Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Hyperosmolar Hyperglycemic State หรือ HHS - Coggle Diagram
Hyperosmolar Hyperglycemic State หรือ HHS
พยาธิสภาพ
Hyperosmolar Hyperglycemic State หรือ HHS คือ ภาวะเลือดมีความเข้มข้นสูงจากภาวะน้ำตาลในเลือดเกิน HHS เกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ได้แก่ การติดเชื้อ อุบัติเหตุ หรือภาวะใดๆ ที่ส่งผลให้ร่างกายมีความเครียดมากๆ ซึ่งทำให้ระบบการควบคุมระดับน้ำตาลไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้ รวมถึงความผิดปกติของร่างกายที่ทำให้มีปริมาณน้ำตาลในเลือดมาก เช่น โรคไตวาย จนทำให้ความเหนียวหรือความข้นของเลือดสูงขึ้น
หญิงชาวจีนอายุ 37 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานที่มีประวัติความดันโลหิตสูงถูกนำไปยังแผนกฉุกเฉินของUKMMC ด้วยประวัติสองวันของการเคลื่อนไหวผิดปกติของแขนขา เช่น ชักกระตุก หนึ่งสัปดาห์ก่อนมา มีการติดเชื้อทางเดินหายใจ เธอยังบ่นเรื่อง ปัสสาวะมาก และ ดื่มน้ำมาก มีประวัติการสูญเสียความอยากอาหารและน้ำหนัก
อากสรและอาการแสดง
อาการจะค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลาเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์
โดยผู้ป่วยจะมีการสูญเสียน้้าทางปัสสาวะ ท้าให้ออสโมลาริตี้สูง
จนผู้ป่วยมีอาการซึม ไม่รู้ตัวหรือชักได้
•ในผู้ป่วยที่ขาดสารน้้ารุนแรงจะท้าให้ความดันต่้าหรือช็อคได
ผู้ป่วยปัสสาวะมาก และ ดื่มน้ำมาก มีประวัติการสูญเสียความอยากอาหารและน้ำหนัก
สาเหตุ
สาเหตุของภาวะ HHS คือโรคเบาหวาน โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบกับมีตัวกระตุ้น อันได้แก่ ภาวะการติดเชื้อ การได้รับอุบัติเหตุ จนไปถึงการขาดยา
หญิงชาวจีนอายุ 37 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานที่มีประวัติความดันโลหิตสูง
การตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรุนแรง (35.9 มิลลิโมล / ลิตร), high serum osmolality (358 mOsm / กก.), ยูเรียสูง: อัตราส่วน creatinine (> 30: 1) (ค่า pH 7.39, ไบคาร์บอเนต 21.5)
การวินิจฉัย
ในการวินิจฉัย แพทย์จะสังเกตอาการผู้ป่วย ซึ่งมักจะซึมลง เรียกไม่ตอบ พูดคุยถามตอบไม่รู้เรื่อง หลับเยอะ อาจมีอาการเพ้อ บางรายอาจมีอาการชัก หรือตรวจร่างกายแล้วพบลักษณะของภาวะขาดน้ำ เช่น ตาโหลหรือตาลึก ผิวไม่เต่งตึง ปากแห้ง อัตราการเต้นของหัวใจเร็ว ความดันต่ำ ส่วนในผู้ป่วยเด็กจะสังเกตจากการที่ร้องไห้แล้วไม่มีน้ำตาไหล แพทย์จะส่งเลือดไปตรวจดูระดับน้ำตาลและความเข้มข้น หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 600 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และความเข้มข้นเลือดสูงกว่า 320 มิลลิออสโมล/กิโลกรัม พร้อมมีอาการดังที่กล่าวมา ก็อาจเป็นข้อยืนยันได้ว่ามีภาวะ HHS จริง และต้องรีบทำการรักษาทันที
การตรวจสอบพบว่าผู้ป่วยขาดน้ำระดับเล็กน้อย ไม่มีไข้ (37.5 ° C) บันทึกความดันโลหิตที่ 130/90 มม. ปรอท อัตราการเต้นของหัวใจ 70 ครั้ง / นาที และออกซิเจน (SaO2) 93% ภายใต้ 3 ลิตรผ่านทางง่ามจมูก น้ำหนักและส่วนสูงยู่ที่ 71 กก. และ 156 ซม. รอบเอวเท่ากับ 108 ซม. โดยมีดัชนีมวลกาย (BMI) 29 เธอมีน้ำหนักเยอะ buffalo hump และ cushingoid facies
การตรวจระบบทางเดินหายใจของเธอแสดงให้เห็นว่าฟังปอดมีเสียง crepitations การเคลื่อนไหวผิดปกติของแขนขาทั้งสองข้างถูกวินิจฉัยว่าเป็นอาการชักกระตุก ในการตรวจสอบระบบประสาทส่วนกลางรวมถึงสนามสายตาปฏิกิริยาตอบสนองถูก มีรอยขาวทั่วไปหลายจุดบนทั้งแขนขาด้านบนและด้านล่าง
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรุนแรง (35.9 มิลลิโมล / ลิตร), high serum osmolality (358 mOsm / กก.), ยูเรียสูง: อัตราส่วน creatinine (> 30: 1) (ค่า pH 7.39, ไบคาร์บอเนต 21.5)
การรักษา
ทำการลดความเข้มข้นของเลือดและเจือจางระดับน้ำตาลเป็นหลัก โดยจะให้สารน้ำทางเส้นเลือด ซึ่งก็คือการให้น้ำเกลือที่เราคุ้นเคยกัน แต่การให้สารน้ำในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะให้ในปริมาณมากและรวดเร็ว เพื่อทำให้ระดับน้ำตาลเจือจางลง ระดับความเข้มข้นของเลือดลดลงอย่างเร็วที่สุด โดยไม่กระทบความสมดุลของสารอื่นๆ ในเลือด ระหว่างนี้จึงต้องมีการวัดระดับเกลือแร่ต่างๆ ในเลือดควบคู่กันไปด้วย
การให้สารน้ำ ซึ่งเป็นเพียงการรักษาปลายเหตุเท่านั้น เพราะต้นเหตุคือภาวะน้ำตาลเกิน ดังนั้นแพทย์จึงต้องควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโดยกระตุ้นการเก็บน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ด้วยยาที่เรารู้จักกันดีอย่างอินซูลิน (Insulin) นั่นเอง ในช่วงแรกอาจจะให้ยาในปริมาณมากกว่าปกติเพื่อเร่งการคุมระดับน้ำตาล จากนั้นจึงค่อยๆ ลดขนาดยา จนถึงจุดที่ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ปกติ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นยารับประทาน
ผู้ป่วยถูกย้ายไปที่medical ward และได้ให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ การฉีดอินซูลินดำเนินการโดยมีการตรวจสอบเกี่ยวกับกลูโคส
การพยาบาล
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเดิมเป็นเบาหวานต้องดูแลตนเองไม่ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ออกกำลังกายสร้างภูมิต้านทาน
หลีกเลี่ยงการเกิดแผลตามร่างกาย
ป้องกันตัวเองให้ไกลจากอุบัติเหตุต่างๆ
ที่สำคัญคือรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ