Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ใหญ๋ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโ…
การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ใหญ๋ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโรค
ภาวะภูมิไวเกิน
Hypersensitivity
การตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้อย่างรุนแรง
Allergic rhinit
Asthma
Dermatitis
กระบวนการเกิด
1.การถูกกระตุ้นดวยสารที่ไปสัมผัส เกิด IgE antibody
การแสดงอาการที่สัมพันธ์กับการได้รับสารก่อภูมิแพ้
sneezing
asthma
anaphylaxis
ความผิดปกติจากการแพ้
แพ้อาการ
โรคผิวหนังชนิดตุ่มแดงคัน
อาการคัน
Allergic rhinitis
Anaphylaisx
พยาธิสรีรวิทยา
type 1 Immediate Allergy or Anaphylaxis
เกิดขึ้นทันทีทันใด
เกิดขึ้นเฉพาะที่ Urticaria, food, allergy, hay fever
เกิดขึ้นในระบบการไหลเวียน
type 2 Antibody dependence or Cytotoxic
IgG IgM ถูกทำลาย
Phagocytosis
Transfusion reaction : ซีดจากเลือดออก, Glomerulonephritis, Myastenia Gravis
type 3 Immune complex
Antigen - Antibody complexs
Systemic : Acute serum sickness ( หลอดเลือดอักเสบ,ไตอักเสบ, ข้ออักเสบ, SLE)
Localized : Arthus reaction
type 4 Cell - mediated or delayed
Delayed - type hypersensitivity : Tuberculin reaction
Direct cell cytotoxicity : Intrecellular Infection
การวินิจฉัย
skin test
RAST
Immuno CAP FEIA
Pulmonary function test
ตรวจหาระดับ IgE ในเลือด
การรักษา
หลีกเลี่ยงสารก่อพิษ
พิสูจน์สารก่อภูมิแพ้ ประวัติการเป็น ระยะเวาที่เป็น สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย
การควบคุมสิ่งแวดล้อม
ยา Diphenhydramine, Centrizine, Loratadine,
ภาวะพร่องภูมิคุ้มกัน
Acquired Immune Deficiency Syndrome : AIDS
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
เชื้อ Human Immunodeficiency Virus
การติดเชื้อที่ T-helper cell (T4 lymphocyte), Macrophage
CD4+T helper cell น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. เกิดการติดเชื้ฉวยโอกาสได้ง่าย
ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อ : ปริมาณเชื้อ การมีบาดแผล สุขภาพของผู้รับเชื้อ จำนวนครั้งของการได้รับเชื้อ การติดเชื้ออื่นๆ
การติดต่อ
เพศสัมพันธ์ เลือด ใช้เข้มฉีดยาร่วมกัน
ตรวจพบในน้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด น้ำนม และน้ำไขสันหลัง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
จำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดลดลง
จำนวนและร้อยละของ lymphocyte ลดลง
สัดส่วนของ CD4+/CD8+ เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน (ปกติ 2.0 เหลือ 0.5)
การตรวจนับ CD4+T helper cell ลดลง (CD4+ < 500 เซลล์/uL)
ระดับ Ig เพิ่มขึ้น
ระยะของโรค
Primary HIV infection: 12-20 สัปดาห์ CD4-Tจะลดลงหลังจากนั้นจะเพิ่มจนสู่ภาวะปกติ (500-1300 cells/mm3) อาจจะเกิดอาการของการติดเชื้อ
Early HIV infection: CD4-T อยู่ในเกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการ
Early-stage HIV disease: CD4 <500 cells/mm3ผู้ป่วยยังไม่มีอาการ
Middle-stage HIV disease: 10 ปี ระดับCD4+ T 200 - 500 cells/mm3 เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ราในปาก งูสวัด วัณโรค
Advanced HIV disease: CD4+ T-cell ต่ำกว่า 200 cells/mm3 เสี่ยงต่อการติดเชื้อรา เชื้อ PCP
Late-stage HIV disease: ระดับเซลล์ CD4+ T ต่ำกว่า 50 cells/mm3;
เสี่ยงต่อการติดเชื้อ MAC, CMV, เชื้อราในสมอง cryptococcal meningitis
พยาธิสภาพและอาการทางคลินิก
Acute HIV infection (2-3 สัปดาห์หลังรับเชื้อ ก่อนที่จะสร้าง Antibody มีอาการไข้ทั่วไป และหายไปเอง 2-3 สัปดาห์)
Persistent generalized lymphadenopathy (ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 2 ตำแหน่ง และโตนานกว่า 3 เดือน)
Progression to AIDS (ตรวจพบ Viral antigen และ antibody ภายใน 6 เดือน อาจกินเวลาถึง 10 ปี โดยไม่มีอาการ จะมีอาการเมื่อ CD4+lymphocyte <500 เซลล์/uL)
Opportunistic Infection (มีการติดเชื้อฉวยโอกาสในหลายอวัยวะได้แก่ ปอด ระบบประสาท ทางเดินอาการ ผิวหนัง)
เชื้อฉวยโอกาส
Pneumocystis carinii Pneumonia
Tuberculosis
Cytomegalovirus (CMV)
Mycobacterium Avium Complex (MAC or MAI)
Cryptococcal Disease
Herpes
Candida albicans
AIDS-related malignancies : Kaposi's sarcoma, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgkins, Cervical Carcinoma
การรักษา
ใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ 2-3 ชนิดร่วมกัน
การรักษาภาวะสุขภาพที่ดีไว้
ติดตามความก้าวหน้าของโรค และควรทำซ้ำทุก 6-12 เดือน
CD4 < 200 จำเป็นต้องได้รับยาป้องกันหรือยารักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาส : INH ใช้ป้องกันหรือรักษาวัณโรค
การป้องกัน
การไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอดส์หรือป่วยเป็นเอดส์
การไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกับผู้อื่น
การตรวจเลือดและขอรับบริการปรึกษาเรื่องโรคเอดส์ก่อนแต่งงานและก่อนที่คิดจะมีบุตร
หลีกเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็น
การใช้ถุงยางอนามัย
ภาวะภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
Systemic Lupus Erythematosus (SLE)
โรคที่มีการอักเสบและมีการทำลายเนื้อเยื่อหลายอวัยวะ ข้อ (joint), ผิวหนัง (skin), ไต (kidneys), หัวใจ (heart), ปอด (lungs), หลอดเลือด (blood vessels), และสมอง (brain)
ผู้หญิง อายุระหว่าง 20-45 ปี มีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายประมาณ 9-10 เท่า
พบได้ในทุกเชื้อชาติ จะพบในคนผิวดำและผิวเหลืองมากกว่าผิวขาว
สาเหตุ
auto-antibodies สัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ ฮอร์โมนเพศหญิง แสงแดด ความเครียด ยาบางชนิด การติดเชื้อบางชนิด
ร่างกายสร้าง anti-DNA antibodies
B-Lymphocyte ถูกกระตุ้นจาก Antigen กลุ่มแบคทีเรีย ให้สร้าง Antibodies ที่หลากหลายชนิด
Immune complex ในกระแสเลือดยึดเกาะที่อวัยวะทั่วร่างกาย
อาการ
ผื่นแดงที่หน้าบริเวณโหนกแก้มและจมูก (butterfly or malar rash)
ผมร่วง
ปวดข้อ ข้ออักเสบ ข้อบวมและปวด
Glomerulonephritis
ไข้ อ่อนเพลีย ปวดข้อปวดกล้ามเนื้อ
แน่นหน้าอก ซีด ปลายนิ้วจะมีสีม่วงอ่อน บางรายปวดหัว ซึม ชัก
การวินิจฉัย
Antinuclear antibody
การตัดชิ้นเนื้อ biopsy ที่ผิวหนัง
การตรวจหา VDRL ให้ผลบวก
การตรวจ CBC อาจจะพบว่าซีด หรือเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกร็ดเลือดต่ำ
การตรวจปัสสาวะพบว่ามีไข่ขาวรั่วมากกว่า 0.5กรัม ต่อวันและบางรายอาจจะพบเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ
ตรวจพบ LE cell ในเลือด
ตรวจ Erythrocyte sedimentation rate (ESR) ถ้ามีการอักเสบมากค่า ESR จะสูงค่าตัวนี้ใช้ติดตามการรักษา
เจาะหา Complement levels คือสารเคมีในร่างกายถ้าโรคเป็นมากค่านี้จะต่ำ
การรักษา
Nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDS) : Iprobrufen, Naproxan, Acroxia
ยารักษามาลาเรีย (Chloroquine, HyhroChloroquine ใช้รักษาอาการเพลีย ปวดข้อ ผื่น และปอดอักเสบจาก SLE ผลข้างเคียงอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่จอรับภาพ (Retina) การมองเห็นผิดปกติไป
Steroid
Immunosuppressive เช่น methotrexate, cyclophosphamide
การปฏิบัติตัว
การรับประทานยาตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
หลีกเลี่ยงแสงแดด
ทำจิตใจให้สบาย ไม่ควรเครียด ถ้อถอย เศร้าใจ หรือกังวลใจ
เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง
เข้าใกล้ผู้อื่นที่กำลังเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคหวัด พยายามไม่อยู่ในที่ผู้คนแออัด
ไปรับการตรวจตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาบ่อย ๆ
ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ไม่ควรเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง
ถ้ามีอาการผิดปกติ มีไข้ หรือไม่สบาย ควรรีบกลับไปปรึกษาแพทย์ผู้รักษาทันที
ปรึกษาแพทย์เรื่องการวางแผนตั้งครรภ์
Rheumatoid Arthritis
สาเหตุ
ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเยื่อหุ้มข้อ (Synovium) เป็นผลทำให้เกิดการอักเสบและบวม
อาจทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกของข้อต่อรวมไปถึงเส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูก จากนั้นข้อต่อก็จะค่อย ๆ ผิดรูปหรือบิดเบี้ยว
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่สัมพันธ์กับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมร่วมกับการกระตุ้นจากการติดเชื้อประเภทต่างๆ เชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ปวดดำเนินอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
มักเริ่มที่ข้อมือข้อนิ้วมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อนิ้วเท้า ถัดมาคือข้อไหล่ ข้อศอก
เป็นทั้ง 2 ข้างพร้อม ๆ กัน หรือในเวลาไล่เลี่ยกัน
บางรายจะมีเสียงแหบและเจ็บที่คอหอย เนื่องจากข้อต่อของกระดูกกล่องเสียงก็อักเสบด้วย
ตอนเช้าตื่นนอนขึ้นก็จะรู้สึกปวดร่างกาย ฝืดไปหมดทุกข้อ มีอาการเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า รวมไปถึงอาจพบว่ามีน้ำหนักตัวลดลงและมีไข้อ่อน ๆ
ปุ่มรูมาตอยด์ (Rheumatoid Nodules) ปุ่มเนื้อนิ่มๆ ที่มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อย ๆ
การวินิจฉัย
ตรวจร่างกายโดยตรวจดูอาการบวม รอยแดง และความร้อน
ตรวจความไวของเส้นประสาทและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
การตรวจเลือด ค่าการอักเสบ (Erythrocyte Sedimentation Rate inflammation: ESR) หรือหาค่าโปรตีนในร่างกายที่เป็นตัวบ่งบอกว่ามีการอักเสบขึ้นในร่างกาย (C-reactive protein: CRP)
ตรวจเอกซเรย์ MRI Ultrasound เพื่อติดตามการดำเนินของโรค และความรุนแรงของโรค โดยจะทำเฉพาะในรายที่มีความจำเป็นเท่านั้น
The American Rheumatism Association ปี 1998
ต้องมีอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัย 4 ข้อจากทั้งหมด 7 ข้อ
โดยข้อที่ 1-4 ต้องเป็นมานานอย่างน้อย 6 สัปดาห์
1.ข้อฝืดตึงตอนเช้า นานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ในโรคข้ออักเสบทั่วไป ไม่เฉพาะโรครูมาตอยด์
2.มีอาการข้ออักเสบจากการตรวจร่างกาย ตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป (metacarpal joints/MCP และ metatarsal joints/MTP ข้อกลางของนิ้วมือและเท้า; proximal interphalangeal joints)
มีอาการข้อนิ้วมือ หรือข้อมืออักเสบอย่างน้อย 1 ข้อ
มีอาการข้ออักเสบแบบสมมาตร (symmetrical arthritis)
ตรวจพบปุ่มรูมาตอยด์บริเวณใกล้ข้อ bony prominence หรือ extensor surface ของแขนขา
ตรวจพบสารรูมาตอยด์(rheumatoid factor) ในเลือด
7.การเปลี่ยนแปลงของกระดูกในข้อบริเวณมือ จากภาพถ่ายรังสีการตรวจหาการสึกกร่อนของกระดูกที่อยู่ในข้อ( marginal bone erosion)
การรักษา
ยาบรรเทาอาการปวดรูปกิน ได้แก่ NSATD หรือ tramadol หรือ tramadol + acetamenophen
ยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค (Disease Modifying Anti-rheumatic Drugs หรือ DMARDs) ได้แก่ methotrexate, sulfasalazine, หรือยาต้านมาลาเรีย (chloroquine, hydroxychloroquine)
การผ่าตัด หากการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลในการป้องกันและชะลอการถูกทำลายของข้อ
การผ่าตัดเยื่อหุ้มข้อ (Synovectomy) การเย็บซ่อมเส้นเอ้นรอบข้อต่อ (Tendon Repair) การผ่าตัดรวมข้อ (Joint Fusion) และการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม (Total Joint Replacement)
การพยาบาล
การประคบน้ำอุ่น โดยใช้เวลาประคบประมาณ 15 นาที ต่อจากนั้นก็ต้องให้ผู้ป่วยพยายามกัดฟันขยับข้อต่างๆ ที่ปวดหรือบวมอย่างช้า ๆ
ค่อยๆ ให้ข้อมีการเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่
ผู้ป่วยควรพยายามขยับข้อต่างๆ อย่างช้าๆ ท่าละ 10 ครั้ง แล้วทำซ้ำใหม่ทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บปวดทรมานในระยะยาวได้ดีมาก
บริหารร่างกายเพื่อให้ข้อต่อมีความยืดหยุ่น
การใช้อุปกรณ์ช่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ควรหลีกเลี่ยงอาหาร ได้แก่อาหารที่มีผลกระตุ้นให้อาการกำเริบ คือ ผลิตภัณฑ์นมทุกชนิด ทั้งจากนมวัวและนมแพะ ข้าวโพด เนื้อสัตว์ทุกชนิด ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวราย ไข่ ผลไม้ตระกูลส้ม มันฝรั่ง มะเขือเทศ ถั่ว กาแฟ
อาหารบางชนิดที่อาจจะกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ในบางคน แต่ไม่กระตุ้นอาการในคนกลุ่มใหญ่ เช่น เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ กล้วย ช็อกโกแล็ต มอลต์ ไนเตรต หอมใหญ่ ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง น้ำตาลอ้อย และเครื่องเทศบางชนิด
ภาวะแทรกซ้อน
Osteoporposis
ตาแห้งและปากแห้ง
ติดเชื้อ
Carpal Tunnel Syndrome
โรคปอด
Lymphoma