Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดพื้นฐานในการบำบัดรักษาทางจิตเวช - Coggle Diagram
แนวคิดพื้นฐานในการบำบัดรักษาทางจิตเวช
1.การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด (Therapeutic use of self)
มีเป้าหมายเพื่อ
ให้การช่วยเหลือและแก้ไขให้ผู้ป่วยมีความคิดและการกระทำที่เหมาะสมและกลับมาอยู่ในขอบเขตของความเป็นจริง
พยาบาลจิตเวชจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญเพราะต้องมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ป่วยเกือบตลอดเวลาในทุกกิจกรรม
สิ่งสำคัญที่สุดที่พยาบาลจิตเวชต้องใช้ในการให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยคือ “ ตนเอง (self)”
พยาบาลจิตเวชต้องใช้“ ตนเอง” เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้ป่วย
ช่วยให้ผู้ป่วยเกิดการตระหนักในตนเองยอมรับตนเอง เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดความรู้สึกและพฤติกรรม
มีการเผชิญปัญหาที่เหมาะสมสามารถสร้างและดำรงสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้
“ความเป็นตนเอง” ของพยาบาลจิตเวชจึงเป็นปัจจัยส าคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยให้บรรลุเป้าหมาย
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
เป็นความสามารถในการใช้บุคลิกภาพและความเป็นตัวตนของบุคคลอย่างมีสติ
มีความตระหนักในตนเอง (self awareness)
เข้าใจตนเอง (Self understanding)
พยาบาลต้องเข้าใจในมโนมติพื้นฐาน 3 ประการคือ
อัตมโนทัศน์ (self concept)
อาจจะตรงกับความเป็นจริงหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
แบ่งอัตมโนทัศน์หรือตัวตนออกเป็น 2 ด้านดังนี้
2.2 ตัวตนส่วนบุคคล (personal self)
อัตมโนทัศน์ส่วนบุคคลแบ่งออกเป็น 4 ด้าน
2.2.1 ตัวตนด้านศีลธรรมจรรยา (moral-ethical self)
2.2.2 ตัวตนด้านความสม่ำเสมอแห่งตน (self-consistency)
2.2.3ตัวตนด้านปณิธานหรือความคาดหวัง (ideal self or self expectation)
2.2.4 ตัวตนด้านการยอมรับนับถือตนเอง (self esteem)
2.1 ตัวตนด้านร่างกาย (physical self)
ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self awareness)
เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกตัวของตนเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ณ ขณะนั้นรู้ว่าตนเองเป็นใคร คิดและรู้สึกอย่างไรกำลังทำอะไรอยู่
ในปัจจุบันขณะเป็น
ประกอบด้วย
3.1การตระหนักรู้ในตนเองในฐานะบุคคล เพราะบุคคลมีความแตกต่างกัน มีลักษณะเฉพาะตนเอง
ความรู้สึก
เจตคติ
ความคิด
ความต้องการที่แตกต่างกัน
3.2การตระหนักรู้ในฐานะวิชาชีพ
ทัศนคติต่อวิชาชีพ
ความรู้และทักษะทางการพยาบาลจิตเวช
ระดับความจริงใจและความทุ่มเทในวิชาชีพ
ความสำคัญในการใช้การตระหนักรู้ในตนเองเพื่อการบำบัดทางจิต
สัมพันธภาพระหว่างเพื่อร่วมวิชาชีพ
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดในการพยาบาลสุขภาพจิตนั้น
แนวทางในการเพิ่มการตระหนักรู้ตนเองไว้ดังนี้
รับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น โดยการที่ตัวเราต้องเปิดใจกว้าง ที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่เขาวิเคราะห์ วิจารณ์ พฤติกรรมของเราในสถานการณ์ต่าง ๆ
การเปิดเผยตนเอง โดยการบอกความรู้สึก ความต้องการของตนเองที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในด้านความคิดเห็น ค่านิยม ความเชื่อ และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้อื่นรู้จักตัวเรามากขึ้น
1.เพื่อพิจารณาตนเอง โดยการให้เวลาตนเอง ในการพิจารณาความคิด อารมณ์และพฤติกรรมของตนเองที่อาจมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้อื่น
ประโยชน์ที่ได้จากการตระหนักรู้ตนเอง (Self – awareness)
ทำให้ติดต่อกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรู้ตัวอยู่ทุกขณะในการทำงาน
ทำให้ทราบถึงความคิดความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติและพฤติกรรมต่องานที่ทำขณะนั้น
ทำให้เป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน และดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
สามารถปรับตัวให้เข้ากับงาน คน สิ่งแวดล้อมได้
อัตตาหรือความเป็นตัวตนของตนเอง (self)
การรู้จักตนเองของพยาบาลจะทำให้พยาบาลสามารถเข้าใจผู้อื่นได้ ดังนั้นพยาบาลจิตเวชต้องใช้ตนเองเป็นเครื่องมือในการบำบัดผู้ป่วย ( Therapeutic use of self)
คุณสมบัติที่จำเป็นในการใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด
การสื่อสารเพื่อการบำบัดสำหรับพยาบาลจิตเวช
พยาบาลจควรมีคุณสมบัติที่จำเป็นในการใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
5.ความจริงใจ (Genuine)
6.ความสอดคล้อง (Congruency)
4.เข้าใจความรู้สึก (Empathy)
7.ความอดทน (Endurance)
ท่าทีอบอุ่น (Warmth)
8.ให้ความเคารพ (Respect)
ให้การยอมรับ (Unconditioning positive regard)
9.เชื่อถือได้ (Trustworthiness)
ไม่ตัดสินผู้อื่น (Nonjudgmental)
10.การเปิดเผยตัวเอง (Self-disclosure)
บุคคลทุกคนมีคุณค่า (Positive regard)
11.มีความรู้ (Knowledge)
12.มีความสม่ำเสมอ (Consistency)
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด (therapeutic relationship)
สัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วย (Nurse – Patient Relationship)
หมายถึง
บุคคลสองคนคือ พยาบาลและผู้ป่วยได้มีการติดต่อเกี่ยวข้องกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งระยะเวลาของการติดต่อเกี่ยวข้องนี้พยาบาลมี บทบาทในการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยหรือผู้ใช้รับบริการให้ได้รับการตอบสนองความต้องการ
ช่วยแก้ปัญหาและช่วยให้ฟื้นจากความเจ็บป่วยทางจิตด้วยความรู้ความสามารถของพยาบาล
เป้าหมายในการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดเพื่อให้ผู้ป่วย
ตระหนักในตนเอง ยอมรับตนเอง และเพิ่มความนับถือตนเองให้มากขึ้น
รู้จักตนเองดีขึ้น และปรับปรุงตัวเองด้านความคิดและการแสดงออก
มีความสามารถที่จะสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้อื่น พึ่งพาผู้อื่นพอควร มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น โดยสามารถเป็นผู้ให้และผู้รับ
ปรับปรุงการกระทําหน้าที่ในการดํารงชีวิต และเพิ่มความสามารถที่จะทําตามความต้องการและความจําเป็นต่าง ๆ ให้ได้รับความพึงพอใจและบรรลุเป้าหมายที่เป็นจริง
ให้โอกาสผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกไม่สบายใจ ทําให้ผู้ป่วยเข้าใจปัญหาของตนเอง และเกิดการเรียนรู้ในการปฏิบัติตนที่เหมาะสมได้
ความแตกต่างระหว่างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดกับสัมพันธภาพเพื่อสังคม
สัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
การวางแผน
พยาบาลต้องวางแผนก่อนไปพบผู้ปุวยเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย
เป้าหมายในการสร้างสัมพันธภาพ
เพื่อให้ผู้ปุวยสามารถ
2.1 ระบายความรู้สึกไม่สบายใจ
2.2 เข้าใจปัญหาและยอมรับปัญหาของตนเองตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้
2.3 สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ รู้จักพึ่งตนเองในขณะเดียวกันก็สามารถพึ่งพาคนอื่นได้
2.4 ให้ความรักและรับความรักจากผู้อื่น
2.5 เรียนรู้ในการปฏิบัติตนที่เหมาะสม
เนื้อหาในการสนทนา
เน้นเรื่องของความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของผู้ปุวย
ระยะเวลาในการสร้างสัมพันธภาพ
มีการเริ่มต้นสัมพันธภาพและมีการสิ้นสุดสัมพันธภาพเมื่อผู้ป่วยจําหน่ายกลับบ้านหรือขึ้นอยู่กับความสําเร็จของเป้าหมายที่ได้วางไว้
สัมพันธภาพเพื่อสังคม
การวางแผน
มีการวางแผนหรือไม่มีก็ได้
เป้าหมายในการสร้างสัมพันธภาพ
เพื่อให้เกิดความพอใจซึ่งกันและกัน
เนื้อหาในการสนทนา
ตามความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
ระยะเวลาในการสร้างสัมพันธภาพ
มีการเริ่มต้น จะมีการสิ้นสุดสัมพันธภาพหรือไม่มีก็แล้วแต่ความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
ระยะการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด (Phase of therapeutic relationship)
โดยแบ่งเป็น 4 ระยะดังนี้
ระยะเริ่มสนทนา (Initiation or orienting phase)
สิ่งที่พยาบาลควรปฏิบัติในระยะนี้
เมื่อพบหน้ากันควรกล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร พูดคุยเรื่องทั่วไปก่อน แนะนําตัว
กําหนดข้อตกลงในการสร้างสัมพันธภาพ
การเตรียมสถานที่และบรรยากาศให้น่าไว้วางใจ
สร้างความไว้วางใจ โดยเคารพแสดงถึงการยอมรับ ความเข้าใจการเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ป่วย ความสม่ำเสมอ ไวต่อความรู้สึก การรับฟัง ทั้งคําพูดและการกระทํา
การค้นหา หรือระบุปัญหาที่แท้จริง
ปัญหาที่พบในระยะนี้ได้แก่
ความวิตกกังวล (Anxiety)
การทดสอบ (Testing)
การต่อต้าน (Resistance)
ระยะแก้ไขปัญหา (Working phase)
สิ่งที่พยาบาลควรปฏิบัติในระยะนี้
ประเมินการเจ็บป่วยว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้างกับชีวิต
ร่วมกับผู้ป่วยในการวิเคราะห์หาสาเหตุ และกลไกของปัญหาต่าง ๆ วิธีแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงพฤติกรรมให้เหมาะสม
ค้นหาสาเหตุปัญหา หรือสิ่งที่มากระทบการดําเนินชีวิต โดยให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และพยาบาลต้องรับฟัง ยอมรับ เข้าใจ และติดตามเรื่องราวต่างของผู้ป่วย
สนับสนุนด้านจิตใจ เช่น การให้เวลา ให้กําลังใจ ให้ข้อมูล
รักษาสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
ข้อบ่งชี้ที่ทําให้พยาบาลทราบว่า สัมพันธภาพเข้าสู่ระยะแก้ไขปัญหาแล้วเช่น
ผู้ป่วยจะเลิกถามถึงวัตถุประสงค์ที่พยาบาลพบเขา
ผู้ป่วยจะมาตรงตามเวลานัดหรือ มาคอยพยาบาลในทีนัดหมาย
ผู้ป่วยจะรักษาเวลา จะพยายามรวบรัดเรื่องราวให้จบภายในเวลาที่พยาบาลให้
ผู้ป่วยจะพูดถึงปัญหา และความยุ่งยากของเขา พูดออกนอกเรื่องน้อยมาก
ผู้ป่วยจะพูดเชื่อมโยงเหตุการณ์ในครั้งก่อน ๆ กับเหตุการณ์ในครั้งหลังๆ
ผู้ป่วยจะแจ้งให้พยาบาลทราบ ถ้าเขามีเหตุขัดข้องมาพบพยาบาลไม่ได้
ปัญหาที่พบในระยะนี้
มีความรู้สึกร่วมกับผู้ป่วย(Sympathy)เป็นความรู้สึกที่พยาบาลเข้าไปร่วมกับความรู้สึกของผู้ป่วยโดยที่พยาบาลแยกความรู้สึกของตนเองไม่ได้
การถ่ายโยงความรู้สึกของผู้ป่วยไปสู่พยาบาล (Transference)ปฏิกิริยาและความรู้สึกทุกชนิดที่ผู้ป่วยมีต่อพยาบาล
1.ความวิตกกังวลของพยาบาล
การถ่ายโยงความรู้สึกของพยาบาลไปสู่ผู้ป่วย (Counter transference)ซึ่งก็คล้ายกับTransferenceที่อาจจะเป็นได้ทั้งด้านบวก เช่น รักห่วงใย สงสาร หรือด้านลบ เช่น หมั่นไส้ เกลียดชัง เบื่อหน่าย
ระยะก่อนการสนทนา (Preinteracting phase)
1.2 วางแผนการสนทนาในแต่ละครั้งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การสนทนา สถานที่ เวลา และให้ข้อมูลต่าง ๆ กับทีมผู้รักษาได้ร่วมรับรู้
1.3 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วยเกี่ยวกับแผนการรักษาที่ผ่านมา ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นและภูมิหลังบางประการ เช่น อาชีพ สถานภาพการสมรส
1.1 เตรียมตัวให้ชัดเจนในด้านเป้าหมายของการสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
1.4 พยาบาลควรตรวจสอบสภาพด้านร่างกายและจิตใจของตนเองให้มีความพร้อมในด้านแนวความคิดและความรู้สึกในการเข้าไปสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
ปัญหาที่พบในระยะนี้พยาบาลมีความกังวลเนื้อจากขาดทักษะการสร้างสัมพันธภาพ
ระยะยุติสัมพันธภาพ (Terminating phase)
การยุติสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดมีขั้นตอนดังนี้
สําหรับพยาบาลควรสรุปในส่วนที่ได้ร่วมแก้ปัญหากับผู้ป่วยโดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวผู้ป่วย
ประเมินปฏิกิริยาของผู้ป่วยในระยะยุติสัมพันธภาพและให้เวลาผู้ป่วยได้บอกความรู้สึก
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการสร้างสัมพันธภาพ
ยุติหรือสิ้นสุดสัมพันธภาพในรูปแบบของวิชาชีพ โดยบอกผู้ป่วยให้ชัดเจนและเตรียมผู้ป่วยให้สามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
การเตรียมผู้ป่วย
1.1ในกรณีที่ผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลแต่ต้องยุติสัมพันธภาพ เพราะนักศึกษาหมดระยะเวลาในการฝึกปฏิบัติงาน หรือพยาบาลย้ายไปอยู่ตึกอื่น ควรทําดังนี้
1.1.3 บอกถึงประโยชน์ที่นักศึกษาได้รับจากการสนทนากับผู้ป่วย และประเมินถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับจากการสนทนากับนักศึกษาพยาบาล
1.1.4 ประเมินความรู้สึกของผู้ป่วยต่อการยุติสัมพันธภาพ
1.1.2 บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าอาการอะไรที่ดีขึ้นของผู้ป่วยว่ามีอะไรบ้าง รวมทั้งอาการที่ยังต้องแก้ไข
1.1.5 บอกแหล่งที่ผู้ป่วยสามารถขอความช่วยเหลือได้
1.1.1 ควรบอกให้ผู้ป่วยทราบ ถึงระยะเวลาที่นักศึกษาจะยุติสัมพันธภาพกับผู้ป่วยล่วงหน้า
1.2ในกรณีที่ผู้ป่วยกลับบ้าน ควรมีการเตรียมตัวผู้ป่วยกลับบ้านดังนี้
1.2.1 บอกถึงอาการของผู้ป่วยที่ดีขึ้น และอาการของผู้ป่วยที่ต้องแก้ไข
1.2.2 แนะนําข้อปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ
ปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพ (Reaction to termination)
ด้านพยาบาลจะเกิดความรู้สึกเศร้า
ด้านผู้ป่วยจะมีปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพกับพยาบาลดังนี้
2.1 ไม่ยอมรับการยุติสัมพันธภาพ (Denial)
2.2ไม่ยอมรับในตัวพยาบาล (Reject)
2.3 โกรธและไม่เป็นมิตร (Anger and hostility)
2.4 มีพฤติกรรมถดถอย (Regression)อาจมีการป่วยมากขึ้น
2.5 มีความรู้สึกเศร้า(grief)
ปัญหาการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดและวิธีการแก้ไข
11.ผู้ป่วยเรียกชื่อพยาบาลโดยชื่อเฉย ๆ
ไม่ตอบโต้ผู้ป่วย ให้นิ่งและสงบ
อภิปรายเหตุผลกับผู้ป่วยในการกระทําเช่นนั้น
อภิปรายกับผู้ป่วยเรื่องควา มแตกต่างความสัมพันธ์ในสังคมกับสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
10.ผู้ป่วยซักไซ้เรื่องส่วนตัวของพยาบาล
ตอบคําถามอย่างสั้น ๆ เฉพาะที่เป็นความจริงและเป็นข้อมูลทั่วไป
สนทนาเพื่อความสืบค้นในความต้องการซักไซ้ในข้อมูลส่วนตัวของพยาบาล
ผู้ป่วยต้องการอ่านข้อความที่บันทึก
อนุญาตให้อ่านได้
ผู้ป่วยตั้งคําถามว่าจะมีใครอ่านบันทึกที่พยาบาลบันทึกเกี่ยวกับตนบ้าง
อธิบายให้ชัดเจนว่าจะมีใครบ้างที่จะอ่านข้อมูลเหล่านี้
อภิปรายย้ำเรื่องข้อตกลงที่ได้เคยสนทนากันมาก่อน
ผู้ป่วยปฏิเสธไม่ยอมให้พยาบาลจดบันทึกข้อมูลการสนทนา
อธิบายความจําเป็นของการจดบันทึก และเหตุผลที่ต้องจด
คุยย้ำเรื่องการเก็บข้อมูลทุกอย่างเป็นความลับ
พยาบาลต้องฟังการปฏิเสธอย่างสงบ
ข้อมูลสําคัญยังคงต้องบันทึกต่อไป
หลังจากอธิบายและสนทนาร่วมกันแล้วผู้ป่วยยังไม่ยินยอมให้บันทึก
บุคลากรอื่น ๆ ต้องการจะอ่านข้อมูลโดยละเอียดที่บันทึกไว้
ปฏิเสธการให้ดูข้อมูลรายละเอียดที่ได้บันทึกไว้โดยละม่อม
อธิบายให้บุคลากรเหล่านั้นได้ทราบถึงการที่ได้สัญญากับผู้ป่วยเรื่องจะต้องเก็บไว้เป็นความลับ
อธิบายให้ทราบถึงผลการคืบหน้าของผู้ป่วย
ผู้ป่วยลุกออกไปจากการสนทนาอย่างกะทันหัน
หากว่าผู้ป่วยกําลังเดินออกไป พยาบาลบอกผู้ป่วยต่อไปเลยว่า“ดิฉันจะนั่งรอคุณอยู่ที่นี่จนกระทั่งเวลา........”(ตามกําหนดของเวลานัดในครั้งนั้น)
พยาบาลนั่งรอในห้องนั้น
ถามว่า “คุณกําลังจะไปไหน”
รอการกลับของผู้ป่วยในห้องอย่างสงบ และไม่ออกไปจากที่นั้น
15.ผู้ป่วยบอกพยาบาลไม่ให้เข้าใกล้
ให้ประเมินระดับความไม่เป็นมิตร(hostility) ของผู้ป่วย
พิจารณาจากข้อมูลที่ประเมินได้ และปฏิบัติตามที่เห็นว่าเหมาะสม
ให้ฟังอย่างสงบ
ผู้ป่วยขอให้การสนทนาจบเร็ว ๆ กว่าเวลาที่กําหนดไว้ หรือขอเปลี่ยนกําหนดการนัด
สํารวจความต้องการที่ขอเช่นนั้น
ปฐมนิเทศใหม่ถึงเรื่องเวลากําหนดการนัดตามที่ได้ตกลงกันไว้ในตอนแรก
กําหนดการนัดหมายใหม่ตามความเหมาะสมของทั้งสองฝ่าย
12.พยาบาลใหม่เรียกผู้ป่วยโดยเรียกชื่อเฉย ๆ
อธิบายเรื่องสิ่งที่ควรปฏิบัติในสถาบันบริการ และข้อควรปฏิบัติตามที่ได้ปฏิบัติกันมา
อภิปรายเหตุและผลที่กระทําเช่นนั้น
อภิปรายกับพยาบาลเรื่องความแตกต่างระหว่างสัมพันธภาพทางสังคมกับสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
อภิปรายผลกระทบต่อความรู้สึกมีคุณค่า และการยอมรับนับถือต่อผู้ป่วย
พยาบาลเองเป็นฝ่ายมาช้ากว่าเวลานัดหรือต้องของเปลี่ยนเวลานัด
ขอโทษ และให้เหตุผล
นัดหมายใหม่ให้เหมาะสม
ให้แจ้งผู้ป่วยโดยตรง
13.ผู้ป่วยไม่ต้องการพูดคุย
สังเกต กิริยา ท่าทาง และการสื่อความหมายที่ไม่ใช้วาจาจากผู้ป่วย
ใช้คําถามทางอ้อม แต่เป็นคําถามปลายเปิดที่เปิดช่องให้ผู้ป่วยได้ตอบ
มองผู้ป่วยโดยความสนใจและด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร
กล่าวย้ำเรื่องเวลาที่เหลืออยู่ในระยะเวลานัดหมายในครั้งนี้
นั่งเงียบ ๆ ด้วยความสงบ
14.ผู้ป่วยกล่าวว่ า “ฉันไม่มีอะไรจะพูด”หรือ “ฉันไม่รู้”
นั่งฟังอย่างสงบ รอดูท่าทีผู้ป่วยด้วยความอดทน
ลองประเมินความรู้สึกของพยาบาลเองดูเมื่อได้ฟังคําพูดในลักษณะนี้จากผู้ป่วย
ลองตั้งคําถามใหม่
สืบค้นความสนใจ และปัญหาของผู้ป่วยต่อไป
เปลี่ยนวิธีเริ่มต้นการสนทนาใหม่
16.พยาบาลเองตอบโต้กับผู้ป่วยในขณะสนทนาด้วยคําพูดซ้ำ ๆ
เผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธจากผู้ป่วย
เผชิญหน้ากับการที่ผู้ป่วยอาจโกรธเรา
ลองหาคําตอบโต้อย่างอื่น
เผชิญหน้ากับการที่ผู้ป่วยอาจจะปฏิเสธไม่พบเรา
ดีแล้ว ที่ตระหนัก อย่าเพิ่งหมดกําลังใจพยายามต่อไป
ให้ทบทวนข้อมูลที่ได้จดบันทึกไว้ และวิเคราะห์โดยละเอียดเพื่อค้นหา
ฝึกให้ตนเองเป็นคนไวต่อการตอบโต้ที่ผิดพลาดและเรียนรู้
ปรึกษาหัวหน้าผู้ตรวจการ พยาบาลอาวุโสกว่า หรือบุคลากรในทีม
ผู้ป่วยมาพบตามนัด แต่มาช้าเป็นประจํา
พิจารณาว่าผู้ป่วยรู้จักเวลาหรือไม่
คุยเตือนกับผู้ป่วยเรื่องเวลานัดที่เคยตกลงไว้ว่าเริ่มเวลาเท่าใด และเลิกเวลาเท่าใด
พยาบาลไปให้ตรงเวลา และรอผู้ป่วย ณ สถานที่นัดอย่างสงบ
พูดคุยกับผู้ป่วยเรื่องเหตุผลที่มาพบช้ากว่าเวลานัด
จบการสนทนาตามเวลาที่ได้กําหนดไว้
ผู้ป่วยไม่มาตามนัด
วิธีแก้ไข
นัดหมายใหม่ อาจต้องจัดเวลาและสถานที่ใหม่
เตือนผู้ป่วยล่วงหน้าก่อนถึงวันนัด
ตามหาผู้ป่วย
จดวัน เวลานัดให้ผู้ป่วยในใบนัด
17.คําถามของพยาบาลทําให้ผู้ป่วยไม่พอใจ
ยกประเด็นขึ้นมาให้ชัดเจนอีกครั้ง
ช่วยผู้ป่วยให้ระลึกถึงประเด็นว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อการคลี่คลายปัญหาของผู้ป่วย
อย่าเปลี่ยนเรื่อง ให้มุ่งการสนทนาที่ประเด็นดังกล่าวนั้น
พยาบาลพยายามแยกแยะปัญหาจากข้อมูลให้ละเอียด
ไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจ แสดงว่าคําถามจะต้องไปกระทบความรู้สึกบางอย่างของผู้ป่วย
การสื่อสารเพื่อการบําบัด (Therapeutic Communication)
องค์ประกอบที่มีผลต่อการสื่อสารเพื่อการบําบัด
ท่านั่ง (seating)
ระยะห่างระหว่างพยาบาลกับผู้ปุวย (space)
สถานที่ (place or setting)
เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบําบัด
เทคนิคการกระตุ้นและส่งเสริมการสนทนา
เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ปุวยพูดระบายความคิดความรู้สึก
เทคนิคการส่งเสริมให้ผู้ปุวยรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
เทคนิคที่ช่วยพยาบาลกับผู้ปุวยเข้าใจให้ตรงกัน
เทคนิคช่วยส่งเสริมความเข้าใจในการปรับตัวผู้ปุวย
เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบําบัด
เทคนิคการกระตุ้นและส่งเสริมการสนทนา
1.Using broad opening Statement
การใช้คําพูดกว้างๆโดยใช้คําถามง่ายๆเปิดโอกาสให้ผู้ปุวยเลือกหัวข้อในการสนทนา ผู้ปุวยอาจพูดในสิ่งที่กังวลใจ
วัตถุประสงค์
พยาบาลพร้อมและเต็มใจช่วยเหลือ
2.Using general lead
การใช้คําพูด หรือแสดงออกว่าพยาบาลกําลังฟัง สนใจในสิ่งที่ผู้ป่วย พูดและอยากให้เขาพูดต่อ
วัตถุประสงค์
เข้าใจสิ่งที่ผู้ป่วยพูดและต้องการให้พูดต่อ
3.Restating
เป็นการพูดทวนเนื้อหาหรือใจความสําคัญในสิ่งที่ผู้รับบริการพูด
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยได้ ทบทวนความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดอีกครั้งหนึ่ง
4.Questioning
การตั้งคําถามทั่วไปเพื่อเปิดประเด็นการสนทนาและรวบรวมข้อมูล
วัตถุประสงค์
กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้สนทนามากขึ้น
เทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดระบายความคิดความรู้สึก
6.Reflecting (content/feel)
กล่าวซ้ำสะท้อนความคิดความรู้สึกโดยใช้คําพูดใหม่ที่มีความหมายและความรู้สึกเดิม
วัตถุประสงค์
ทบทวนใหม่ และให้พูดต่อไป
7.Accepting / listening
การยอมรับผู้รับบริการและสิ่งที่ผู้รับบริการพูด
วัตถุประสงค์
การยอมรับและเข้าใจสิ่งที่ผู้ป่วยพูด
8.Sharing observation
การบอกในสิ่งที่พยาบาลสังเกตเห็นเกี่ยวกับตัวผู้รับบริการให้ผู้รับบริการทราบ
วัตถุประสงค์
แสดงว่า พยาบาลใส่ใจ/สนใจผู้ป่วย
9.Using silence
ผู้ป่วยคิดไตร่ตรองและพูดความรู้สึกตนเองพยาบาลจะสังเกตพฤติกรรมผู้ป่วย
วัตถุประสงค์
การใช้ความเงียบ
10.Giving information
การให้ข้อมูลที่เป็นจริง
วัตถุประสงค์
ให้ข้อมูลในสิ่งที่ผู้ป่วยต้องรู้ช่วยผู้ป่วยในการตัดสินใจเลือก
11.Presenting reality
เป็นการให้ความจริงแก่ผู้ป่วยในกรณีที่ผู้ป่วยมีความคิดหรือการรับรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริง
วัตถุประสงค์
ชี้ให้ผู้ป่วยเห็นถึงสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน
เทคนิคการส่งเสริมให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
13.Listening
การฟัง
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยรู้สึกมีความสําคัญที่มีคนมารับฟัง
Offering self
เป็นการเสนอตนเองเพื่อรับฟังปัญหา
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยรู้สึกมีค่าและมีกําลังใจ
12.Giving recognition
แสดงความจําและระลึกได้
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยภูมิใจว่าพยาบาลให้สนใจตนเอง
positive reinforcement
การให้แรงเสริมทางบวก
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วยรู้ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกเหมาะสม
เทคนิคที่ช่วยพยาบาลกับผู้ป่วยเข้าใจให้ตรงกัน
17.Verbalization implied thought and feeling
ผู้ป่วยตระหนักถึงความรู้สึกตนเองในเมื่อผู้ป่วยพูดเป็นนัยๆให้พยาบาลเข้าใจเอง
วัตถุประสงค์
บอกถึงความคิด ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ลึก ๆในคําพูดที่ผู้ป่วยพูดเป็นนัย ๆ
18.Validating
การตรวจสอบความรู้สึกของผู้ป่วย
วัตถุประสงค์
เมื่อพยาบาลเข้าใจความต้องการของผู้ป่วยได้รับการตอบสนองแล้วก็ตรวจสอบว่าเป็นดังที่พยาบาลเข้าใจหรือไม่
16.Clarifying
เป็นการขอคําอธิบายเพิ่มเติม
วัตถุประสงค์
พยาบาลเข้าใจเรื่องราวของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง
เทคนิคช่วยส่งเสริมความเข้าใจในการปรับตัวผู้ป่วย
21.Encouraging evaluation
การขอให้ผู้ป่วยประเมินประสบการณ์
วัตถุประสงค์
การให้ผู้ป่วยประเมินประสบการณ์
22.Encouraging formulation of a plan of action
การสนับสนุนให้ผู้ป่วยวางแผนในอนาคต
วัตถุประสงค์
การเตรียมผู้ป่วยให้วางแผนเลือกพฤติกรรมที่เหมาะสม
20.Focusing
มุ่งความสนใจให้อยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
วัตถุประสงค์
ดึงความสนใจของผู้ป่วยมาสู่ประเด็นที่พยาบาลต้องการ
23.Summarizing
การสรุปเนื้อหา ด้วยคําพูดสั้นๆเพื่อให้ได้ใจความทั้งหมด
วัตถุประสงค์
เพื่อสรุปใจความสําคัญและให้ผู้ป่วยได้ยินเรื่องที่พูดคุยกันมาอีกครั้ง
19.Exploring
เป็นการสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูล/ปัญหา/รายละเอียดเกี่ยวกับผู้รับบริการ
วัตถุประสงค์
ผู้ป่วยเข้าใจปัญหาตนเอง
หลักปฏิบัติในการสื่อสาร
สื่อสารที่เน้นเรื่องราวที่เป็นปัจจุบัน
ใช้หลักการสื่อสารที่ให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสระบายความรู้สึก
ไม่พูดถึงอดีตที่ปวดร้าวเกินไป ขณะที่ผู้ป่วยยังไม่พร้อม
ใช้หลักการต่างๆที่ง่ายๆ ชัดเจน ตรงไปมา
ไม่เสนอข้อมูลมากเกินไปจนทําให้ผู้ป่วยสับสน เบื่อหน่าย
ให้สําคัญกับความสอดคล้องระหว่างเนื้อหา คําพูด ท่าทาง สีหน้า และน้ําเสียงของพยาบาล
ฟังทั้งเนื้อหาและเจตนาว่าผู้ป่วยพูดถึงอะไรหมายความว่าอย่างไร
อุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร (Block to therapeutic Communication)
สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมเช่น มีผู้ป่วยอื่นมาวุ่นวาย
ข้อจํากัดทางอาการของผู้ป่วย
การดําเนินวิธีการสื่อสาร และใช้เทคนิคการสื่อสารที่ไม่เหมาะสม
ท่านั่ง ที่แสดงถึงความไม่สนใจผู้ป่วย
การใช้เทคนิคการสนทนาไม่เหมาะสม
1.3การแสดงการเห็นด้วยกับข้อคิดเห็นหรือการกระทําผู้ป่วยเช่น "คุณทําถูกแล้ว"
1.4การแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นหรือการกระทําผู้ป่วยเช่น"คุณไม่น่าทําแบบนี้"
1.2การให้คําแนะนํา "คุณควรจะ....."
1.5การขอคําอธิบาย
1.1การใช้คําปลอบโยน "อดทนไว้ เดี๋ยวก็ดีขึ้น"
1.6การดูถูกความรู้สึกผู้ป่วย
ระยะห่างระหว่างบุคคลมาหรือน้อยเกินไป