Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6 อาหารที่เหมาะสมสำหรับกับบุคคล ในภาวะและวัยต่างๆ - Coggle Diagram
บทที่ 6 อาหารที่เหมาะสมสำหรับกับบุคคล ในภาวะและวัยต่างๆ
หญิงตั้งครรภ์
สารอาหารที่ควรได้รับในขณะที่ตั้งครรภ์
พลังงาน
การตั้งครรภ์ครบ 40 สัปดาห์หรือ 260 วัน ต้องใช้พลังงานถึง 80,000 กิโลแคลอรี่ หญิงปกตที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ต้องการพลังงาน 1750 กิโลแคลอรี่ กระทรวง สาธารณสุข แนะนําควรเพิ่มอีกวันละ 300 กิโลแคลอรี่
โปรตีน
ร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อสร้างเนื้อเยื่อทั้งกล้ามเนื้อและสมองของเด็กแนะนําให้ได้โปรตีนเพิ่มอีกวันละ 25 กรัม
ธาตุเหล็ก
แนะนําให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาเม็ดธาตุ เหล็กเสริมวันละ 60 มิลลิกรัม
แคลเซียม
มีความสำาคัญต่อพัฒนาการและ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และการรักษาปริมาณ มวลกระดูกของมารดา
สังกะสี
ภาวะขาดสังกะสีขณะตั้งครรภ์ ทําให้ทารก ในครรภ์เจริญ เติบโตช้า นํ้าหนักแรกคลอดตํ่า การพัฒนาระบบประสาทและพฤตกิรรมบกพร่อง และส่งผลต่อมารดาทำให้คลอดก่อนกำหนด
ไอโอดีน
ภาวะขาด เสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกตาย ขณะคลอด หรือมีความผิดปกตอของสมองและระบบประสาท ควรได้ ไอโอดียเพิ่มวันละ 50 ไมโครกรัม
วิตามินบีหนึ่ง
ควรได้รับเพิ่มขึ้นอีกวันละ 0.3 มิลลิกรัม
วิตามินบีหก
ช่วยในการเผาผลาญและสังเคราะห์ กรดอะมิโน ช่วยสังเคราะห์ heme ปริมาณที่ควรได้รับเพิ่มเป็น 0.6 มิลลิกรัม
วิตามนิโฟลาซิน
ถ้าขาดจะส่งผลให้เด็กทารกที่ คลอดออกมาพิการทางสมอง หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวันละ 500 ไมโครกรัม
อาหารสําหรับหญิงตั้งครรภ์
อาหารกลุ่มข้าว แป้งวันละ 9 ทัพพี
ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ขนมจีน เผือกมัน ขนมปัง
อาหารกลุ่มผัก วันละ 6 ทัพพี
กะหลํ่าปลี คะน้า ฟักทอง ตําลึง ผักบุ้ง
อาหารกลุ่มผลไม้ วันละ 5 ส่วน
กล้วยน้ำว้า มะละกอสุก สับปะรด ส้ม โดยเลือกกินผลไม้หลากหลายตามฤดูกาล
อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์วันละ 12 ช้อนกินข้าว
ปลาทู ปลาดุก ปลาช่อน ไข่ เนื้อหมู เนื้อไก่ เต้าหู้
อาหารนมและผลติภัณฑน์ม วันละ 3 แก้ว
นมสด นมเปรี้ยว ไอศกรีม
อาหารกลุ่มไขมัน วันละ 5 ช้อนชา
นํ้ามันพืช นํ้ามัน จากสัตว์ หัวกะทิ เนยเทียม ควรจํากัดนํ้ามันในการปรุงอาหาร
หญิงให้นมบุตร
โภชาการสำหรับหญิงให้นมบุตร
พลังงาน
หญิงให้นมบุตรต้อง ได้รับพลังงานเพิ่มอีกวันละ 500 กิโลแคลอรี่
โปรตีน
ต้องเพียงพอในการสร้างน้ำนมให้กับทารกและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆที่สูญเสีย
วิตามิน
วิตามินเอ
ได้รับวิตามินเอเพิ่มขึ้นอีกวันละ 375 ไมโครกรัม วิตามินเอจากไข่แดง ตับสัตว์ ผัก ใบเขียว และผักสีเหลือง
วิตามินดี
หญิงให้นมบุตรได้รับเท่าปกติก่อนตั้งครรภ์ซึ่งได้ จากไข่แดง ตับปลา นํ้านม
วิตามิน บี1
ควรได้เพิ่มอีก 0.3 มิลลิกรัม ซึ่งได้จากเนื้อ หมู ถั่วเมล็ดแห้ง
วิตามิน บี2
หญิงให้นมบุตรควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 0.5 มิลลิกรัมซึ่งได้จากเนื้อสัตว์ตับ ไข่ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว
วิตามินซี
ควรได้รับเพิ่มอีกวันละ 35 มิลลิกรัม
4.เกลือเเร่
ธาตุเหล็ก
ควรได้รับธาตุเหล็กจากอาหารวันละ 15 มิลลิกรัม ซึ่งได้จากการกินเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว
แคลเซียม
แม่ต้องการแคลเซียมเท่าปกติ ซึ่งได้ จากการดื่มนํ้ามัน ปลาเล็กน้อยหรือปลาที่กินได้ทั้งกระดูก
ไอโอดีน
ควรได้รับไอโอดีนเพิ่มอีกวันละ 50 ไมโครกรัม ซึ่งได้จากการกินอาหารทะเล เช่น หอย ปู กุ้ง ปลา
อาหารสำหรับหญิงให้นมบุตร
อาหารกลุ่มข้าว-แป้ง กินวันละ 9 ½ ทัพพี
อาหารกลุ่มผัก กินวันละ 7 ทัพพี
อาหารกลุ่มผลไม้ กินวันละ 7 ส่วน
อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ กินวันละ12 ส่วน
อาหารกลุ่มนมและผลิตภัณฑ์นม กินวันละ 3 แก้ว
อาหารกลุ่มไขมัน กินวันละ5 ช้อนชา
ทารก
โภชนาการสำหรับทารก
พลังงาน
เพื่อการเจริญเติบโตของทารก สารอาหารที่ให้พลังงานได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน ทารกอายุ 6 – 11 เดอืน ควรได้รับวันละ 800 กิโลแคลอรี่
โปรตีน
ใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 15 กรัม พบ มากในอาหารพวกเนื้อสัตว์ นม ผลิตภัณฑ์นม
วิตามินเอ
ทารกอายุ 6 – 11 เดือน ควรได้รับวันละ 400 ไมโครกรัม พบมากในตับ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ผักใบเขียว ผักและ ผลไม้ที่มีสีเหลือง
วิตามินดี
ทารกอายุ 6-11 เดือน ควร ได้รับวันละ 5 ไมโครกรัม พบมากในไข่แดง ตับปลา นํ้านม ปลาซาดีน ปลาทู
วิตามินอี
ทารกอายุ 6-11 เดือน ควร ได้รับวันละ 5 มิลลิกรัม พบในนํ้ามันพิช ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ผักใบเขียว
วิตามินซี
ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรได้รับวันละ 35 มิลลิกรัม พบมากในมะขามป้อม มะระขี้นก
วิตามินบี
วิตามินบี1
เด็กอายุ 1-3 ปีควรได้รับวิตามินบี1 วัน ละ 0.5 มิลลิกรัม ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบมากในข้าวกลอ้ง เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ รําข้าว เมล็ดธัญพืช งา
วิตามินบี 2
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบ มากใน นม เนย ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว
วิตามินบี 6
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบ มากใน เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ข้าวกล้อง นม ไข่แดง ผักใบเขียว
วิตามินบี 12
เด็กอายุ 1-3ปี ควรได้รับวันละ 0.9 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 1.2 มิลลิกรัม
แคลเซียม
ควรได้รับวันละ 270 มิลลิกรัม พบ มากในนม ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง ผักใบเขียว
ฟอสฟอรัส
ควรได้รับวันละ 275 มิลลิกรัม พบมากในเนื้สัตว์ นม ไข่ ถั่วต่างๆ
ไอโอดีน
ควรได้รับวันละ 90 ไมโครกรัม พบมาก ในอาหารทะเล เกลืออนามัยที่เสริมไอโอดีน
ธาตุเหล็ก
ควรได้รับวันละ 9.3 มิลลิกรัม พบมากใน ตับ เลือด เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่วเมล็ดแห้ง
สังกะสี
ควรได้รับวันละ 3 มิลลิกรัม พบมากในอาหาร ทะเล ตับ ไข่แดง นม เมล็ดธัญพืช
ชนิดอาหารที่ให้ทารกตามวัย
ทารกอายุ 6 เดือน
กินนมแม่ละอาหารอื่น 1 มื้อ
ข้าว ข้าวบด 3 ช้อนกินข้าวควรจะเป็นข้าวบดละเอียด
ไข่และเนื้อสัตว์ ไข่แดงครึ่งฟองสลับกับตับบด 1 ช้อนกินข้าว หรือ ปลาบด 2 ช้อนกินข้าว โดยเนื้อปลา ได้แก่ ปลาทู ปลาช่อน
ผัก ผักสุกบดครึ่งช้อนกินข้าว ได้แก่ ผักตําลึง ฟักทอง กวางตุ้ง ผลไม้ ผลไม้สุก 1-2 ชิ้น ได้แก่ มะละกอสุก ล้วยน้ำว่าเริ่มแรจะให้ทีละน้อยๆแล้วต่อยเพิ่่มตามปริมาณ
ทารกอายุ 7 เดือน
กินนมแม่ละอาหารอื่น 1 มื้อ
ข้าวบด 4 ช้อนกินข้าว โดยข้าวบดอาจจะหยาบขึ้นกว่าตอนเด็กอายุ 6 เดือนได้ เพื่อพัฒนาการเคี้ยว
ไขทั้งฟอง ไข่ขาวและไข่แดงสลับกับเนื้อปลา 2 ช้อนกินข้าว หรือ เนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว
ผัก ผักสุก 1 ½ ช้อนกนิข้าวโดยให้ผักหลายชนิดสลับกันไป
ผลไม้ ผลไม้สุกสัก 2-3 ชิ้น
ทารกอายุ 8-9 เดือน
กินนมแม่ละอาหารอื่น 2 มื้อ
ข้าวหุงนิ่มๆ 5 ช้อนกินข้าวว แบ่งกินมื้อละ 2-3 ช้อนกินข้าวไม่ต้อง บดละเอียด เพราะฟันเด็กเริ่มขึ้น เพื่อให้เด็กได้เคี้ยว
ไข่ทั้งฟอง และเนื้อสัตว์ 2 ช้อนกินข้าวว โดยแยกเป็น 2 มื้อ เช่น มื้อ เช้าเป็นไข่ทั้งฟอง และมื้อถัดมาเป็นเนื้อปลาหรือเนื้อหมู 2 ช้อนกินข้าว และ อาจเปลี่ยนเป็นตับบ้าง
ผัก ผักสุกหั่น 2 ช้อนกินข้าว แบ่งเป็น 2 มื้อผลไม้ กินผลไม้สุกวันละ 3-4ชิ้น
ทารก อายุ 10-12 เดือน
กินนมแม่ละอาหารอื่น 3 มื้อ
ข้าวสุกหุงนิ่ม 5 ช้อนกินข้าว ให้กินใน 1 วัน และแบ่งกินเป็น 3 มื้อ มื้อเช้าอาจจะให้ปริมาณมากกว่ามื้ออื่นๆได้
ไข่ทั้งฟอง และเนื้อสัตว์ 2 ช้อนกินข้าวว โดยแยกเป็น 3 มื้อ สำหรับเนื้อสัตว์ให้แบ่งสลับกันไป
ผัก ผักสุกหั่น 2 ช้อนกินข้าว
ผลไม้ ผลไม้สุก ได้แก่
กล้วยน้ำว้าสุก หลังอาหารทุกมื้อ
เด็กก่อนวัยเรียน
โภชนาการสําหรับเด็กวัยก่อนเรียน
พลังงาน
เด็กวัยนี้ต้องการพลังงานเพื่อการ เจริญเติบโต และทํากิจกรรมต่างๆ เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้พลังงานวันละ 1000 กิโลแคลอรี่ เด็กอายุ 4-5ปี ควรได้รับวันละ 1300 กิโลแคลอรี่
โปรตีน
ต้องการโปรตีน เพื่อใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ เอนไซม์ ฮอร์โมน สร้าง ภูมิคุ้มกันโรค และให้พลังงาน เด็กอายุ 1-3 ควรได้โปรตีนวันละ 18 กรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 22 กรัม
วิตามินเอ
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามินวันละ 400 ไมโครกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 450 ไมโครกรัม พบ มากในตับ ไข่แดง ผักใบเขียว
วิตามินซี
เด็กอายุ 1-3 ปี และเด็กอายุ 4-5 ปี ควร ได้รับวิตามินซีวันละ 40 มิลลิกรัม พบมากในผักสด และผลไม้สด
วิตามินบี
วิตามินบี 1
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวิตามินบี1 วัน ละ 0.5 มิลลิกรัม ส่วนเด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบมากในข้าวกล้อง เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ รําข้าว เมล็ดธัญพืช งา
วิตามินบี 2
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม เด็ก 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบมากใน นม เนย ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เนื้อสัตว์
ผักใบเขียว
วิตามินบี 6
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 0.5 มิลลิกรัม เด็ก 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 0.6 มิลลิกรัม พบมากใน เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ข้าวกล้อง นม ไข่แดง ผักใบเขียว
วิตามินบี 12
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 0.9 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 1.2 มิลลิกรัม
แคลเซียม
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับ วันละ 500 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปีควรได้รับวันละ 800 มิลลิกรัม พบมาก ในนม ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง ผักใบเขียว
ฟอสฟอรัส
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 460 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 500 มิลลิกรัม พบมาก ในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่างๆ
ธาตุเหล็ก
เด็กอายุ 1-3ปี ควรได้รับวันละ 460 มิลลิกรัม เด็กอายุ 4-5 ปี ควรได้รับวันละ 500 มิลลิกรัม พบมากใน ตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่วเมล็ดแห้ง ผักใบเขียว
ไอโอดีน
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับวันละ 90 มิลลิกรัม เท่ากับเด็กอายุ 4-5 ปี พบมากในอาหารทะเล
อาหารสําหรับเด็กวัยเรียน
ควรเสริมอาหารประเภทเต้าหู้และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ แทนอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เด็กควรได้รับไข่และนมทุกวัน
ควรจัดอาหารให้หลากหลาย ย่อยง่าย ปริมาณเหมาะสมให้ครบ 5 หมู่
3.ควรจัดอาหารที่มีส่วนประกอบของผักให้หลากหลาย เช่น ผักใบเขียว ผักสีเหลือง ผักสีแสด วันละ 1-2 ชนิด
4.ควรฝึกให้เด็กรับประทานผลไม้ทุกวัน
6.ไม่ควรปรุงอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด ไขมันสูง
ไม่ควรให้ขนมหรือกินเล่นก่อนมื้ออาหาร 1-2 ชั่วโมง
5.ขนมหวานและอาหารว่าง ควรทําจากธัญพืชต่างๆ เช่น กล้วยบวชชี
ระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของอาหาร
วัยเรียน
ความต้องการสารอาหารในเด็กวัยเรียน
พลังงาน
เด็กอายุ 6-8 ปีทั้งชายและหญิง ควรได้รับ พลังงานวันละ 1400 กิโลแคลอรี เด็กอายุ 9-12 ปี (ชาย)ควรได้รับ พลังงานวันละ 1700 กิโลแคลอรี และเด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) ควร ได้รับพลังงานวันละ 1600 กิโลแคลอรี
โปรตีน
เด็กวันเรียนอายุ 6-8 ปี มีความต้องการเป็น 28 กรัม/วัน เด็กอายุ 9-12ปี (ชาย) มีความตอ้งการ 40 กรัม/วัน เด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) มีความต้องการเป็น 41 กรัม/วัน
แคลเซียมและฟอสฟอรัส
เด็กอายุ 6-8 ปี ควรได้รับวันละ 800 มิลลิกรัม/วัน และเด็กอายุ 9-12ปี ควรได้รับ 1000 มิลลิกรัม/วัน ขาดทำให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ นมและผลติภัณฑ์นมเป็น แหล่งอาหารที่สำคัญของแคลเซียม
ธาตุเหล็ก
เด็กอายุ 6-8 ปี เป็น 8.1 มิลลิกรัม เด็กอายุ 9-12 ปี (ชาย) เป็น 11.8 มิลลิกรัม และเด็กอายุ 9-12 ปี (หญิง) เป็น 19.1 มิลลิกรัมขาดทำให้เกิดโรคโลหิตจาง แนะนําให้บริโภคอาหารที่ มีสารช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น วิตามินซี ลดการบริโภคทมี่ีสาร ขัดขวางการดูดซึม เช่น ไฟเตท แทนนิน
ไอโอดีน
เด็กอายุ 6-8 ปี และวัย 9-12 ปี ควรเป็น 120 ไมโครกรัม เพื่อป้องกันการเกิดคอพอกในเด็กวัยเรียน
สังกะสี
เด็กอายุ 6-8 ปี วันละ 4 มิลลิกรัม เด็กอายุ 9-12 ปี วันละ 5 มิลลิกรัม ถ้าขาดจะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก ขาด ความอยากอาหาร แหล่งอาหารที่สำคัญ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารทะเล
วิตามินดี
เด็กวัยเรียนอายุ 6-8 ปี และ 9-12 ปี เป็น 5 ไมโครกรัม/วัน วิตามินดีในร่างกายส่วนใหญ่ได้มาจากการสังเคราะห์ ที่ผิวหนังโดยอาศัยแสงแดดเป็นตัวกระตุ้น และส่วนน้อยได้มาจากการบริโภควิตามินดีจากอาหาร
อาหารสำหรับเด็กวัยเรียน
เด็กวัยนี้มีความอยากอาหารดีมาก แต่ไม่ชอบกินผัก ควรให้กินผลไม้มากขึ้น ในการจัดอาหารสําหรับเด็ก วัยเรียนที่มีความต้องการพลังงานวันละ 1600 กิโล แคลอรี่และ 1700 กิโลแคลอรี่ โดยนําหลักการจัดกลุ่มอาหารจากธงโภชนาการมาใช้