Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาว (Peplau‘s Theory of Interpersonal…
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาว
(Peplau‘s Theory of Interpersonal Relations)
พัฒนาขึ้นโดยฮิลด์การ์ด เพบพลาว (Hildegard E. Peplau) ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์
ทั้งจากการเรียน และ การสอนพยาบาลจิตเวช และ สุขภาพจิต รวมทั้งประสบการณ์ใน
การทำงานต่างๆ จนนำไปสู่ความสนใจและพัฒนาทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลขึ้น
มโนมติหลักและความสัมพันธ์ของทฤษฎี
ประกอบไปด้วยข้อตกลงเบื้องต้น (Assumptions)
มโนมติหลัก (Metaparadigm) และแนวคิดที่สำคัญ (Major concept)
1.ข้อตกลงเบื้องต้น (Assumptions)
ความต้องการที่จะต้องควบคุมพลังงานที่มาจากความเครียดและความวิตกกังวลให้มี
ความหมายทางบวก เพื่อให้เกิดความชัดเจนความเข้าใจและแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่อย่าง
มีประสิทธิภาพ
ทุกๆพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกหรือกระทำ ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความพึง
พอใจและเกิดความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัย
ปัญหาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล สามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำๆและหลากหลายความรุนแรง
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย จะเกิดผลดีเมื่อมีการใช้กระบวนการการติดต่อ
สื่อสารที่ก่อให้เกิดความเข้าใจและได้ผลดีในสถานการณ์ต่างๆ
การสร้างสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยเป็นสิ่งที่พยาบาลทุกสาขาควรคำนึงในกระบวนการดูแลจิตใจ ไม่เฉพาะแต่สาขา จิตเวชเท่านั้น เนื่องจากปัญหาของผู้ป่วยสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน
การเข้าใจความหมายของพฤติกรรมของผู้ป่วยเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการที่พยาบาลจะ
ตัดสินใจตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนบุคคลเพื่อให้มีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ขึ้นนั้นเป็น
บทบาทหน้าที่และการเรียนรู้ของการพยาบาลซึ้งต้องอาศัยทั้งหลักการและวิธีการ
ระหว่างที่บุคคลเผชิญอยู่กับภาวะวิกฤติ แต่ละบุคคลมักจะใช้วิธีการจัดการแบบที่
เคยทำแล้วได้ผลในอดีต
ความแตกต่างของพยาบาลแต่ละคน ส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในการที่
ผู้ป่วยแต่ละคนจะได้เรียนรู้
2.มโนมติหลัก (Metaparadigm)
สิ่งแวดล้อม เพบพลาวหมายถึงปัจจัยทางด้านกายภาพ จิตใจ และสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมไปถึงบริบทของสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย ระบบสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดการคงไว้ซึ่งการเจ็บป่วย หรือการส่งเสริมสุขภาพที่ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย
บุคคล เพบพลาวกล่าวว่ามนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง
ทั้งทางด้านกายภาพ จิตใจและสังคมอยู่ตลอดเวลา ทั้งพยาบาลและผู้ป่วย หรือผู้รับบริการ
ล้วนแต่เป็นบุคคลซึ่งแต่ละบุคคลจะนำประสบการณ์ ความเชื่อ ความคาดหวัง
ผู้ป่วย หรือผู้รับบริการ หมายถึงผู้ที่เจ็บป่วยและผู้ที่มีสุขภาพดี
รวมถึงกลุ่มบุคคล ครอบครัวและสังคมที่พยาบาลให้การพยาบาลโดยตรง
พยาบาล เป็นสื่อกลางของศิลปะการพยาบาล เป็นการผสมผสานอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันของอุดมคติ
ความมีคุณค่าความมั่นคงและพันธสัญญาที่จะทำให้ผู้อื่นมีสุขภาวะที่ดี โดยผ่านการแสดงออกของพยาบาล
และตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ ทำให้พยาบาลเป็นความงามอย่างหนึ่งในการปฏิบัติการพยาบาล
การพยาบาล เพบพลาวกล่าวว่าการพยาบาล คือ เครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ เป็นพลังอำนาจ เพื่อส่งเสริม้เกิดความก้าวหน้าของบุคลิกภาพในแนวทางที่สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ต่อบุคคลและสังคม การพยาบาลยังหมายถึงการพัฒนาของทั้งพยาบาลและผู้ป่วย การพยาบาลเป็นศิลปะที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ ความเข้มแข็ง ความสามารถ และการเปลี่ยนแปลง
สุขภาพ เพบพลาวได้กล่าวไว้ว่าเป้นคำสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการพัฒนาไปข้างหน้าของบุคลิกภาพ
และกระบวนการอื่นๆของมนุษย์ไปในทิศทางที่สร้างสรรคและมีคุณภาพต่อการดำรงชีวิตในสังคม
สุขภาพเป็นเป้าหมายแรกของการพยาบาล
3.แนวคิดที่สำคัญ (Major concepts)
สัมพันธภาพระหว่างบุคค (Interpersonal relationships) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป มุมมองของเพบพลาวและซัลลิแวนชี้ให้เห็นว่าบุคคลคือ องค์รวมสัมพันธภาพออกเป็น 2 แบบ
1.1 สัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วย (Nurse – Patient Relationship) เป็นสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่จำเพาะเจาะจง เป็นหัวใจสำคัญของการพยาบาล จะเป็นการให้การศึกษาและบำบัด
ระยะของสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วย ประกอบไปด้วย
1.ระยะเริ่มต้น (Orientation phase): ระยะแรกของการเริ่มต้นที่พยาบาลและผู้ป่วยพบหน้ากันในลักษณะของคนแปลกหน้า พยาบาลและผู้ป่วยจะ เข้าใจบทบาทของตนเองและยอมรับนับถือสัมพันธภาพที่เกิดขึ้น ในส่วนนี้ความสม่ำเสมอและความชัดเจนที่พยาบาลมีให้ผู้ป่วยเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นปัจจัยที่กำหนดบทบาทของพยาบาล ผู้ป่วยจะมีความต้องการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความน่าไว้วางใจในตัวพยาบาล ความสมบูรณ์ของระยะเริ่มต้นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยสามารถบอกปัญหากับพยาบาลเพื่อร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาต่อ
2.ระยะดำเนินการ (Working phase): มีระยะย่อยๆ 2 ระยะ
ระยะระบุปัญหา (Identification): เป็นระยะที่ผู้ป่วยรู้จักกับพยาบาลและเข้าใจจุดประสงค์ของสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยเริ่มที่จะระบุปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกันในระหว่างการสร้างสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยในระยะนี้พยาบาลและผู้ป่วยอาจวางแผนการใช้แหล่งประโยชน์และแหล่งช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหา
ระยะดำเนินการแก้ปัญา (Exploitation): เป็นระยะที่ผู้ป่วยดำเนินการแก้ปัญหาตามแผน
ที่ วางไว้โดยใช้บริการทางการพยาบาลที่มีอยู่อย่างเต็มที่
3.ระยะสรุปผล (Resolution Phase): เป็นระยะที่ทั้งสองฝ่ายตกลงสิ้นสุดสัมพันธภาพร่วมกัน
เกิดขึ้นเมื่อแผนในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดประสบผลสำเร็จพยาบาลและผู้ป่วยวางแผนสำหรับการใช้แหล่งสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหาในอนาคต ป้องกันการเกิดปัญหาและใช้ประสบการณ์ที่มีในการจัดการกับปัญหา
1.2 สัมพันธภาพระหว่างบุคคลอื่นๆ (Other Relationships) ที่นอกเหนือจากสัมพันธภาพ
ระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยในปัจจุบัน
การติดต่อสื่อสาร (Communication)ลประกอบด้วยการ
สื่อสารแบบใช้คำพูด (Verbal) และไม่ใช่คำพูด (Nonverbal)
เป็นการเลือกใช้สัญลักษณ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมีหลัก
สำคัญ 2 ข้อ
ความต่อเนื่อง (Continuity): ความต่อเนื่องในการสื่อสารเกิดขึ้นได้สัมพันธ์กันของความคิด ความรู้สึก เหตุการณ์หรือการถ่ายทอดเนื้อหาสาระของความคิด
ความชัดเจน (Clarity): คำและประโยคที่ใช้ต้องมีความชัดเจนทำให้สามารถเข้าใจตรงกัน
แบบแผนการมีปฏิสัมพันธ์(Pattern integration)แบบแผนการมีปฏิสัมพันธ์เป็นได้ทั้งแบบ
สัมพันธภาพแบบเติมเต็มซึ่งกันและกัน สัมพันธภาพแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
บทบาท (Roles)บทบาทที่มีความเกี่ยวพันกันของพยาบาลในการช่วยเหลือผู้ป่วย บทบาทของพยาบาลโดยทั่วไปได้แก่
4.3 บทบาทครู(Teaching Roles)
4.4 บทบาทผู้นำ (Role of Leadership)
4.2 บทบาทแหล่งสนับสนุน (Role of Resource Person)
4.5 บทบาทผู้ทดแทน (Surrogate Roles)
4.1 บทบาทคนแปลกหน้า (Role of the Stranger)
4.6 บทบาทผู้ให้คำปรึกษา (Counseling Role)
ความคิด (Thinking)เป็นกระบวนการที่ประสบการณ์ต่างๆถูกรวบรวม เก็บสะสม จัดระบบและสามารถเรียกกลับคืนได้ ประกอบด้วยแนวคิดย่อย 2 แนวคิดคือ
5.2 Self – understanding คือ การเข้าใจตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับพยาบาลเพื่อให้การปฏิบัติการพยาบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5.1 Preconceptions คือ ความคิดที่มีมาก่อนการสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับพยาบาลหมายถึงความคิดความรู้สึกและสมมติฐานของพยาบาลและผู้ป่วยที่มีต่อกันและกันก่อนที่จะมารู้จักกันความคิดที่มีมาก่อนส่วนใหญ่จะมีอิทธิพลมาจากสัมพันธภาพที่มีมาในอดีต
การเรียนรู้(Learning) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ไม่หยุดนิ่ง เป็นการนำความสามารถในการคิดและความสามรถในการรับรู้ มาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ 1) ให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้เพื่อนำไปอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ 2) เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง และ 3) เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา
ความวิตกกังวล (Anxiety) ความวิตกกังวลเป็นพลังงานที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือ
เกิดขึ้นจากจินตนาการ จะมากระตุ้นได้จะต้องคุกคามความเป็นตัวตนของบุคคล การต่อต้านการปรับเปลี่ยนตัวเอง จากการสังเกตเห็นคนอื่นมีภาวะวิตกกังวล ระดับของความกังกลจากระดับต่ำ(anxiety+) ระดับปานกลาง (anxiety++) ระดับมาก (anxiety+++) ระดับรุนแรง
Panic (anxiety++++)
สมรรถนะ (Competencies) คือ ทักษะที่ถูกพัฒนาขึ้น ศักยภาพที่สำคัญต้องเกิดการพัฒนาในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของพยาบาลและผู้ป่วย ได้แก่ สติปัญญา การแก้ไขปัญหา และปฏิสัมพันธ์ของบุคคล
พัฒนาการของทฤษฎี
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาว เป็นผลจากการเรียนการสอนพยาบาลจิตเวชสุขภาพจิตให้กับนักศึกษา
พยาบาลและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา รวมทั้งจำประสบการณ์ในการเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาล
จิตเวชจึงทำให้ฮิลด์การ์ด เพบพลาว เกิดความสนใจที่จะทำความเข้าใจสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยว่ามีอะไรเกิดขึ้น
โดยนำทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของแฮรี่ สแต็ค ซัลลิแวน (Harry Stack Sullivan)มาอธิบายในการ
สังเกตการกระทำของการพยาบาล เพื่อให้พยาบาลเข้าใจและเห็นคุณค่าของการกระทำของมนุษย์(Peplau,1952)
การนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ทางการพยาบาล
ลำดับแรกควรให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวของพยาบาลก่อนที่จะเริ่มสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย โดยมีแนวทางปฏิบัติคือ พยาบาลควรมีการประเมินตนเอง (Self - Assessment) เพราะหากพยาบาลตระหนักในตนเองอย่างดีจึงจะสามารถใช้ความเข้าใจตนเองเป็นเครื่องมือในการเข้าใจผู้ป่วย และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ป่วยได้จากนั้นระยะของสัมพันธภาพและการใช้ในการพยาบาลก็จะดำเนินไป
สรุปทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาว (Peplau‘s Theory of Interpersonal
Relations)ได้กล่าวถึงระยะสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วยประกอบด้วยระยะเริ่มต้น
(Orientation phase) ระยะดำเนินการ (Working phase) และระยะสรุปผล (Resolution Phase)
ก่อให้เกิดเคารพความแตกต่างของแต่ละบุคคล และนำไปสู่ช่วยเหลือบุคคลที่เจ็บป่วย หรือผู้ที่มีความ
ต้องการในการดูแลสุขภาพ
การนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในงานวิจัย
เช่น
ผลของโปรแกรมสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของเด็กหญิงที่ถูกกระทำรุนแรงในสถานแรกรับเด็กหญิง เขตภาคกลาง