
วิธีการเจาะ
Amniocentesis
ทำโดยวิธีการปราศจากเชื้อ เจาะโดยใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผ่านหน้าท้อง
และผนังมดลูกเข้าสู่ถุงน้ำคร่ำ มาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ทำเมื่ออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อน
Amniocentesis
ปวดเกร็งเล็กน้อยบริเวณท้องน้อย มีเลือดหรือน้ำคร่ำออกทางช่องคลอด
โอกาสแท้ง ทารกตาย หรือเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดพบประมาณ 0.5%
การติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ การติดเชื้อในกระแสเลือดขั้นรุนแรงเกิดขึ้นน้อย
กว่า 1 รายจากการเจาะ 1,000 ราย
กลุ่มเลือด Rh negative มารดาสร้างภูมิต้านทานต่อเม็ดเลือดแดงของ
ทารกในครรภ์ ทำได้โดยการฉีด Anti-D immunoglobulin หลังการตรวจ
คำแนะนำหลังการเจาะ
Amniocentesis
ควรสังเกต และมาพบแพทย์หากมีอาการเหล่านี้ปวดเกร็งหน้าท้องมากไข้ภายใน 2 สัปดาห์มีน้ำหรือเลือดออกทางช่องคลอด
พักหลังจากการเจาะ1 วัน ควรงดการออกแรง
มาก เช่น ยกของหนัก ออกกำลังกาย
งดร่วมเพศ 4-5 วัน ไม่ควรเดินทางไกลภายใน 7 วัน
บทบาทของพยาบาล
ดูแลให้ปัสสาวะเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
ดูแลจัดท่า วัดความดันโลหิต และฟังเสียงหัวใจ
ของทารก
จัดเตรียมอุปกรณ์ให้สะอาดปราศจากเชื้อ
ภายหลังเจาะให้นอนหงาย กดแผลหลังจากเอาเข็มออก ประมาณ 1 นาที และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์
ฟังเสียงหัวใจทารกทุก 15 นาที จนครบ 1 ชั่วโมง
วัด Vital signs 2 ครั้ง ห่างกัน 15 นาที
Amniotic fluid analysis
ดูความสมบูรณ์ของปอด วิธีที่นิยมทำ 3 วิธี
จากการดูสีของน้ำคร่ำ มีเลือดปน ใสหรือขุ่น มีสีของขี้เทาปนหรือไม่
(Amniotic fluid clear, Thin meconium, Thik Meconium)
การตรวจหาค่า L/S ratio (Lecithin Sphingomyelin Ratio)
การตรวจหาค่า L/S ratio เพื่อดู lung maturity เนื่องจากสาร lecithin
เป็น Phospholipids ทำหน้าที่เป็น surfactant คลุมบริเวณ alveoli
ส่วน sphingomyelin เป็นไขมันในน้ำคร่ำ
สัดส่วนของ L/S จะเท่าๆกัน จนกระทั่ง 30 สัปดาห์ หลังจากนั้น
sphingomyelin จะเริ่มคงที่ ขณะที่ lecithin จะเพิ่มขึ้น surfactant ทำหน้าที่ป้องกันการเกิด collapse ของ alveoli ในขณะที่มีการหายใจออก
ถ้าขาดสาร surfactant นี้จะทำให้เกิด RDS (กลุ่มอาการหายใจลำบาก) ซึ่งมักจะพบในทารกที่คลอดก่อนกำหนด
26 สัปดาห์ แรกของการตั้งครรภ์ ค่า S > L
อายุครรภ์ 26-34 สัปดาห์ ค่า L / S ratio = 1:1
อายุครรภ์ 34-36 สัปดาห์ ค่า L จะเพิ่มมากขึ้นอย่าง
รวดเร็ว แต่ S จะมีปริมาณลดลงเล็กน้อย ทำให้ ratio สูงขึ้น
เปลี่ยนเป็น 2:1
L / S ratio > 2 แสดงว่าปอดทารกสมบูรณ์เต็มที่ โอกาสเกิด
RDS ต่ำ
Shake Test
เป็นการทดสอบความสมบูรณ์ของปอดทารกใน
ครรภ์ โดยใช้หลักการของความสามารถในการคงสภาพของฟองอากาศของสารลดแรงตึงผิวของปอด (Surfactant)
วิธีการทำ
Shake Test
ใช้หลอด 5 หลอด ใส่น้ำคร่ำจำนวน 1 cc , 0.75 cc ,0.5 cc , 0.25 cc และ 0.2 cc
เติม normal saline Solutionในหลอดที่ 2 , 3 , 4 และ 5 ทำให้ส่วนผสมเป็น 1 cc
เติม Ethanol 95 % ทุกหลอดเขย่านาน 15 วินาที ทิ้งไว้นาน 15 นาที
การแปลผล
Shake Test
ถ้าพบว่ามีฟองอากาศเกิดขึ้น 3 หลอดแรกแสดง
ว่าได้ผลบวก ปอดของทารกเจริญเต็มที่
ถ้าพบฟองอากาศ 2 หลอด แรก ได้ผล
intermediate ปอดทารกยังไม่เจริญเต็มที่
ถ้าพบฟองอากาศเพียงหลอดเดียวหรือไม่พบเลย
แสดงว่า ได้ผลลบ แสดงว่าการทดสอบปอด
ทารกยังเจริญไม่เต็มที่
ถ้าได้ลบ ควรตรวจหาค่า L/S ratio ต่อไป เพราะอาจเป็นผลลบลวง false negative แต่ผลบวกลวงพบได้น้อย
Alpha fetoprotein (AFP)
AFP เป็นการตรวจเลือดมารดา ดูค่าโปรตีนที่สร้างมาจากรก ใช้ค่านี้ในการตรวจสอบความผิดปกติของรกและเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับรก (ระยะเวลาในการตรวจ 16-18 wks.)
ค่าปกติ AFP 2.0 – 2.5 MOM (Multiple of median)
ค่า AFP สูงขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่ 15 ของการตั้ง
ครรภ์ แสดงว่าทารกมีความผิดปกติของ open neural tube
Turner Syndrome เป็นภาวะผิดปกติทาง
พันธุกรรมที่พบในเพศหญิง เกิดจากความผิด
ปกติของโครโมโซม X โดยผู้ป่วยภาวะนี้จะมี
โครโมโซม X เพียงตัวเดียว ทำให้ผู้ป่วยมี
ลักษณะเฉพาะ คือ มีรูปร่างเตี้ย คอมีพังผืด และ
ปลายแขนกางออก ทั้งยังส่งผลให้ผู้ป่วยมีรังไข่ที่
ไม่เจริญ ไม่มีประจำเดือน และอาจเกิดภาวะมี
บุตรยาก
anencephaly (ภาวะกะโหลกศีรษะไม่ปิด)
Spinabifida ความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง (spina bifida) ซึ่งมีถุงยื่นผ่านจากกระดูกไขสันหลังออกมา
โรคมัยอีโลเมนิ่งโกซีล (Myelomeningocele) ความผิดปกติใน 2 - 3 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์ ฉะนั้นไขสันหลังจึงเกิดได้ไม่สมบูรณ์และเป็นแผ่นแบนอยู่ที่ผิวของร่างกายล้อมรอบด้วยผิวหนัง ฉะนั้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อขาก็ไม่สมบูรณ์ด้วยทำให้เกิดอัมพาตของขาแต่กำเนิด
ค่า AFP ต่ำ สัมพันธ์กับ Down’ syndrome
Fetoscopy คือ การส่องกล้องดูทารกในครรภ์
หรือเรียกว่า laparo amnioscope สอดเข้าไปในถุง
น้ำคร่ำโดยผ่านผนังหน้าท้องของหญิงตั้งครรภ์ เพื่อดูความผิดปกติของทารก
ขั้นตอนการทำ
Fetoscopy
งดน้ำงดอาหารก่อนทำ 6-8 ชั่วโมง
ตรวจสอบ FHS ก่อนและหลังทำ
ใช้ ultrasound เป็นตัวช่วยในการทำ
ต้องตรวจสอบปริมาณน้ำคร่ำหลังทำ
หลังทำงดการทำงานหนัก 1 – 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจมีอาการปวดท้อง
ภาวะแทรกซ้อน แท้งบุตร 12 % เลือดออกทาง
ช่องคลอด ติดเชื้อน้ำคร่ำรั่วอย่างรุนแรงเลือดแม่
กับเลือดลูกปนกัน
CVS (Chorionic villous sampling) คือ การดูดเอาตัวอย่างของรกเด็กมาตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม สามารถบอกความผิดปกติของโครโมโซม เช่น Down's syndrome และ Anencephaly
ไม่สามารถตรวจพบภาวะเยื่อหุ้มไขสันหลังปิดไม่สนิทที่เรียกว่า Spina Bifida ได้
ทำช่วง 10-13 wks. ไม่ควรทำ ก่อนอายุครรภ์ 10
สัปดาห์ เพราะเพิ่มอัตราการเกิดทารกพิการแบบ
limb reduction defect โดยทั่วไปเกิดเมื่อทำขณะอายุครรภ์ 7 สัปดาห์
cordocentesis
(Percutaneuos umbilical blood sampling or
cordocentesis)
หมายถึง การเจาะดูดเลือดจากหลอดเลือดสาย
สะดือ โดยทั่วไปเจาะจากหลอดเลือดดำ เนื่องจากการเจาะหลอดเลือดแดงจะกระตุ้นให้เกิดหลอดเลือดหดรัดตัว หัวใจทารกเต้นช้าลง
ทำ ช่วงขณะอายุครรภ์ 18 สัปดาห์
Biophysical Assessment
Ultrasound คือ การใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูง
ผ่านผิวหนังเข้าไปเนื้อเยื่อที่ต้องการตรวจ ดูขนาด
ขอบเขต รูปร่าง การเคลื่อนไหวของอวัยวะ
แนวทางการตรวจ ultrasound
ดูจำนวนและการมีชีวิตของทารก
ดูลักษณะและตำแหน่งของรก
ปริมาณน้ำคร่ำ
ประเมินอายุครรภ์และการเจริญเติบโตของทารก
ตรวจ 4- chamber view ของหัวใจทารก
ตรวจลักษณะทางกายวิภาคของทารก
ข้อบ่งชี้ Ultrasound ด้านมารดา
ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรก
ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติ
ตรวจดูตำแหน่งที่รกเกาะ
ตรวจดูภาวะแฝดน้ำ / น้ำคร่ำน้อย
ตรวจในรายสงสัยครรภ์ไข่ปลาอุก
ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์นอกมดลูก
การตั้งครรภ์ที่มีห่วงอนามัยอยู่ด้วย
เพื่อดูความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้องอกที่อุ้งเชิงกราน
ตรวจดูตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนทำ amniocentesis
ข้อบ่งชี้ Ultrasound ด้านทารก
ดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หรือคาด
คะเนอายุครรภ์
ตรวจดูความผิดปกติของทารกในครรภ์
เพื่อวินิจฉัยภาวะทารกตายในครรภ์
เพื่อดู lie position และส่วนนำของทารกใน
ครรภ์
เพื่อตรวจดูการหายใจของทารกในครรภ์ทารก
เจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
เพื่อตรวจดูจำนวนของทารกในครรภ์
การแปลผล Ultrasound
(Gestational Sac : GS) อายุครรภ์ 5 -7 week ถุงที่หุ้มทารกไว้ซึ่งจะเห็น
ได้ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ใช้ยืนยันการตั้งครรภ์ ใช้ในการหาอายุครรภ์ โดยวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของถุงการตั้งครรภ์ ทั้ง 3 แนวคือกว้าง ยาวสูง
(Crown-rump lerght : CRL) อายุครรภ์ 7-14 week คือ ความยาวตั้งแต่
ศีรษะถึงส่วนล่างสุดของกระดูกไขสันหลัง ซึ่งมีค
วามแม่นยำมาก คลาดเคลื่อนเพียง 3 - 7 วัน
Biparietal diameter : BPD เส้นผ่าศูนย์กลางของส่วนที่ยาวที่สุดของศีรษะของทารก เป็นตัววัดที่นิยมมากที่สุด อาศัยจุดสัมพัทธ์ คือ เป็นระดับ BPD ที่กว้างที่สุด การคำนวณจะแม่นยำสุด คือ ช่วง 14 - 26 สัปดาห์ คำนวณอายุครรภ์โดยประมาณ คือ BPD (ซม.) X 4สัปดาห์
(Femur length : FL) วัดจากส่วนหัวกระดูก-ปลายแหลมของปลาย
กระดูก ควรวัด ก่อนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์
(Head cicumference : Hc)
(Abdominal circumference : Ac) วัดยาก ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากมีการ
เปลี่ยนแปลงของหน้าท้องจากสาเหตุบางอย่าง เช่น ทารกโตกว่าอายุครรภ์หรือเล็กว่าอายุครรภ์,ทารกมีตับ หรือม้ามโต
Fetal Biophysical profile (BPP) คือ การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจวัดการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆของทารกที่ถูกกระตุ้นและควบคุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง (Biophysical activity) 4 ตัวแปร (การหายใจ, การเคลื่อนไหว, แรง
ตึงตัวของกล้ามเนื้อ , การเต้นของหัวใจทารก) ร่วม
กับ การวัดปริมาณน้ำคร่ำอีก 1 ตัวแปร
วิธีการตรวจ
เตรียมหญิงตั้งครรภ์ในท่านอน Semi-fowler
ตะแคงซ้ายเล็กน้อย
ใช้ Ultrasound ตรวจวัดข้อมูล 5 ตัวแปรที่ต้องการ
กำหนดค่าคะแนนของแต่ละข้อมูล ข้อละ 2 คะแนน
เมื่อพบว่าปกติให้ 2 คะแนน และให้ 0 คะแนนเมื่อพบว่าผิดปกติ
เกณฑ์ปกติ คะแนน =2
สังเกตนาน 30 นาที
การหายใจของทารกในครรภ์ หายใจต่อเนื่อง
อย่างน้อย 20 วินาที อย่างน้อย 1 ครั้ง
การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ขยับตัวหรือ
เคลื่อนไหวแขนขาอย่างน้อย 2 ครั้ง
แรงตึงตัวของกล้ามเนื้อ เหยียดตัว กางแขนขา
และหดกลับอย่างรวดเร็ว หรือกำและคลายมือ
อย่างน้อย 1 ครั้ง
การเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ NST ได้ผลปกติ
ปริมาณน้ำคร่ำ ตรวจพบโพรงน้ำคร่ำอย่างน้อย
1 แห่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 2 cm.
การแปลผลคะแนน
คะแนน 8-10 คะแนน แสดงว่า ปกติ ไม่มีภาวะ
เสี่ยงควรตรวจซ้ำใน 1 สัปดาห์
คะแนน 6 คะแนน แสดงว่า มีภาวะเสี่ยงต่อการ
ขาดภาวะออกซิเจนเรื้อรังของทารก ควรตรวจ
ซ้ำใน 4-6 ชั่วโมง
คะแนน 4 คะแนน แสดงว่า มีภาวะขาด
ออกซิเจนเรื้อรัง
คะแนน 0-2 คะแนน แสดงว่า มีภาวะขาด
ออกซิเจนเรื้อรังอย่างรุนแรง ควรให้มีการคลอด
โดยเร็ว
วิธีนับลูกดิ้น Count to ten
คือ การนับการดิ้นของทารกในครรภ์ให้ครบ 10 ครั้ง ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงต่อกัน ในท่านอนตะแคง มารดาสามารถเลือกเวลาที่สะดวกตอนไหนก็ได้ หรือเวลาที่ทารกดิ้นเยอะในช่วงเย็นก็ได้โดยไม่จำเป็นทำหลังรับประทานอาหาร ถ้านับลูกดิ้นไม่ถึง 10 ครั้ง แปลผลว่า ผิดปกติ
การประยุกต์วิธีการ Cardiff count to ten
คือ นับจำนวนเด็กดิ้นจนครบ 10 ครั้ง ในเวลา 4
ชั่วโมง ซึ่งนิยมให้นับในช่วงเช้า 8.00-12.00 น. ถ้า
มีความผิดปกติ ในตอนบ่ายให้มาพบแพทย์ทันที
ข้อดี คือถ้ามีปัญหาจะสามารถให้การดูแลได้
ทันท่วงที เพราะถ้านับช่วงใดก็ได้ของวัน ถ้านับ
ตอนกลางคืน ถ้าผิดปกติ บางรายกว่าจะมาพบ
แพทย์ก็เช้าวันรุ่งขึ้น ทารกในครรภ์จะยิ่งอยู่ใน
ภาวะอันตรายสูง
ให้คำแนะนำ “daily fetal movement record (DFMR)” คือ การนับลูกดิ้น 3 เวลาหลังมื้ออาหาร ครั้งละ 1 ชั่วโมง ถ้าน้อยกว่า 3 ครั้งต่อชั่วโมง แปลผลว่าผิดปกติถ้านับต่ออีก 6-12 ชั่วโมงต่อวัน รวมจำนวนครั้ง ที่ดิ้นใน 12 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าน้อยกว่า 10 ครั้ง ถือว่า
ผิดปกติ ทารกมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตในครรภ์
การที่ลูกดิ้นน้อยลง หมายถึง ทารกอยู่ในภาวะอันตราย มีความ
เสี่ยงที่จะเสียชีวิต ดังนั้นถ้ามารดาพบว่า ทารกดิ้น
น้อยลง หรือหยุดดิ้น ให้มาพบแพทย์ทันที และควร
มีการบันทึกการดิ้นของทารกในแต่ละวัน
Electronic fetal monitoring เป็นเครื่องมือทาง Electronic ที่ได้นำมาใช้เพื่อตรวจดูสุขภาพทารกใน
เครื่องมือ
หัวตรวจ มี 2 แบบ คือ
Tocodynamometer หรือ tocometer จะเป็นส่วนที่วางอยู่บนหน้าท้องมารดาบริเวณยอดมดลูกเพื่อประเมินความรุนแรงของการหดรัดตัวของมดลูก
ultrasonic transducer สำหรับฟังอัตราการเต้นของหัวใจทารกจะเป็นส่วนที่วางอยู่บนหน้าท้องบริเวณหัวใจทารก เพื่อประเมินการเต้นของหัวใจและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อมีการหดรัดตัวของมดลูก
การเต้นของหัวใจทารกและคำต่างๆ ที่เป็นสากล
Baseline features (ในช่วงที่มดลูกไม่หดรัดตัว)
อัตราการเต้นของหัวใจทารก
Baseline fetal heart rate ปกติ 110 – 160 ครั้ง/นาที
Tachycardia > 160 ครั้ง/นาที
Bradycardia < 110 ครั้ง/นาที
Variability คือ อัตราการเต้นของหัวใจทารกที่มีการเปลี่ยนแปลง
Absent : ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง
Minimal : มีการเปลี่ยนแปลง 0 ถึง 5 beat /
min
Moderate : มีการเปลี่ยนแปลง 6 ถึง 25 beat/min
Marked : มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 25 beat/min
การที่ variability ลดลงหรือหายไปแสดงถึง บาง
ส่วนของสมองหยุดส่งกะแสไฟฟ้ากระตุ้นการทำงานของหัวใจทารกพบใน
ทารกได้รับยากดประสาทเช่น Pethidine, Morphine, Phenobarb
ทารกหลับ คลอดก่อนกำหนด
ความพิการของหัวใจ หรือศรีษะ เช่น anencephaly
มีภาวะ brain hypoxia
Periodic change มี 2 แบบ
acceleration การเพิ่มขึ้นของ FHR
อายุครรภ์ > 32 สัปดาห์ มากกว่าหรือเท่ากับ 15 bpm นานกว่า 15 วินาที
อายุครรภ์ < 32 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 10 bpm นานกว่า 10 วินาที
deceleration ซึ่งแบ่งเป็น 4 แบบ
Early deceleration การลดลงของ FHR สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก พบได้ตอนท้ายของการเจ็บครรภ์คลอด เชื่อว่าเป็น reflex เกิดจากการที่ศรีษะทารกถูกกด
Late deceleration การลดลงของ FHR ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัว
ของมดลูกการลดลง ถือเป็นความผิดปกติ เชื่อว่าเกิดจากทารก hypoxia
Variable deceleration การลดลงของ FHR โดยอาจจะสัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูกหรือไม่ก็ได้ ไม่นานเกิน 2 นาที เกิดจากสายสะดือถูกกด พบใน prolapse cord หรือ น้ำคร่ำน้อย
Prolonged deceleration การลดลงของ FHR นานอย่างน้อย 2 นาที แต่ไม่ถึง 10 นาที การแก้ไข : ตรวจสอบหาการพลัดต่ำของสายสะดือ
หลักการดูแลทารกที่มีการเต้นของ
หัวใจผิดปกติ
เพิ่ม uterine blood flow โดยการจัดท่ามารดา ให้
สารน้ำทางเส้นเลือด ช่วยลดความกังวลใจให้กับมารดา
เพิ่ม umbilical circulationโดยการจัดท่ามารดา การ
ตรวจภายในดันส่วนนำของทารกเพื่อลดการกดสายสะดือถ้าเกิดภาวะสายสะดือย้อย
เพิ่ม oxygen saturation โดยการจัดท่ามารดา
ให้ออกซิเจนแก่มารดา และสอนวิธีการหายใจที่ถูก
ต้องในระหว่างเจ็บครรภ์คลอด
ลด uterine activity โดยปรับเปลี่ยนการให้ยาที่
เหมาะสม จัดท่ามารดาให้สารน้ำทางเส้นเลือด และ
สอนวิธีการการเบ่งคลอดที่ถูกต้อง
แนวทางการดูแลรักษา
ทารกมีปัญหาการเต้นหัวใจที่ผิด
ปกติในระหว่างเจ็บครรภ์
จัดท่ามารดา โดยทั่วไปนิยมให้มารดานอนใน
ท่าตะแคงซ้าย
แก้ไขเมื่อมีภาวะ uterine hyperstimulation
หยุดการให้ยา oxytocin
ให้ออกซิเจนแก่มารดาผ่านทางหน้ากากใน
อัตรา 8-10 ลิตร/นาที
ทำการประเมินการเต้นของหัวใจทารกตลอดเวลา
Non-Stress Test (NST)
ตั้งครรภ์เกินกำหนด( post term)
ทารกเติบโตช้าในครรภ์ (intra uterine growth
retardation)
มารดาเป็นเบาหวาน
มารดามีประวัติความดันโลหิตสูง
มารดาเป็นโรคโลหิตจางหรือมีฮีโมโกลบินผิด
ปกติ
มารดามีอายุมากกว่า 35 ปี
ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
การแปลผล (NST)
Reactive หมายถึง
คือ มี acceleration (การเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 15 ครั้ง/นาที และคงอยู่นานอย่างน้อย 15 วินาที เมื่อทารกเคลื่อนไหว โดยบันทึกการตอบสนองดังกล่าวได้อย่างน้อย 2 ครั้ง ภายใน 20 นาที)
มี baseline FHS ระหว่าง 120-160 ครั้ง/นาที
มี long term variability ที่ปกติ (6-25 bpm.)
ไม่มี deceleration ของการเต้นของหัวใจทารก
Non-reactive
คือ ผลที่ได้จากการทดสอบไม่ครบตามข้อกำหนดของ reactive NST ในระยะเวลาของการทดสอบนาน 40 นาที
Suspicious หมายถึง มีการเพิ่มของอัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 2 ครั้งหรืออัตราการเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 15 ครั้ง/นาที และอยู่สั้นกว่า 15 วินาที เมื่อมีทารกดิ้น แต่กราฟที่ได้ต้องมี long termvariability ที่ดี
Uninterpretable หมายถึง คุณภาพของการทดสอบไม่สามารถแปลผลได้ตามข้อกำหนด ควรทำการทดสอบซ้ำภายใน 24-48 ชั่วโมง
การพยาบาลหลังการตรวจ
Non-Stress Test (NST)
รายงานผลการตรวจให้แพทย์และผู้รับบริการ
ทราบในกรณีที่ไม่แน่ใจผลการตรวจควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง
ผล reactive ควรนัดหญิงตั้งครรภ์มาตรวจซ้ำอีก
สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้าผลเป็น non- reactive ก็ควรทำซ้ำ
ถ้าผลการตรวจเป็น suspicious ควรตรวจซ้ำภายใน 24 ชั่วโมงหลังตรวจหรือแนะนำการตรวจ (contraction stress test : CST ) ติดตามสภาพทารกในครรภ์
Contraction Stress test ; CST การทดสอบดูการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจทารก ในครรภ์ขณะที่มดลูกหดรัดตัว
เพื่อคัดกรองหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูงว่ามี
เลือดไปเลี้ยงมดลูกและรกพอหรือไม่ ก่อนจะเจ็บ
ครรภ์คลอด และถ้าให้ตั้งครรภ์ต่อไปทารกจะทนต่อการหดตัวของมดลูก เมื่อเจ็บครรภ์คลอดได้หรือไม่
การติดตามผล CST
Negative : ทารกอยู่ในสภาพปกติ แนะนำนับลูก
ดิ้นและตรวจซ้ำใน 1 สัปดาห์
Positive : ทารกอยู่ในสภาพพร่องออกซิเจนช่วยเหลือโดย Intrauterine resuscitation และ หยุด Oxytocin ทันที หลังจากนั้น 15-30 นาทีให้ทำ CST ซ้ำ ถ้าผล Positive อีกครั้งควรสิ้นสุดการตั้งครรภ์
Uteroplacental insufficiency ปกติทารกจะสามารถปรับตัวได้แสดงออกโดยมีการเปลี่ยนแปลง FHR pattern ไม่เกิด latedeceleration
ถ้ามีภาวะ Uteroplacental insufficiency ทารกอยู่ในภาวะไม่ปลอดภัย FHR pattern เกิดlate deceleration ขึ้น
การแปลผล
Negative : มี UC 3 ครั้งใน10 นาที โดยไม่มี late
deceleration
Positive : พบ late deceleration ทุกครั้งในระยะ
ช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูก
Suspicious : มี late deceleration แต่ไม่เกิดขึ้นทุกครั้งของการหดรัดตัวของมดลูก หรือมีการลดลงของ FHS ในช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูกร่วมกับมดลูกหดรัดตัวถี่มากเกินไป
Unsatisfactory : เส้นกราฟไม่มีคุณภาพเพียงพอ
หรือ UC ไม่ดีพอ