Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4 การป้องกันและช่วยเหลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุ, นางสาวธิดารัตน์…
บทที่ 4 การป้องกันและช่วยเหลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุ
การจมน้ำ (Drowning)
ชนิดการจมน้ำ
1.จมน้ำเค็ม
น้ำเค็มเป็น Hypertonic solution
ส่งผลทำให้เกิด
เกิดภาวะ Pulmonary edema หรือ ภาวะน้ำท่วมปอด
เกิดภาวะ Hypovolemia หรือ ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทำให้เกลือแร่ในร่างกายสูงขั้น เกิดอาการ ช็อค หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดปกติ
2.จมน้ำจืด
น้ำจืดเป็น Hypotonic solution น้ำจะซึมเข้าร่างกายสู่ปอดได้เร็ว
ส่งผลทำให้เกิด
เกิดภาวะ Hemolysis เม็ดเลือดแตก
เกิดภาวะ Hypervolemia หรือ ภาวะน้ำเกินทำให้มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย
ความหมาย
Drowning คือ ผู้ที่เสียชีวิตจากการจมน้ำ
Near-drowning คือ ผู้ที่จมน้ำแต่ยังไม่เสียชีวิตทันที บางรายอาจเสียชีวิตในช่วงเวลาสั้นๆ
การพยาบาลที่สำคัญ
ข้อห้าม
ห้ามอุ้มเด็กพาดไหล่ เพราะน้ำที่ออกมาอาจมาจากกระเพาะไม่ใช่ปอด และทำให้เกิดรอยซ้ำได้
ในกรณีที่เด็กไม่รู้สึกตัว
1.เช็คลมหายใจ และหัวใจว่าเต้นอยู่รึป่าว (ถ้าไม่มีให้เรียกรถพยาบาล)
2.ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน เช่น นวดหัวใจสลับกับการช่วยหายใจ
ในกรณีที่เด็กรู้สึกตัว
2.รีบเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ผ้าคลุมตัวเพื่อให้เกิดความอบอุ่น
3.จัดท่านอนตะแคงกึ่งคว่ำ
1.รีบนำตัวเด็กขึ้นฝั่งโดยเร็วที่สุด
4.รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
สำลักสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
การพยาบาล
กรณีเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
3.พลิกเด็กให้หงายขึ้นบนแขนอีก 1 ข้าง โดยให้ศีรษะเด็กอยู่ต่ำ และใช้2นิ้วกดกระดูกหน้าอกลากเส้นมาระหว่างหัวนม
4.ทำซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุด
2.เคาะหลัง 5 ครั้งติดต่อกัน โดยเคาะระหว่างกระดูกสะบักทั้ง 2 ข้าง
5.หากเด็กหมดสติให้ประเมินการหายใจและให้การช่วยเหลือการหายใจสลับการเคาะหลังและกดหน้าอก
1.วางเด็กคว่ำลงบนแขน วางแขนบนหน้าตัก ให้ศีรษะเด็กอยู่ต่ำ
กรณีเด็กอายุมากกว่า 1 ปี
2.ถ้าเด็กมีอาการหายใจลำบาก ซีด เขียว ให้ทำการกดท้องโดยยืนด้านหลังเด็กและอ้อมแขนมาด้านหน้า กำมือเป็นกำปั้นวางกึ่งกลางหน้าท้องเหนือสะดือใช้แรงกดเข้าด้านใน เฉียงขึ้นบน
3.กดซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุด
4.หากหมดสติให้ประเมินการหายใจและให้การช่วยเหลือการหายใจสลับกับการกดหน้าท้อง
1.กระตุ้นให้เด็กไอเอง
5.การกดท้องเด็กในรายที่หมดสติให้ทำท่านอนราบ นั่งคร่อมตัวเด็กวางส้นมือบนท้องเด็กและกดด้วยเข้าด้านในพร้อมเปิดปากดูสิ่งแปลกปลอม
วิธีของ Heimlich
1.สามารถช่วยเหลือในผู้ใหญ่ หรือ เด็กโค
2.ทำในท่านั่ง หรือยืนโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยใช้แขนสอด 2 ข้างดอบผู้ป่วยไว้ มือซ้ายประคองมือขวากำใต้ลิ้นปี่ ดันมือขวาเข้าลิ้นปี่รวดเร็วเพื่อเกิดแรงดันในช่องท้อง
ปัญหาที่เกิดหลังการสำลัก
2.เกิดการอุดกั้นหลอดลมส่วนปลาย ทำให้เกิดปอดแฟบ ปอดพอง หอบหืด
3.เกิดการอุดกั้นการระบายเสมหะ เกิดการอักเสบติดเชื้อได้
1.เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะเด็กเล็กมีอันตรายถึงชีวิตเพราะทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก
ความแตกต่างระหว่างการกดหน้าอก
เด็กโต
ตำแหน่งที่กดคือ กึ่งกลางท่อนล่างกระดูกอก
กดโดยใช้มือข้างเดียว อีกข้างเปิดทางเดินหายใจ
ลึก 5 ซม
100-120 ครั้ง/นาที
ผู้ใหญ่
ตำแหน่งที่กดคือ กึ่งกลางท่อนล่างกระดูกอก
กดโดยใช้ 2 มือ
ลึกประมาณ 5-6 ซม (2.0-2.4 นิ้ว)
100-120 ครั้ง/นาที
ทารก
กดโดยใช้นิ้วมือ 2 นิ้ว มืออีกข้างเปิดทางเดินหายใจ
ลึก 4 ซม
ตำแหน่งที่กดคือ กึ่งกลางท่อนล่างกระดูกอก
100-120 ครั้ง/นนาที
คำแนะนำ
1.เลือกชนิดอาหารให้เหมาะสมกับวัย เพื่อป้องกันการสำลัก ไม่ควรป้อนขณะที่เด็กวิ่งเล่น
2.เลือกชนิด ขนาด รูปร่างให้เหมาะสมกับวัยเพื่อป้องกันการเกิดอันตราย
การได้รับสารพิษ(Poisons)
การประเมินอาการเมื่อได้รับสารพิษ
เพ้อ ชัก หมดสติ อัมพาตบางส่วน รูม่านตาขยายผิดปกติ
หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก ปลายมือปลายเท้าเขียว หายใจมีกลิ่นเคมี
ประเมินอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง นำ้ลายฟูมปาก รอยไหม้บริเวณริมฝีปาก
ตัวเย็น เหงื่อออก มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง
การพยาบาลเด็กที่ได้รับสารพิษ
ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตรเลียม
การปฐมพยาบาล
รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
อย่าทำให้อาเจียน
ระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาลถ้าผู้ป่วยอาเจียน ให้จัดศีรษะต่ำเพื่อป้องกันการสำลักเข้าปอด
อาการแสดง
อาจเกิด cyanosis แสบร้อนริมฝีปาก คลื่นไส้ อาเจียน
หายใจมีกลิ่นน้ำมัน ขาดออกซิเจนได้
ได้รับยาแก้ปวด ASA
อาการแสดง
หูอื้อ เหมือนมีเสียงกระดิ่งในหู การได้ยินลดลง
เหงื่อออก ปลายมือปลายเท้าแดง
การปฐมพยาบาล
ทำให้อาเจียน
ใชสารดูดซับพิษ
ทำให้สารพิษเจือจาง
ได้รับสารกัดเนื้อ
อาการแสดง
ไหม้พอง ร้อนริมฝีปาก คลื่นไส้ อาเจียน
อาจเกิดภาวะ shock เช่น ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น
การปฐมพยาบาล
ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
อย่าทำให้อาเจียน
รีบนำส่งโรงพยาบาล
ได้รับสารพิษการหายใจ
ก๊าซที่ทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ทำให้เกิดการระคายเคือง คอ หลอดลม ปอด ถ้าได้รับมากอาจตายได้
ก๊าซที่ทำให้เกิดอันตรายทั่วร่างกาย
เช่น ก๊าซอาร์ซีนมีกลิ่นคล้ายกระเทียม พบในโรงงานอุตสาหกรรมทำแบต
ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเป็นเลือด
ก๊าซที่ทำให้ขาดออกซิเจน
เช่น คาร์บอนมอนออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน
ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมหมดสติ อาจถึงแก่ชีวิตได้
ได้รับพิษทางปาก
1.ทำให้พิษเจือจาง หรือให้นม
2.นำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างกระะเพาะ
3.ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเพื่อเอาสารพิษออกจากร่างกาย
4.ใช้สารดูดซับสารพิษ เพื่อลดการดูดซึมเข้าร่างกาย สารที่ใช้ดี คือ Activate charcoal ที่เป็นผงสีดำ
การจำแนกสารพิษ
2.ชนิดทำให้ระคายเคือง(Irritants) คือ เกอดการปวดแสบ ปวดร้อน และอักเสบต่อมา เช่น ฟอสฟอรัส สารหนู อาหารพิษ
3.ชนิดที่กดระบบประสาท(Nacotics) คือ ทำให้หมดสติ หลับลึก ปลุกไม่ตื่น ม่านตาหดเล็ก เช่น ฝิ่น มอร์ฝีน พิษงูบางชนิด
1.ชนิดกัดเนื้อ (Corrosive) คือ ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกาย ไหม้ พอง เช่น พวกกรดด่าง น้ำยาฟอกขาว
4.ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท(Dililants) คือ เกิดอาการเพ้อคลั่ง ใบหน้าแดง ชีพจรเต้นเร็ว รูม่านตาขยาย เช่น ยาอะโทรปีน ลำโพง
ความหมาย
สารเคมีทุกชนิดทุกสถานะเข้าสู่ร่างกายดดยการสัมผัส รับประทาน การฉีดแล้วเกิดอันตรายต่อร่างกาย
นางสาวธิดารัตน์ ขยันหา 36/1 เลขที่ 50 รหัสนักศึกษา 612001051