Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
8.1 การใช้อาหารในการบำบัดโรค และการให้โภชนาศึกษาในกลุ่มโรคเรื้อรัง -…
8.1 การใช้อาหารในการบำบัดโรค และการให้โภชนาศึกษาในกลุ่มโรคเรื้อรัง
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับการใช้อาหารในการบำบัดโรค และการให้โภชนาศึกษาในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
โภชนบำบัดหมายถึง
โภชนบำบัดหรืออาหารบำบัดโรค (Diet therapy) หมายถึง การใช้อาหารช่วยในการรักษาโรคโดยการดัดแปลงอาหารธรรมดาให้เป็นอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ และจัดให้ถูกหลักโภชนาการ โดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค รวมทั้งป้องกันอาการทุพโภชนาการที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่ได้รับ การรักษาโรคอยู่
กระบวนการทางโภชนบำบัด
เพื่อให้การดำเนินงานด้านโภชนาบำบัด บรรลุความมุ่งหมาย ควรดำเนินงานตามขั้นตอน ดังนี้
1.การวิเคราะห์ภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
1.1การซักประวัติ
1.2การวัดขนาดของร่างกายผู้ป่วย
1.3การตรวจร่างกาย
1.4การตรวจทางชีวเคมี
2.การวางแผนการให้โภชนบำบัด
2.1 เป้าประสงค์ คือผลลัพท์ที่พึงปรารถนาสำหรับผู้ป่วยอย่างกว้า เช่นให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
2.2วัตถุประสงค์ คือ ผลระยะสั้นแต่ละขึ้นตอนที่บรรลุเป้าประสงค์ เช่น ให้ น้ำหนักเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ500กรัม
2.3ชนิดของอาหารเพื่อโภชนบำบัด
3.ขั้นตอนการดำเนินการโภชนบำบัด
ขั้นการดำเนินการโภชนาบำบัด ดำเนินให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ต้องการรวมทั้งให้คำปรึกษา ความสำเร็จของโภชนบำบัด ต้องอาศัยความร่วมมือจาก แพทย์ พยาบาล นักกำหนดอาหาร
4.ขั้นการประเมินผลโ๓ชนบำบัด
เพื่อดูความก้าวหน้าของการรักษาผู้ป่วยและประสิทธิภาพของผนโภชนบำบัดดำเนินการปรับปรุงแก้ไข ตามผผลประเมิน สังเกตุหรือสอบถามเกี่ยวกับโภคอาหารของผู้ป่วยเกี่ยวกับปรมาณอาหารที่ได้ ความพอใจของผู้บรโภค
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้โภชนบำบัด
ความสําเร็จของโภชนบําบัด ต้องอาศัยความร่วมมิและการทํางานเป็นทีม ระหว่างบุคคลหลายฝ่าย ได้แก่ แพทย์ พยาบาล นักกำหนดอาหารและผู้ป่วย ซึ่งแต่ละบุคคลมี บทบาทหนา้ที่ที่สำคัญดังนี้
1.
แพทย์
แพทย์เป็นผู้สั่งอาหารให้แก่ผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใด โดยแพทย์จะ เป็นผู้สั่งลงในคำสั่งการรักษาของผู้ป่วย พร้อมทั้งมีลายเซ็นและวันที่กำกบัไวด้ว้ย หาก มีการสั่ง ทางโทรศพัท์เพื่อใหท้นัเวลาจดัอาหารก็ต้องมีใบสั่งอาหารตามลงมาด้วยทุกครั้ง เพื่อใหม่หลักฐาน ยืนยันการสั่งอาหาร
2.พยาบาล
พยาบาลเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยมากที่สุด ทำหน้าที่ประสานงาน ระหว่างแพทย์ นักกำหนดอาหารและผู้ป่วย มีบทบาทสำคัญดั้งนี้ 2.1 เป็นผู้คัดลอกคําสั่งของแพทย์ ลงในใบสั่งอาหารเพื่อส่งไปยังหน่วยบริการ อาหารใบสั่งอาหาร ควรส่งลงไปยังหน่วยบริการอาหารทันทีหรือก่อนเวลาจัดอาหาร 1 ชั่วโมง 2.2 หากผู้ป่วยมานอนป่วย โดยแพทย์ยังไม่ได้สั่งอาหารทางฝ่ายพยาบาลไม่ สามารถติดต่อแพทย์ให้ส้่งอาหารได ้ฝ่ายพยาบาลอาจสั่งอาหารอ่อนหรืออาหารนํ้าให้แก่ ผู้ป่วยก่อน สาำหรับมื้อ นั้นแหละ สําหรับมื้อต่อไปให้แพทย์สั่ง ถ้าแพทย์มิได้สั่ง ทางฝ่าย บริการอาหารจะยังคงถือคาำสั่งของพยาบาลประจาํหอผู้ป่วยในการัจัดอาหารต่อไป 2.3 คอยช่วยเหลือดูแลคนไข้ระหว่างรับประทานอาหาร คอยสังเกตการ รับประทานอาหารของคนไข ้ให้คำปรึกษาแนะนำด้านอาหารกับผู้ป่วยโรคบางชนิด
3. นักกำหนดอาหาร
มีบทบาทสําคัญดังนี้ 1. คิดคำนวณคุณค่าอาหารสำหรับผู้ป่วยตามที่แพทยส์ั่ง การคำนวณอาหารจะต้องจัดทํา เป็นรายๆไป เพื่อใหผู้ป่วยได้สารอาหารตามที่แพทย์สั่ง 2. กำหนดอาหารและดัดแปลงอาหาร ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความพึงพอใจ ของผู้ป่วยด้วย 3. ควบคุมการจัดและการปรุงอาหารเฉพาะโรค 4. เยี่ยมผู้ป่วย เพื่อจะได้ทราบผลการรับประทานอาหารของผู้ป่วย ถ้ามีปัญหาจะได้แกไข้ อย่างถูกต้อง 5. ทำงานร่วมกับแพทย์และพยาบาลในการใหคำปรึกษาแนะนำด้านอาหารกับผู็ป่วย
วัตถุประสงค์ของโภชนบำบัด
1.เพื่อนำความรู้ด้านโภชนศาสตร์มากำหนดอาหารเพื่อรักษาให้หายจากโรคและฟื้นตัวเร็วขึ้น 2.เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ จะเกิดตามมา เช่น ผู้ป่วยโรคอ้วน โรคที่เกิดตามมา ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น 3.เพื่อป้องกันภาวะทุพโภชนาการ การเจ็บป่วยอาจทำให้ผู้ป่วยเบื่ออาหารหรือมีการสูญเสีย สารอาหารบางชนิดมากขึ้นจนเกิดภาวะทุพโภชนาการ 4.เพื่อรักษาและส่งเสริมให้ภาวะทุพโภชนาการที่เกิดขึ้นอยู่แล้วหายไปเนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะทุพโภชนาการมาก่อน
โรคไม่ติต่อเรื้อรัง(Non-Communicale Diseases)
ซึ่งไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ไม่ติดต่อ ไม่มีตัวภาหะนำโรค แต่เป็นโรคที่เราสร้างขึ้นมาเองล้วนๆ จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
โรคหลอดเลือดสมองเเละหัวใจ
อาหารที่ทำให้ระดับไขมันไขมันสูงขึ้น
1. อาหารที่มีกรด ไขมันอิ่มตัว
พบมากในอาหาร และนํ้ามันจากพืชบางชนิด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จำพวกนม ,เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ,ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ,น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว
2. อาหารที่มี ไขมันทรานส์
พบได้ในอาหารที่มีการใช้นํ้ามันที่มีการเติม ไฮโดรเจนลงในน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว
3. อาหารที่มี คอเลสเตอรอล
พบได้ในผลิตภณัฑ์จาก เนื้อสัตว์เท่านั้น ได้แก่ ไข่แดงเนื้อสัตว์ไขมันสูง,เครื่องในสัตว์เช่นตับ,สัตว์ปีกเช่นไก่ เป็ด,สัตว์น้ำประเภทที่มีเปลือก เช่น หอย กุ้ง ปู
อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วย
1.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง 2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง 3.งดน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม 4.หลีกเลี่ยงอาหารทอด 5.หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากไข่แดง 6.ใช้น้ำมัน ในการปรุงอาหารเเต่พอควร 7.หากดื่มนมเป็นประจำควรเลือกดื่มนมประเภทไขมันต่ำ 8.ลดการกินอาหารเค็ม 9.กนผัก ผลไม้เป็นประจำ 10.หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา กาแฟ และงดการสูบบุหรี่ 11.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 12.พักผ่อนให้เพียงพอ
โรคความดันโลหิตสูง
ความดันในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวความดันเลือดปกติขณะพักอยู่ในช่วง 100-140 มิลลิเมตรปรอทในช่วงหัวใจบีบ และ 60-90 มิลลิเมตรปรอทในช่วงหัวใจคลาย คนเราจะมีแรงดันโลหิตสูงขึ้นและต่ำลงได้บ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งก็จะกลับสู่สภาพปกติ แต่ผู้ที่มี ภาวะความดันโลหิตสูงจะมีแรงดันโลหิตสูงตลอดเวลา ดังนี้นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจึง หมายถึงผู้ที่มีความดันเลือดเท่ากับหรือสูงกว่า 140/90มิลลิเมตรปรอท
อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูง 1. ควบคุมนํ้าหนัก พบว่า คนที่นํ้าหนักเกินปกติเกินปกติ จะมีโอกาสเป็นโรค ความดันโลหิตสูงมากกว่าคนที่มีนํ้าหนักปกติถึง 50%สูง เมื่อลดนํัาหนักลงความดัน โลหิตก็จะลดต่ำลงด้วย โดยเฉพาะคนที่มีประวัติครอบครัวป่วย ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหากเป็นคนอ้วนมีความจําเป็นอย่างในการควบคุมอาหารให้อยู่ในเกณฑ์ มาตรฐาน การกินอาหารที่มีไขมันสัตว์มาก ก็จะทำให้มีภาวะไขมันในเลือดสูงซึ่งเป็น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เส้นเลือดแดงแข็ง และความดันโลหิตสูงขึ้น 2. ลดการบริโภคโซเดียม เกลือ อาหารรสเค็ม เพราะนอกจาจะช่วยลดความ ดันโลหิตได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มโพแทสเซียมในเลือดด้วย การลดความเค็มในอาหาร สามารถทำได้ดังนี้ 2.1 ลดความเค็มในอาหาร ■ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหมักดองรสเค็ม เช่น ไข่เค็ม ปลาร้า ปลา เจ่าปูเค็ม ผกัดอง เต้าหูจั๊บฉ่าย เป็นต้น ■ ลดการใช้เครื่องปรุงในอาหาร เช่น ผงปรุงรส นํ้าปลา ซีอิ๊ว เกลือ ซ๊อส ปรุงรส และผงชูรส เป็นต้น 2.2 หลีกเลี่ยงอาหารสําเร็จรูป อาหารกระป๋อง และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม ไข่เค็ม เป็นต้น เลือกกินอาหารที่สดผ่านการปรุงใหม่แทน ้าจิ้มไก่ นํ้าจิ้มสุกกี้
หมูกระทะงดการกินพริกกับเกลือเมื่อกินผลไม้ 2.4 หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สารกันเสียที่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ โซเดียมเบนโซเอต 2.5 ปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ หรือสมุนไพรเพื่อเพิ่มกลิ่น รสชาติและ ความอยากอาหาร เมื่อต้องปรุงอาหารอ่อนเค็มเช่น ต้มยำ แกงเลียง แกงส้ม แกงป่า เป็นต้น 2.6 งดหรือลดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารทอด อาหารที่มีกะทิ เลือกใช้ไขมันดีในการประกอบอาหาร 2.7 งดบุหรี่ และเครื่องแอลกอฮอล์ 2.8 ควรออกกําลังกายอย่างสมํ่าเสมอ ให้เหมาะสมกับวัย
โรคอ้วน
โรคอ้วน(Obesity)
หมายถึง โรคที่เกิดจากร่างกายมี การสะสมเนื้อเยื่อไขมันมากกวา่เกณฑ์ปกติ รู้ได้อย่างไรว่า นํ้าหนักตัวเกิน หรือ เป็นโรคอ้ว้น BMI คือ ดัชนีมวลกาย BMI = นํ้าหนัก(กิโลกรัม) หาร ส่วนสูง (เมตร)2
พลังงานที่ต้องการ
สำหรับผู้หญิงที่ 1500- 1600 กิโลแคลอรี่ พลังงาน สำหรับผู้ชายที่ 1800 -2000 กิโลแคลอรี่ พลังงานสำหรับผู้ที่ต้องการลดนํ้าหนัก 1000 - 1200 กิโลแคลอรี่/วัน ลดพลังงาน 500 กิโลแคลอรี่/วัน นํ้าหนัก 0.5 กิโลกรัม/ สัปดาห์ หรือเดือนละ 2 กิโลกรัม
จานอาหารหลักเพื่อสุขภาพ
เป็นหลักการกำหนดสัดส่วนอาหารในอัตราส่วน 2:1:1 โดยการแบ่งอาหาร ในจานออกเป็น 4 ส่วน ใช้จานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 นิ้ ้ว ตักอาหารใส่จานสูงได้ ไม่เกิน ½ นิ้ว ใน 1 จานประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน ควรเลือกเป็นประเภทไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยว ประมาณ ¼ จาน โปรตีน 1 ส่วน เน้นกลุ่มไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น อกไก่ หมูสันใน ปลา เต้าหู ้และถั่วต่างๆ เป็นประจำประมาณ ¼ จาน ผัก 2 ส่วน ควรเลือกผักให้หลากหลาย สีจะเป็นผักสดหรือผักสุกก็ได ้ทำให้ได้ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ ประมาณ ½ จาน ผลไม้หวานน้อย 1 ส่วน 1 กำมือหรือ 1 จานเล็ก เช่น ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง นม 1-2 แก้ว/วัน ควรเลือกดื่มนมจืดไขมันต่ำ หรือนมถั่วเหลืองหวานน้อย เป็นต้น
ควบคุมพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน ลดการรับประทานอาหารกลุ่มพลังงานสูง กลุ่ม ข้าวแป้ง ไขมัน ควรเลือกทาน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ลดการขนมหวาน นํ้าหวาน ที่ชอบกินจุกกินจิกระหว่างมื้อ เลือกบริโภคอาหารที่มีพลังงานต่ำ ไขมันัต่ำ หวานน้อย ใยอาหารสูง เลือกดื่ม ชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นํ้าตาล ใส่นํ้าตาลเทียมแทน ใส่นมสดจืด สูตรพร่องมันเนย หรือสูตรขาดมันเนย แทนครีมเทียม เลือกดื่มนํ้าอัดลมที่ไม่มีนํ้าตาล เช่น ซีโร่ แม๊ก (แต่ไม่ควรเกิน 2 แก้วต่อวัน) เลือกเมนูผ่านการปิ้ง นึ่ง อบ ย่าง ต้ม ตุ๋น แกงไม่ใส่กะทิ มีพลังงานต่ำกว่า เมนูผ่านการทอด ผัด แกงกะทิ มีพลังงานสูง ไขมันสูง จึงควรลดหรือทานให้น้อยที่สุด เลือกรับประทานกลุ่มเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ คลอเลสเตอรอลต่ำ หลีกเลี่ยง อาหารที่มีไขมันทรานซ์ เพิ่มไขมันเลว(LDL-chol)แฝงอยู่ในขนมเบเกอรรี่ อาหารที่ผ่านนํ้ามัน ทอดซํ้า
โรคมะเร็ง
ปัญหาการกิน
1. กินครั้งละน้อย แต่บ่อยขึ้นเป็น 5-6 มือ 2. กินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว ์ได้แก่ ปลา ไก่ หมู ไข่ นม เต้าหู ้ถั่ว 3. ไข่ กินได้ทั้งไข่แดง ไข่ขาว วันละ 1-2 ฟอง 4. นม เลือกนมวัวไขมันต่ำ 5.สามารถปรุงรสด้วยมะนาวหรือผักสมุนไพรจะช่วยชูรสชาติให้ดีขึ้นได้ 6. กินอาหารแช่เย็น เช่น ไอศครีม หรืออมนํ ้าแข็ง จะช่วยบรรเทาให้อาการเจ็บแสบ ลดลง หรือดื่มนํ้าเพิ่มขึ้น ก็ช่วยได้เหมือนกันถ้ากินได้น้อย นํ้าหน้กลดให้กิน "อาหารทางการแพทย์" สามารถดื่มแทนอาหาร ปกติหรือดื่มเสริมกับอาหารปกติ ใช้ดื่มแทนอาหารทั้ง 3 มื้อ หรือดื่มเสริมบางมื้อก็ ได้ สูตรโปรตีนสูง (ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือนักโภชนาการ) กิน เฉพาะช่วงที่น้ำหนักลดมาก หรือร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปมาก
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
• อาหารเผ็ด • อาหารที่พึ่งปรุงรสเสร็จกำลังร้อนจัด • อาหารหรือผลไม้รสเปรี้ยวจัด • อาหารที่มีลักษณะแข็งที่จะทำให้เจ็บเวลาเคี้ยว
โภชนบําบัดโรคมะเร็ง
ผู้ป่วยมีปัญหาเม็ดเลือดขาวตํ่า
การกินอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดเลือดขาวต่ำกินอาหารที่มีโปรตีนสูง ในวันหนึ่งควรกินโปรตีนประมาณ 50-80 กรัม โดยปริมาณขึ้นกับนํ้าหนักตัวว่ามากหรือ น้อยตัวอย่าง เช่น นํ้าหนัก 50 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนเท่ากับ 50x1.2 ประมาณ 60 กรัมต่อวัน โปรตีน 1 ส่วนจะมีโปรตีน 7 กรัม • นมวัวไขมันต่ำ 1 แก้ว = โปรตีน 7 กรัม • เนื้อสัตว์2 ช้อนโต๊ะ = โปรตีน 7 กรัม • ไข่ 1 ฟอง = โปรตีน 7 กรัม • กุ้งตัวเล็ก 5 ตัว = โปรตีน 7 กรัม • เต้าหู้ขาวแข็ง 1/2 หลอด = โปรตีน 7 กรัม • ปลาทู 1/2 ตัว = โปรตีน 7 กรัม
ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูก
• ดื่มนํ้าใหเ้พียงพอ (ประมาณ 6-8 แก้ว) เพราะนํ้าช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่ายขึ้นการดื่มนํ้ามากขึ้นควบคู่กับผักและผลไม้ที่อุ้มนํ้าและมีใยอาหาร • กินธัญพืชที่ขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังมัลติเกรน และโฮลเกรน จะมีใย อาหารสูงซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น อาจเริ่มต้นโดยหุงข้าวเป็นข้าวกล้องและข้าว ขาวอย่างละครึ่งแทนก็ได้ • ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวอาหารหรืออ่อนเพลีย อาจนำผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น มะละกอ ฝรั่ง แอบเปิ้ล มาหั่นเป็นชิ้นคำเล็กๆ หรือปั่น แบบไม่แยกกากและไม่เติม นํ้าตาล ดื่มวันละ 1 แก้วได้
อาหารและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
อาหารที่มีไขมันมากและมีคอเลสเตอรอลสูง 2. สารก่อมะเร็ง 3. สารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม 4. ยาและเครื่องสําอางบางชนิด
แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง
• รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่น ข้าว แป้ง เนื้อสัตว์นม ไข่ ผัก ผลไม้ และไขมันแต่ละหมู่ให้หลากหลาย เพื่อให้ ได้สารอาหารครบถ้วน และลดการได้ร้บสารพิษหรือสารก่อมะเร็งในปริมาณสูง จนเป็นโทษต่อร่างกาย • รับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย คอเลสเตอรอลต่ำ โดยรับประทานเนื้อสัตวไ์ม่ติดมัน และหนัง ดื่มนมพร่องไขมัน ใชน้ํ้ามันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในการปรุงอาหาร เช่น นํ้ามันรําข้าว นํ้ามันถั่วเหลือ • รับประทานอาหารที่มีโปรตีนให้เพียงพอ จากเนื้อสัตว์นม ไข่ เนื่องจากระบบภูมิต้านทานโรคจะทำงานได้ต่อเนื่อง เมื่อมีสารโปรตีนที่มีคุณภาพ • รับประทานข้าวกล้องและถั่วเมล็ดแห้งต่างๆเป็นประจํา เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง รวมทั้งผลิตภัณฑ์ เช่น เต้าหู้ รับประทานผักและผลไม้เพิ่มมากขึ้นเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง • รับประทานอาหารสด ใหม่ สุก สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารที่ถนอมด้วยการเติมเกลือและสารเคมีเป็นประจําเช่น ปลาร้า ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไส้กรอก แหนม • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงกินสุกดิบ เช่น ลาบ ก้อย เนื่องจากพยาธิในอาหารทำให้เกิดโรคมะเร็งตับได้ • ควรปรับเปลี่ยน หมุนเวียนวิธีการประกอบอาหารอย่างถูกต้องด้วยวิธีการต้ม นึ่ง ตุ๋น อบและผัดโดยใช้นํ้ามันน้อย หลีกเลี่ยงอาหารประเภทเนื้อสัตวที่ย่าง รมควัน ทอดจนไหม้เกรียม และใชน้ํ้ามันทอดซํ้าหลายครั้ง • ดื่มนํ้าสะอาด วันละ 8-10 แกัว เพื่อช่วยให้สารเคมีที่อยูใ่นร่างกายถูกขับออกมา • รักษานํ้าหนักตัวให้เหมาะสมด้วยการรับประทานอาหารที่พอเหมาะ และออกกำลังกายเป็นประจํา • พักผอ่นให้เพียงพอ ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด • งดหรือลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล ์และงดสูบบุหรี่
โภชนศึกษาโรคมะเร็ง
ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น อาหารที่มีราขึ้น โดยเฉพาะราสีเขียว สีเหลือง จะมีสารอะฟลาทอก ซินปนเปื้อน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเป็นมะเร็งตับ 2. ลดอาหารไขมัน อาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ และต่อม ลูกหมาก 3. ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้งย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท-ไนไตรท์ อาหาร เหล่านี้จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้ใหญ่ 4. ไม่รับประทานอาหารสุกๆดิบๆ อาหารประเภทนี้ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ปลาร้า ของดองสด ฯลฯ จะทำใหเ้ป็นโรคพยาธิใบไมใ้นตับ และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทางท่อนํ้าดีในตับ 5. หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ สูบบุหรี่จะทำใหเ้สี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด กล่องเสียง ฯลฯ 6. หยุดการเคี้ยวหมาก ยาสูบ เพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก และคอ 7. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มแอลกอฮอล์จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ ถ้าทั้งดื่มและสูบบุหรี่ จะเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็ง ช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียงและหลอดอาหาร
โรคเบาหวาน
3. รู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
1. เลือกคาร์โบไฮเดรตชนิดดีกิน เพราะมีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมีใยอาหาร และมีค่าดชันีนํ้าตาลต่ำ <55 ส่ง ส่งผลต่อการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพดขนมปังโฮลวที โฮลเกรน สปาเก็ตตี้วุ้นเส้น มักกะโรนี ถั่วธัญัชพืช 2. เลือกกินชนิดไขมันที่ช่วยลดคอเรสเตอรอลที่ไม่ดี(LDL) โดยไม่ลดคอ เรสเตอรอล(HDL) ไดแ้ก่ นํ้ำมันรําข้าวน้ำมันมะกอกดังนั้น การกินไขมันต้องคำนึงถึงชนิดและปริมาณ ต้องกินน้อยๆวันหนึ่งกินไม่เกิน 6 ช้อนชา และ หลากหลายชนิด
กินอาหารที่มีแอนตี้ออกซิเดนซ์ เช่น ผักผลไม ้5 สี ผักมื้อละ 2 ทัพพี ผลไม้ มื ้ละ 1 ส่วน 4. กินอาหารที่มีจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น โยเกิร์ตสูตรไขมันต่ำ นํ้าตาลน้อย
4. รู้จักเลือก รู้จักลด และงดอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพ
1. ลดและงดคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี เพราะมีสารอาหารต่่ำ มีค่าดัชนีนํ้าตาลสูง และทำให้ระดับนํ้าตาลในเลือดสูงอยา่งรวดเร็ว เช่น นํ้าตาล เครื่องดื่มรสหวาน 2. ลดและงดไขมันที่ได้จากผลิตภัณฑ์สัตว์และไขมันทรานซ์ เช่น หมูสามชัน หนังหมู/ไก่ เป็นอาหารที่มีไขมนัทรานส์เพราะจะเพิ่ม LDL และลด HDL เช่น มาร์การีน เนยขาว เนยเทียมคุกี้ พาย ครัวซองค์ ขนมอบกรอบ และลดอาหารที่ทอดต่างๆเช่น ปาท่องโก๋ กล้วยแขก ไก่ทอด หมูทอด ลูกชิ้นทอด 3.ลดอาหารหมักดองและอาหารเค็มจัด
1.เรียนรู้และนับคาร์บกับอาหารแลกเปลื่ยน
การนับคาร์บ หมายถึง การนับปริมาณสารอาหารคาร์โบไฮเดรทในอาหารที่กินเขา้ไปทำใหม่ผลต่อระดับนํ้าตาลในกระแสเลือด กลุ่มอาหารที่ให้สารคาร์โบไฮเดรท ได้แก่
กลุ่มข้าว-แป้ง 1 คาร์บ ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ คาร์โบไฮเดตร 18 กรัม โปรตนี 2 กรัม เช่นข้าวสวย 1 ทัพพี .เส้นใหญ่ 1 ทัพพี,ข้าว ขนมจีน 1 ทัพพี,วุ้นเส้น 1 ทัพพี
,เส้นใหญ่ 1 ทัพพี , ขนมปัง 1 แผ่น
5. กินโดยควบคุมปริมาณอาหารจากพลังงานที่ต้องการในแต่ละวัน
ระดับการใช้แรงงานของแต่ละบุคคลไม่เท่ากันขึ้นกับแต่ละกิจกรรมการ ออกแรง/ออกกำลังกาย
2.เลือกกินเนื้อสัตว์อย่าฉลาด
●กินโปรตีน 0.8 กรัม/นํ้าหนักตัว (กิโลกรัม) เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ ● กินเนื้อสัตวท์ี่มีไขมนัต่าํ และมีแคลเซียม เหล็ก สังกะสี เช่น ปลา ● หลีกเลี้ยงเนื้อสัตวที่ไขมนัสูง เช่น หมูสามชั้น กุนเชียง หนงัหมู หมยอู ไส้กรอก และการปรุงโดยใช้นํ ้ามนัมาก