Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความผิดปกติของหัวใจและโครงสร้าง, image, image, m5, image, 00, 65, image -…
ความผิดปกติของหัวใจและโครงสร้าง
ระบบไหลเวียนเลือด
องค์ประกอบของระบบไหลเวียน
หลอดเลือด
หลอดเลือดแดง ลักษณะหนา ยืดหยุ่นดี ไม่มีลิ้นกั้น ทำหน้าที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังเส้นเลือดฝอย
หลอดเลือดดำ ลักษณะบางกว่าหลอดเลือดแดง มีลิ้นกั้นป้องกันเลือดไหลย้อนกลับ มีหน้าที่นำเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจ
หลอดเลือดฝอย ลักษณะเล็ก ละเอียดมาก ผนังบางมาก มีหน้าที่ นำเลือดแดงจากหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงร่างกาย และนำเลือดดำจากเซลล์ไปยังหลอดเลือดดำ
เลือด มีหน้าที่ลำเลียงอาหารไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
หัวใจ ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายหัวใจทำงานโดยการบีบตัวเป็นจังหวะ
การทำงานของหัวใจวงจรการทำงานของหัวใจ หมายถึง วงจรการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ รวมทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการทำงานของหัวใจ
ความผิดปกติของระบบไหลเวียน เกิดจาก
ความผิดปกติจากโครงสร้างของหัวใจและหลอดเลือด
เป็นตั้งแต่กำเนิด
เกิดขึ้นภายหลัง จากปัจจัยต่าง ๆ เช่นการติดเชื้อ
ความผิดปกติของการทำหน้าที่
ความผิดปกติของระบบไหลเวียน
ไข้รูมาติด หัวใจรูมาติคเรื้อรัง
ความดันโลหิตสูง
หัวใจขาดเลือด
โรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดแดง
โรคของหลอดเลือดดำ
ส่วนประกอบของหัวใจ
หลอดเลือด
กล้ามเนื้อหัวใจ
ลิ้นหัวใจ (Heart valves)
การประเมินผู้ป่วยโรคหัวใจและระบบไหลเวียน
การประเมินผู้ป่วยโรคหัวใจ
การซักประวัติ
อาการสำคัญ
ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน
ประวัติเจ็บป่วยในอดีต
แบบแผนการดำเนินชีวิต
การตรวจร่างกาย
ดู (Inspection) สังเกตตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
ฟัง (Auscultation)
Murmur
Gallop
Friction rub
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจนับเม็ดเลือด (CBC), ESR
การทดสอบการแข็งตัวของเลือด ได้แก่ PT, PTT
BUN, Cr
Serum cholesterol
การตรวจพิเศษ
การวัดการไหลเวียน (Circulatory time)
การวัดจำนวนเลือดที่ออกจากหัวใจ (cardiac output, EF)
การวัดความดันเลือดแดง
การวัดความดันเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressure)
อาการและอาการแสดง
เจ็บหน้าอก (Chest pain)
หายใจลำบาก (Dyspnea)
อ่อนล้า (Fatigue)
ใจสั่น (Palpitation)
เป็นลม (Syncope)
บวม (Edema)
ภาวะเขียว (Cyanosis)
ปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด/การรักษา
Heart valve problem
Arrhythmia
Heart attack
Stroke
โรคเกี่ยวกับหัวใจ
ภาวะหัวใจวาย (Heart Failure)
สาเหตุ
โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
หัวใจทำงานหนักเกินไป (Abnormal loading condition)
หัวใจเต้นผิดปกติ (Arrythmia)
โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ
พยาธิสภาพ
กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง บีบเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อย
อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
Cardiac output เพิ่มขึ้นในการบีบตัวของหัวใจแต่ละครั้ง
หลอดเลือดแดงหดตัว
การเพิ่มแรงการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
น้ำและเกลือคั่งในร่างกาย
กล้ามเนื้อหัวใจหนา แข็ง และโตขึ้น โดยเฉพาะห้องล่างซ้าย
ชนิดของหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจห้องล่างเวนตริเคิลวายด้านซ้ายและด้านขวา
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันและเรื้อรัง
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Acute heart failure)
ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง (Chronic heart failure)
อาการของภาวะหัวใจวาย
ซีด เขียวคล้ำ (Cyanosis)
บวมจากความดันเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้น (Edema)
มึนศีรษะ วิงเวียน สับสน
การพยากรณ์โรค
Acute CHF มีการตอบสนองต่อการรักษาดี และผลลัพธ์การรักษาได้ผลเชิงบวก
Chronic CHF มักพบว่ามีอวัยวะสำคัญถูกทำลายและมีภาวะแทรกซ้อน
การป้องกัน
ควบคุมระดับความดันโลหิตและปัจจัยสี่ยงอื่นๆ ที่มีผลต่อการกำเริบของโรคหัวใจ
การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของอวัยวะต่าง ๆ
หัวใจห้องล่างซ้ายวาย
พยาธิสรีระภาพ กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย ไม่สามารถบีบเลือดที่มีออกซิเจน น้ำตาลและสารอาหารต่าง ๆ ไปเลี้ยงร่างกายได้ ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และชีพจรเบาลง
สาเหตุ ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจโดยเฉพาะลิ้นหัวใจ Aortic หรือ Mitral valve
อาการ
มีปัสสาวะออกน้อย เนื่องจากร่างกายมีการเก็บน้ำไว้ในร่างกาย
หัวใจเต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ
มักตรวจพบหัวใจโต (Cardiomegaly) ร่วมด้วย
แทรกซ้อน น้ำท่วมปอดเฉียบพลัน (Acute pleural effusion)
หัวใจห้องล่างขวาวาย
พยาธิสรีระภาพ กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวาทำหน้าที่ลดลง ไม่สามารถบีบเลือดไปที่ปอดได้ ทำให้มีเลือดคั่งอยู่ในระบบไหลเวียน ส่งผลให้เลือดดำคั่งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
สาเหตุ กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวาขาดเลือด หลอดเลือดที่ปอดมีความดันสูง หรือหัวใจล่างซ้ายวายมีผลทำให้หัวใจห้องล่างขวาวายตามมา
อาการ
บวมที่ขาทั้ง 2 ข้างกดบุ๋ม มือบวม นิ้วบวม ก้นกบบวม อวัยวะเพศบวม น้ำหนักตัวเพิ่ม
ตับ ม้ามโตและปวดแน่นท้องหรือเจ็บแปลบที่ท้องด้านขวาส่วนบน จากการที่มีเลือดคั่งที่ตับ
ความดันโลหิตสูงเนื่องจากประมาณน้ำในร่างกายมาก
ความดันเลือดดำส่วนกลางสูง
หัตถการเกี่ยวกับหัวใจ
การสวนหัวใจ (Coronary angioplasty)
การใส่สายสวนที่มี Balloon ตรงปลาย ผ่านทางผิวหนังเข้าสู่เส้นเลือดหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือด Coronary artery
วิธีการทำ
ใส่สายสวนผ่านผิวหนังอาจเป็นบริเวณข้อมือ ขาหนีบ หรือข้อเท้า ผ่านไปจนถึงหลอดเลือดหัวใจ coronary ที่ตีบ
ทำบอลลูนเพื่อขยายบริเวณที่ตีบ
ใส่ Stent เพื่อป้องกันหลอดเลือดตีบซ้ำ
การพยาบาลก่อนทำการสวนหัวใจ
เจาะเลือด x ray หัวใจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ต้องงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน ต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม 6 ชั่วโมงก่อนรับการรักษา
สื่อสารกับแพทย์ได้ โรคประจำตัว ยาที่รับประทาน โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด
การพยาบาลหลังทำ
นอนราบประมาณ8 ชั่วโมง อาจจะนอนหนุนหมอนสองใบหลังจากทำไปแล้วสองชั่วโมง
สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หลังทำผู้ป่วยต้องนอนราบอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานหลายชั่วโมง
ควรจะรับประทานอาหารที่เป็นน้ำ หรือของเหลว หลังการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน
การดูแลผู้ป่วยผ่าตัดเปิดหัวใจ (Open heart Surgery)
การพยาบาลก่อนผ่าตัด
เตรียมข้อมูลผู้ป่วย ประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจพิเศษอื่น ๆ
ตรวจ Antiplatelet, Aspirin, Clopidogrel, Non-Steroid Anti-Inflammatory Agents [NSAID] ให้งดยาก่อนผ่าตัด 7-10 วัน
Warfarin งดยา 3-5 วัน ก่อนผ่าตัด
การพยาบาลหลังผ่าตัด
รับไว้ดูแลที่หอผู้ป่วยหนัก
ตรวจดูแผลผ่าตัด/ท่อระบายต่างๆ
ติดตามประเมินค่าสัญญาณชีพต่างๆอย่างต่อเนื่อง
ประเมินผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 1-2 ชั่วโมง
อาการผิดปกติที่ต้องเฝ้าระวัง
การหายใจผิดปกติ
การเสียเลือด: แผล/ภายใน
การเต้นของหัวใจผิดปกติ
โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจตีบ/รั่ว
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ้นหัวใจตีบ/รั่ว
อายุ เพราะเมื่อสูงอายุ เนื้อเยื่อหัวใจเสื่อมลง รวมถึงลิ้นหัวใจด้วย ส่งผลให้ลิ้นหัว ใจปิดไม่สนิทในขณะที่หัวใจบีบตัว
การติดเชื้อต่างๆที่ลุกลามถึงการติดเชื้อของลิ้นหัวใจ
โรคหลอดเลือดแดงแข็ง
โรคความดันโลหิตสูงเพราะเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
โรคของลิ้นหัวใจที่พบบ่อยได้แก่
ลิ้นไมตรัลตีบ (Mitral stenosis)
สาเหตุ ไข้รูมาติกเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด การติดเชื้อรูมาติกในวัยเด็ก
พยาธิสภาพ การอักเสบของลิ้นหัวใจทำให้เกิดความแข็ง หนา หดรัด ดึงรั้งของลิ้นหัวใจ ทำให้รูเปิดแคบลง เลือดไหลไม่สะดวกทำให้เกิดเลือดไหลวน
อาการ เหนื่อยล้า หายใจลำบากเวลาออกแรง นอนราบไม่ได้ หอบเหนื่อยกลางคืน ไอเป็นเลือด ตับโต ขาบวมกดบุ๋ม
ลิ้นไมตรัลรั่ว (Mitral regurgitation/insufficiency)
สาเหตุ มีหลายสาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อ การที่มีการเสื่อมของเนื้อเยื่อ ลิ้นหัวใจฉีกจากโรคบางโรค และการขยายตัวของหัวใจห้องล่าง
พยาธิสภาพ ลักษณะคล้ายกับลิ้นไมตรัลตีบ แต่ต่างกันที่จากการที่ปิดไม่สนิททำให้เลือดไหลย้อนจากเวนตริเคิลซ้ายไปเอเตรียมซ้าย
อาการ ในระยะแรกไม่มีอาการ เมื่ออาการรุนแรงขึ้นจะพบหายใจลำบากขณะมีกิจกรรม เมื่อพักอาการจะหายไป ใจสั่น นอนราบไม่ได้ บวมกดบุ๋ม
ประเมินสภาพ จากประวัติ อาการแสดง ตรวจร่างกาย EKG, Myocardial nuclear perfusion imaging, Echocardiogram, เอกซเรย์ปอด และการสวนหัวใจ
ลิ้นเอออร์ต้าตีบ (Aorta stenosis)
สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากลิ้นหัวใจพิการแต่กำเนิด และความเสื่อมของลิ้นหัวใจจากหินปูนเกาะลิ้นหัวใจเมื่ออายุสูงขึ้น ติดเชื้อลิ้นหัวใจ หรือเป็นไข้รูมาติค ทำให้ลิ้นหัวใจหนา หดรัด มีหินปูนเกาะ
พยาธิสภาพ อาการจะค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลาหลายปี จนลิ้นหัวใจมีรูตีบเล็กจึงปรากฎอาการ
อาการ เจ็บหน้าอกแบบ Angina หายใจลำบาก หมดสติเมื่อออกแรง อ่อนเพลีย ล้า นอนราบไม่ได้ มีเหนื่อยหอบกลางคืน
ลิ้นเอออร์ต้ารั่ว (Aorta regurgitation/insufficiency)
สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจและการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจและหัวใจ ส่วนใหญ่เกิดจากไข้รูมาติค เชื้อแบคทีเรีย หรือ ซิฟิลิส
พยาธิสภาพ ลิ้นเอออร์ติกรั่วเฉียบพลัน มักเกิดจากเยื่อบุหัวใจอักเสบติดเชื้อ หลอดเลือดเอออร์ต้าฉีกขาด การบาดเจ็บของทรวงอก ซึ่งภาวะเหล่านี้ทำให้เวนตริเคิลไม่สามารถปรับตัวรับกับปริมาตรเลือดที่ย้อนกลับได้ ความดันในเวนตริเคิลสูงมาก ทำให้ลิ้นไมตรัลปิดก่อนกำหนด เลือดค้างในเอเตรียม
อาการ ใจสั่น หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ หายใจเหนื่อยตอนกลางคืน ล้า มีอาการเจ็บหน้าอก Angina และหลอดเลือดปอด เกิดภาวะปอดบวมน้ำเฉียบพลัน (Pulmonary edema)
โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis)
สาเหตุ
ติดเชื้อ ได้แก่ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย วันโรค เชื้อรา พยาธิ ไข้รูมาติก
ปฏิกิริยาออโต้อิมมูนของร่างกาย ได้แก่โรค SLE, ไข้รูมาติค
การได้รับบาดเจ็บ (Trauma)
สารพิษ (Toxic agent) เช่น Lithium, cocaine, alcohol
พยาธิสภาพ: เกิดการอักเสบที่เยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งอาจเกิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
อาการ
ไข้ (Fever)
เจ็บหน้าอก (Chest pain) ร้าวไปแขน ไหล่ และคอ
หนาวสั่น (Chill)
ฟังหัวใจได้ยินเสียง rub หรือ Grating sound
หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia)
การประเมินสภาพ
ประวัติความเจ็บป่วย เช่น การรับประทานยาบางอย่าง อุบัติเหตุทรวงอก การฉายแสง
อาการและอาการแสดงที่สำคัญคือ เจ็บหน้าอก (Precordial pain) เสียงเสียดสีของเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardial friction rub) หายใจลำบาก (Dyspnea)
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ น้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardial effusion) และ หัวใจถูกกดทับ (Cardiac temponade)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการได้แก่
CBC และ ESR ซึ่งมีค่าสูงมากขึ้นในกรณีมีการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ
LE preparation และ ASO titer
Tuberculin test
BUN, Cr
การรักษา
การใช้ยา NSAID, cochicin อาจให้ตัวเดียวหรือร่วมกัน สำหรับ Coricosteroid ให้เมื่อมีข้อบ่งชี้เท่านั้น
การระบาย (Drainage)
การดูแลระบบไหลเวียนเลือดเพื่อเพิ่ม Cardiac output
การพยาบาล
1.ประเมินความผิดปกติระบบไหลเวียน โดยประเมินซ้ำเป็นระยะ ๆ
2.ติดตามการทำงานของหัวใจ
3.เตรียมและให้การพยาบาลก่อนและหลังการทำหัตถการ
การดูแลระบบไหลเวียนเลือดเพื่อเพิ่ม Cardiac output
5.ให้น้ำเกลือเพื่อเพิ่มปริมาตรเลือด
6.ดูแลให้ยากระตุ้นหัวใจ (Positive inotropic agent) ตามแผนการรักษา
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
สาเหตุของโรค : เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจเสียหายจากเชื้อโรคเช่น เชื้อไวรัส ได้แก่ Coxackiea, Coxackie b, Influeneae, Admovirws, CMV, EBV
อาการ
อาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ (Flu-live symptom) มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาเจียน และท้องเสีย และร่วมกับ อ่อนเพลียจนหมดเรี่ยวแรง
เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นช้า
ในระยะยาว อาจมีภาวะแทรกซ้อนต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ จนเป็นภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังได้
การรักษา/พยาบาล
1.การช่วยเหลือการทำงานของหัวใจ โดยใช้เครื่องช่วยการทำงานของหัวใจ แบบพิเศษ (Intraaortic balloon pump หรือ Extracorporeal membrane oxygenation)
2.การให้ยาคุ้มกันหรือยาต้านการอับเสบ การให้ยาดังกล่าวในผู้ป่วยที่ผล biopsy ยืนยันค่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอับเสบจริง แล้วพบว่าอาการดีขึ้น
การให้ยารักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลง เช่น ยากลุ่มขยายหลอดเลือด (Vasodilator) เช่น ไนโตรกลีเซอรีน หรือ โซเดียมไนโตรปลัสไซด์
การรักษาโดยไม่ใช้ยา ได้แก่ การสังเกตการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียน การควบคุมน้ำ และการให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การผ่าตัด เช่น การผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เป็นต้น
เยื่อบุหัวใจอักเสบ (Endocarditis)
สาเหตุ : ที่ทำให้เยื่อหุ้มหัวใจชั้นในอักเสบได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราที่พบส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักเข้าสู่กระแสเลือดได้ จากทางเข้าหรือแผลเปิดส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
อาการและอาการแสดง
ในรายที่ไม่รุนแรง ไม่มีอาการแสดง อาการทั่วไปจะเริ่มจาก อ่อนเพลีย ไข้ เม็ดเลือดขาวสูง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
ในรายที่มีอาการรุนแรงจะตรวจพบความผิดปกติของ T-wave
พยาธิสภาพ : เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เข้าสู่ระบบไหลเวียนไปที่หัวใจและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุหัวใจชั้น Endothelium ในบริเวณที่มีการไหลเวียนเลือดช้า เกิดการอักเสบที่เยื่อบุหัวใจหรือลิ้นหัวใจ
การรักษา/การพยาบาล
ให้ยาเพิ่มการบีบรัดตัวของหัวใจ เช่น Digitalis
ให้ยาขับปัสสาวะ
ให้ยาต้านการติดเชื้อจนครบเนื่องจากต้องให้ยาเป็นระยะเวลายาวนาน
ติดตามการทำงานของหัวใจ
ดูแลช่วยเหลือกิจกรรมเนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะ Activity intolerance