Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Bipolar II disorder, current episode depressed bipolar-symptom,…

- - - - จากกรณีศึกษา
        สาเหตุทางพันธุกรรม มีประวัติญาติทางบิดาฆ่าตัวตายสำเร็จ
      - พบความผิดปกติทางชีวเคมีทางสมอง พบการทำงานของ dopamine สูงขึ้นในระยะ Mania และต่ำลงในระยะซึมเศร้าโรคนี้มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมค่อนข้างสูง
    - - จากกรณีศึกษา
        เคยเครียดเรื่องเรียนร้องไห้ทุกวันเมื่อ 7 ปีก่อน แล้วค่อยๆดีขึ้นจนปกติ 3 ปีก่อนรู้สึกอารมณ์ดีมากๆมีพลังมีเรี่ยวแรงมาก ขยัน มั่นใจในตนเอง คุยเก่งขึ้น ซื้อของและใช้จ่ายเงินมากขึ้น
      - พบว่าผู้ป่วยประสบความเครียดในชีวิตก่อนที่จะป่วยครั้งแรก และความเครียดสัมพันธ์กับอัตรากลับเป็นซ้ำ โรคนี้ไม่สัมพันธ์กับบุคลิกภาพแบบใดแบบหนึ่งเป็นพิเศษ
  - - - จากกรณีศึกษา ซักประวัติพบว่าผู้ป่วยมีอารมณ์เศร้าเบื่อหน่าย ท้อแท้ เกือบเป็นทั้งวัน นานเกือบ 1 เดือนนอนหลับๆตื่นๆเบื่ออาหาร น้ำหนักลด 3 กิโลกรัมในช่วง 3 สัปดาห์
        เคยเครียดมากเรื่องเรียนร้องไห้ทุกวัน เมื่อ7 ปีก่อนแล้วค่อยๆดีขึ้นจนเป็นปกติ 3 ปีก่อนรู้สึกอารมณ์ปกติดีมากๆ มีพลัง มีเรี่ยวแรงมาก ขยัน มั่นใจในตนเอง คุยเก่งขึ้น ซื้อของและใช้จ่ายเงินมากขึ้น
  - - - จากกรณีศึกษา ซักประวัติพบว่าผู้ป่วยมีอารมณ์เศร้าเบื่อหน่าย ท้อแท้ เกือบเป็นทั้งวัน นานเกือบ 1 เดือน นอนหลับๆตื่นๆเบื่ออาหาร น้ำหนักลด 3 กิโลกรัมในช่วง 3 สัปดาห์ ไม่มีสมาธิ ไม่อยากคุยกับใคร รู้สึกตัวเองไม่มีค่า ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ คิดวนเรื่องครอบครัวไม่ยอมรับคนรัก ร้องไห้บ่อย น้อยใจบิดามารดาไม่รัก ก่อนหน้านี้อารมณ์ปกติดี
      - จากกรณีศึกษา เคยเครียดมากเรื่องเรียนร้องไห้ทุกวัน เมื่อ7 ปีก่อนแล้วค่อยๆดีขึ้นจนเป็นปกติ 3 ปีก่อนรู้สึกอารมณ์ปกติดีมากๆ มีพลัง มีเรี่ยวแรงมาก ขยัน มั่นใจในตนเอง คุยเก่งขึ้น ซื้อของและใช้จ่ายเงินมากขึ้น
    - - จากกรณีศึกษา ไม่ได้เกิดจากโรค Schizoaffective disorder หรือโรคจิตชนิดอื่น
    - - จากกรณีศึกษา ผู้ป่วยอยากฆ่าตัวตายหลังมีปากเสียงกับคนรัก แต่อีกใจก็รู้สึกเป็นห่วงครอบครัวกลัวจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้จึงโทรศัพท์เรียกเพื่อนให้มารับและพามาพบแพทย์
    - - จากกรณีศึกษา ผู้ป่วยไม่เคยมีระยะ mania แต่มีภาวะ Hypomania คือ เคยเครียดมากเรื่องเรียนร้องไห้ทุกวัน เมื่อ7 ปีก่อนแล้วค่อยๆดีขึ้นจนเป็นปกติ 3 ปีก่อนรู้สึกอารมณ์ปกติดีมากๆ มีพลัง มีเรี่ยวแรงมาก ขยัน มั่นใจในตนเอง คุยเก่งขึ้น ซื้อของและใช้จ่ายเงินมากขึ้น
- - - - ยา Depakine crono 200 mg 1 tab oral tid.pc. และ 1 tab oral hs.
        
        เป็นยากลุ่มของ Sodium valproate เป็นยาปรับหรือควบคุมความผิดปกติของอารมณ์ในผู้ป่วย Bipolar ll disorder เพื่อเป็นยานอนหลับ ส่งผลให้การส่งกระแสประสาทภายในสมองลดลง ทำให้เกิดอาการชัก
        
        ผลข้างเคียงของยา ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สั่นเวียนศรีษะ ตากระตุก กล้ามเนื้อเสียการทรงตัว ผมร่วง ผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ท้องอืด เบื่ออหาร ผลต่อระบบเลือด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ อ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน ตามัว มองภาพไม่ชัด น้ำหนักตัวเพิ่ม
        
        ชื่อทางการค้า Depakine
        
        กลไกการออกฤทธิ์ของยา Depakine ตัวยา Depakine ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่มีชื่อว่า GABA transaminase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำลายสารสื่อประสาท GABA (Gamma-aminobutyric acid) ในสมอง ทำให้ปริมาณสารสื่อประสาท GABA ในสมองสูงขึ้น และปิดช่องทางขนส่งโซเดียม (Na+) ที่มีชื่อว่า Voltage-dependent sodium channels ส่งผลให้การส่งกระแสประสาทภายในสมองลดลง ทำให้ไม่เกิดอาการชัก
      - ยา Lorazepam 0.5 mg. 1 tab oral tid.pc. และ Lorazepam 2 mg 1 tab oral hs.
        
        เป็นยาในกลุ่ม Benzodiazepines ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง จึงยับยั้งการทำงานของเซลล์ประสาท เป็นยาลดอาการวิตกกังวล ทำให้ง่วงหลับ สามารถช่วยให้คนไข้มีอาการผ่อนคลายหรืออาการเคลิ้มสุข
        
        ผลข้างเคียงของยา คือ ง่วงซึม มึนศีรษะ อ่อนเพลีย อารมณ์ไม่คงที่ ความดันโลหิตต่ำ ปัสสาวะคั่ง ท้องผูก ต้อกระจก และความคิดช้า หากพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย อวัยวะเพศชายแข็งตัวนานกว่า 6 ชั่วโมง หรือมีอการปวดอวัยวะเพศในขณะแข็งตัว อาการแพ้ยา เช่น หายใจลำบาก ผื่นคัน มีอการปวดที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ มีปัญหาที่เกี่ยวกับการมองเห็น เช่น สายตาพร่ามัว ปวดตา ตาบวม
        
        ชื่อทางการค้า Ativan,Tavor,temesta
        
        ข้อควรระวังในการใช้ยา Lorazepam การรับประทานยา Lorazepam ร่วมกับยาในกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid) หรือกลุ่มยาแก้ปวดที่ไปยับยั้งสัญญาณความเจ็บปวดที่เข้าสู่สมอง เช่น Codeine, Hydrocodone อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงมาก รวมถึงการเสียชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว แพทย์จะให้คุณรับประทานยา Lorazepam ด้วยขนาดยาที่ต่ำที่สุด ซึ่งยังมีผลต่อการรักษาและให้รับประทานเป็นเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไป พบแพทย์ทันที หากมีอาการข้างเคียงที่ร้ายแรง เช่น หายใจช้า หายใจตื้น เวียนศีรษะผิดปกติ ง่วงนอนอย่างรุนแรง เวียนศีรษะอย่างรุนแรง ตื่นนอนยาก
      - ยา Trazodone 50 mg. 1 tab oral prn for insomnia
        
        ออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดกลับของ Serotonin ในสมอง มีผลให้ระดับเซโรโทนินในสมองเพิ่มขึ้น เป็นยารักษาอาการซึมเศร้า กระตุ้นการทำงานของสาร Seratonin เป็นสารที่ใช้สื่อสารระหว่างเซลล์ในระบบประสาท หากร่างกายผลิตออกมาน้อยเกินไปจะทำให้มีอาการซึมเศร้า
        
        ผลข้างเคียงของยา คือ ความคิดและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ง่วงซึม วินเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว ท้องผูก ปากแห้ง เป็นต้น หากมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป จังควรปรึกษาแพทย์และใช้ยาอย่าระมัดระวัง
        
        ชื่อทางการค้า Desirel
        
        ฤทธิ์ของการใช้ยา Trazodone ในช่วงแรกของการใช้ยา ผู้ป่วยบางคนอาจมีความคิดหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น คิดอยากทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที และควรไปติดตามผลตามที่แพทย์นัดหมาย และรายงานการเปลี่ยนแปลงให้แพทย์ทราบ หากมีอาการใหม่เกิดขึ้น หรือมีอาการแย่ลง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น หงุดหงิด หดหู่ วิตกกังวล ตื่นเต้น ตื่นตระหนก นอนไม่หลับ ก้าวร้าว กระสับกระส่าย เป็นต้น
  - - - ผู้ป่วยทำ ECT 6 ครั้ง
- - - - o:-ผู้ป่วยอยากฆ่าตัวตายหลังมีปากเสียงกับคนรัก
        -อารมณ์เศร้า เบื่อหน่าย ท้อแท้ ไม่มีสมาธิ
        -รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า น้อยใจบิดามารดาไม่รัก .
        -มีประวัติญาติทางบิดาฆ่าตัวตายสำเร็จ
      - s: -
    - - สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดด้วยท่าทีที่อบอุ่น เห็นอกเห็นใจผู้ป่วย และมีความสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าไว้วางใจ มั่นใจได้ที่จะระบายความคับข้องใจออกมา
      - จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมและปลอดภัย จัดเก็บอุปกรณ์ที่อาจเป็นเครื่องมือในการทำร้ายตนเอง หรือผู้อื่น เช่นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นสาย ยางยืด ของแหลมคม น้ำยาเคมี เป็นต้น
      - ประเมินความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองจากสีหน้าท่าทาง การแสดงทางคำพูด อารมณ์ การเคลื่อนไหว เพื่อวางแผนการพยาบาลที่ช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัย
      - ฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองสูง ให้มีการเฝ้าระวังการ ทำร้ายตนเองแบบ stick suicide precautions (ธิติพันธ์ ธานีรัตน์, 2553) มีการดูแลและสังเกตอาการ เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดทุก 15 นาที จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน มีการ ติดตามผู้ป่วยเสมอ เมื่อผู้ป่วยไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อป้องกันการทำร้ายตนเอง โดยควรบริหารจัดการใน ประเด็นดังต่อไปนี้
        4.1 ด้านผู้ป่วยต้องมีการติดตามดูแลผู้ป่วยให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา
        4.2 ด้านสิ่งแวดล้อมต้องจากอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ให้เรียบร้อย ไม่มีสิ่งของที่ผู้ป่วยนำมาเป็น อุปกรณ์ในการทำร้ายตนเอง
        4.3 ด้านบุคลากรมีการบริหารจัดการบุคลากรในทีมสำหรับการดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยอย่าง ใกล้ชิดเป็นพิเศษบุคลากรต้องไวต่อท่าทีและพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้สามารถช่วยเหลือ ผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีในภาวะวิกฤต
      - จัดให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มบำบัดง่ายๆและเห็นผลสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น เช่น กลุ่มวาด ภาพกลุ่มอ่านหนังสือพิมพ์กลุ่มประดิษฐ์สิ่งของเป็นต้น เพื่อช่วยให้เกิดความภาคภูมิใจเสริมสร้างความรู้สึกมี คุณค่าในตนเองที่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้สำเร็จ
      - ให้แรงเสริมทางบวกเช่นการชื่นชมให้กำลังใจเมื่อผู้ป่วยทำกิจกรรมต่างๆ ได้สำเร็จเพื่อส่งเสริมให้ ผู้ป่วยคงพฤติกรรมที่ดีนั้นไว้
      - ดูแลให้ได้รับยายา Depakine crono 200 mg 1 tab oral tid.pc. และ 1 tab oral hsตามแผนการรักษาพร้อมสังเกตอาการข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้ป่วย ได้รับยาช่วยในการควบคุมอารมณ์แบบสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงเพื่อรายงานอาการแก่แพทย์และลงบันทึก เพื่อรายงานความก้าวหน้าทางการพยาบาล
      - ดูแลผู้ป่วยด้วยหลัก D-Method
        
        D Diagnosis ให้ความรู้เรื่องโรคที่เป็นอยู่ถึงสาเหตุอาการ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
        
        M Medicine แนะนําการใช้ยาที่ตนเองได้รับอย่างละเอียด สรรพคุณของยา ขนาด วิธีใช้ ข้อควรระวังในการใช้ยา ตลอดจนการสังเกตภาวะแทรกซ้อนรวมทั้งข้อห้ามการใช้ยาด้วย
        
        E Environment การจัดการสิ่งแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพการให้ข้อมลูเกี่ยวกับการจัดการปัญหาด้านเศรษฐกิจ บางรายอาจจะต้องฝึกฝนอาชีพใหม่เป็น
        
        T Treatment ทักษะที่เป็นตามแผนการรักษาเช่นการทำแผล รวมถึงการเฝ้าสังเกตอาการตนเองและ แจ้งให้พยาบาลทราบ
        
        H Health การส่งเสริมฟื้นฟูสภาพทางด้านร่างกายและจิตใจตลอดจนการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
        
        O Out patient การมาตรวจตามนัดการติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน ในกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการดูแลต่อเนื่อง
        
        D Diet การเลือกรับประทานอาหารเหมาะสมกับโรคหลีกเลี่ยงหรืองดอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  - - - จัดสิ่งแวดล้อมในห้องผู้ป่วยให้เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวน อากาศถ่ายเทดี มีแสงสว่างที่เหมาะสม แก่การนอนหลับ แยกผู้ป่วยที่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นให้ออกจากห้องเพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อกันนอน
      - สังเกตการนอนหลับของผู้ป่วย โดยตรวจเยี่ยมทุก 1-2 ชั่วโมง ประเมินการนอนในช่วงกลางวันและ จดบันทึกเพื่อวางแผนการพยาบาลที่เหมาะสม
      - เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความคับข้องใจที่เป็นสาเหตุทำให้นอนไม่หลับ เพื่อหาแนวทางแก้ไข ปัญหา
      - กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ออกกาลังกายได้ปฏิบัติกิจกรรมในช่วงเช้า เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อย จะได้ นอนหลับได้ดีในกลางคืน
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา พร้อมทั้งสังเกตการณ์นอนหลับและฤทธิ์ข้างเคียงของยาเพื่อวางแผนการดูแลต่อเนื่อง (ยา Lorazepam และ Trazodone)
      - รายงานแพทย์เมื่อผู้ป่วยยังมีปัญหาในการนอนหลับหลังการให้พยาบาลไประยะหนึ่งแล้วปรับแผนการรักษาที่เหมาะสมและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้
    - - s: ผู้ป่วยบอกว่านอนหลับๆตื่นๆ คิดวนเวียนเรื่องที่ครอบครัวไม่ยอมรับคนรัก ร้องไห้บ่อย น้อยใจว่าบิดา มารดาไม่รัก
      - o :
        
        ผู้ป่วยได้รับยา
        
        Lorazepam 0.5 mg. 1 tab oral tid.pc. และ Lorazepam 2 mg 1 tab oral hs.
        
        Trazodone 50 mg. 1 tab oral prn for insomnia
    - - 1.ผู้ป่วยปล่อยว่างไม่คิดมาก
      - ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่นขึ้น
  - - - ผู้ป่วยและญาติสามารถบอกวิธีใช้ ขนาดยา จำนวนยาเวลาที่ใช้และอาการข้างเคียงของยาได้ถูกต้อง
      - 2.ไม่มีอาการข้างเคียงของยาเช่น ง่วงซึม วินเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว ท้องผูก ปากแห้ง เป็นต้น หากมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
    - - ประเมินความรู้ ความเข้าใจต่อการ ใช้ยาของผู้ป่วยและญาติ เพื่อวางแผนการให้ความรู้เกี่ยวกับ การใช้ยาที่ถูกต้องและมีการทวนสอนผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับ ความถูกต้องในการให้ยา
      - ประสานกับเภสัชกรในการให้ความรู้ แก่ผู้ป่วยและญาติในการใช้ยาที่ถูกต้อง เช่นTrazodone 50 mg. 1 tab oral prn for insomnia รับประทานทางปาก 1 เม็ด เมื่อต้องการ
      - ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้องโดยยึด หลัก 5 Rs
      - เมื่อแจกยาแก่ผู้ป่วยต้องแจ้งให้ผู้ป่วย ทราบทุกครั้งถึงชนิด สรรพคุณ จำนวน เวลา และวิธีการใช้พร้อมสังเกตอาการข้างเคียงภายหลังการได้รับ ยาทุกครั้ง
      - ตรวจบันทึกสัญญาณชีพอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
      - ประเมินความผิดปกติที่จะเกิดกับผู้ป่วย จากผลข้างเคียงของยาเช่น ง่วงซึม วินเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว ท้องผูก ปากแห้ง เป็นต้น หากมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ควรใช้ยาอย่าระมัดระวัง ฤทธิ์ของการใช้ยา Trazodone ในช่วงแรกของการใช้ยา ผู้ป่วยบางคนอาจมีความคิดหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น คิดอยากทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย หากมีอาการใหม่เกิดขึ้น หรือมีอาการแย่ลง เช่น หงุดหงิด หดหู่ วิตกกังวล ตื่นเต้น ตื่นตระหนก นอนไม่หลับ ก้าวร้าว กระสับกระส่าย ให้แจ้งพยาบาลทันที หรือมาพบแพทย์
    - - O : ผู้ป่วยได้รับยา Trazodone 50 mg. 1 tab oral prn for insomnia
      - S : -
  - - - S :ผู้ป่วยบอกว่าเบื่ออาหาร น้ำหนักลด 3 กิโลกรัมในช่วง 3 สัปดาห์
      - O : -
    - - 1.ความเบื่ออาหารลดลงรับประทานอาหารได้อย่างน้อย1/2ถ้วย/มื้อ
      - 2.มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น1/2กิโลกรัม/สัปดาห์
    - - 2.แนะนำอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีน ธาตุเหล็ก และอาหารที่มีแคลอรีสูงรวมทั้งวิตามินและเกลือแร่จากผักผลไม้
      - 3.จัดอาหารให้น่ารับประมานและรับประทานขณะอุ่นๆ
      - 1.ดูแลความสะอาดของช่องปากและฟันเพื่อเพิ่มความอยากอาหาร
      - 4.ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารในมื้อเดียวได้ปริมาณมากพอควรแนะนำให้อาหารครั้งละน้อยและเพิ่มจำนวนมื้ออาหารเป็นวันละ5-6มื้อและไม่ควรเร่งรีบในการรับประทาน
  - - - O : -
      - S : ผู้ป่วยบอกว่าไม่อยากคุยกับใคร รู้สึกตัวเองไม่มีค่า ไม่สมควรมีชีวิตอยู่
    - - สร้างสัมพันธภาพเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ เข้าใจแล้วยอมรับ จะช่วยให้ผู้ป่วยมั่นใจที่จะเปิดเผย ความคิดและความรู้สึกของเขาออกมา ซึ่งจะทำให้พยาบาลเข้าใจผู้ป่วย รู้ปัญหาและ อันตรายที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเอง ยอมรับการเจ็บปวดที่ เกิดขึ้น เชื่อมั่นในการดูแลของพยาบาล และร่วมมือ ในการรักษา
      - 2.เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยบอกความคิดความรู้สึก และสนับสนุนให้ผู้ป่วยวางแผน แก้ปัญหาด้วยตนเอง
      - ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการแสดงออกของ พฤติกรรม อย่างเหมาะสม โดยจัดให้ผู้ป่วย โดยการเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมบำบัดและมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นให้ผู้ป่วยเกิดสัมพันธภาพ ที่ดีการสังคมและเห็นคุณค่าในตัวเอง
      - ส่งเสริมให้มีสัมพันธภาพที่ดีและเหมาะสมกับบุคคลอื่น โดยเริ่มจากสัมพันธภาพตัวต่อตัวก่อน แล้วให้มีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นกลุ่มเล็กไปกลุ่มใหญ่
      - 5.แนะนำผู้ป่วยให้รู้จักการสื่อสารอย่างเหมาะสม สร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยและให้แรงเสริม
  - - - S :
        
        S: ผู้ป่วยบอกว่ามีอารมณ์เบื่อหน่าย ท้อแท้ นานเกือบ 1 เดือน นอนหลับๆ ตื่นๆ
      - O :
        
        ผู้ป่วยได้รับยา Depakine crono 200 mg 1 tab oral tid.pc. และ 1 tab oral hs.
    - - 2.ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค การรักษาและการดูแลตนเอง เพื่อให้มีความรู้ ในการดูแลตนเองและให้ความร่วมมือในการรักษา
      - อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงอาการข้างเคียงของยา Depakine เช่น มีผลกระทบต่อเม็ดเลือดต่ำ ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สั่น อ่อนแรง เป็นต้น
      - 1.ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ของผู้ป่วย
      - 4.ให้การพยาบาลตามอาการที่เกิดจากฤทธิ์ข้างเคียงของยาในแต่ละชนิด
      - 5.แนะนำให้ผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง
      - 6.ให้คำแนะนำญาติผู้ป่วยเกี่ยวกับการควบคุมดูแลผู้ป่วยรับประทานยาสม่ำเสมอตามเวลา สังเกตอาการของผู้ป่วยที่ผิดปกติไป หากมีอาการผิดปกติควรมานำผู้ป่วยมาพบแพทย์
  - - - S :-
      - O : ผู้ป่วยได้รับยา Lorazepam 0.5 mg. 1 tab oral tid.pc. และ Lorazepam 2 mg 1 tab oral hs.
    - - 1.ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจช้า หายใจตื้น เวียนศีรษะผิดปกติ ง่วงนอนอย่างรุนแรง เวียนศีรษะอย่างรุนแรง ตื่นนอนยาก
      - 2.Vital singns ปกติ T=36.5-37.4 องศาเซลเซียส, P=60-100 ครั้ง/นาที, R=12-20 ครั้ง/นาที , BP=90/60 ครั้ง/นาที
    - - 2.ประเมินอาการข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิด เช่น อาการหายใจช้า หายใจตื้น เวียนศีรษะผิดปกติ ง่วงนอนอย่างรุนแรง เวียนศีรษะอย่างรุนแรง ตื่นนอนยาก มีปัญหาที่เกี่ยวกับการมองเห็น
      - 3.บทบาทที่สำคัญของพยาบาล คือ
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแพทย์สั่งอย่างถูกต้องตามหลักการบริหารยา
        ประเมินผลตอบสนองที่คาดว่าเกิดขึ้นกับผู้ป่วย อาการข้างเคียงหรืออาการเป็นพิษ
      - 1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด
      - 4.ให้การพยาบาลตามอาการที่เกิดจากฤทธิ์ข้างเคียงของยา
      - 5.ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเเละญาติเกี่ยวกับชนิดของยา ผลข้างเคียง การดูแลในตนเองเบื้องต้น เช่น ง่วงซึม มึนศีรษะ อ่อนเพลีย ไม่ขับขี่ยานพาหนะในขณะที่ใช้ยาแลพกระตุ้นให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรม ในตอนกลางวัน
      - 6.แนะนำให้ผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลบหรือปรับขนาดเอง
      - 7.คำแนะนำผู้ป่วยว่าไม่ควรดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ร่วมกับยาโรคจิตเวช
      - 8.ดูและให้รับประทานยา Lorazepam 0.5 mg. วันละ 3 ครังหลังอาหาร และ Lorazepam 2 mg ขนาด 1 เม็ด ก่อนนอน ตามแผนการรักษาเพื่อลดอาการข้างเคียง เช่น ปัสสาวะคั่ง ท้องผูก สายตาพร่ามัว ปวดตา ตาบวม
  - - - S : -
      - O : ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วย ECT 6 ครั้ง
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ในการปฏิบัติตัวก่อนทำ ขณะทำ และหลังได้รับการรักษา
    - - ผู้ป่วยมีความรู้มากขึ้นในการปฏิบัติตัวหลังได้รับการรักษาด้วยไฟฟ้า ECT (Electroconvulsive Therapy)
    - - 1.สร้างสัมพันธภาพ ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ของผู้ป่วย
      - ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค การรักษาและการดูแลตนเอง เพื่อให้มีความรู้ ในการดูแลตนเองและให้ความร่วมมือในการรักษาด้วยไฟฟ้า ECT (Electroconvulsive Therapy) จะช่วยให้อาการผู้ป่วยทุเลาอย่างรวดเร็ว สามารถคงสภาพเดิมไม่ให้อาการกำเริบซ้ำ เหมาะกับผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมพยายามฆ่าตัวตาย อาการข้างเคียงจากการรักษาด้วยไฟฟ้าคือ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่สบายตัว สับสน
      - 2.1.การดูแลก่อนการรักษาด้วยไฟฟ้า
        
        1.ประเมินและให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับยาในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา ครั้งแรก
        
        2.เตรียมความพร้อมผู้ป่วยด้านร่างกายและจิตใจก่อนทำการรักษา เพื่อลดความวิตกกังวลร่วมด้วย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบาย ความรู้สึก พร้อมให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษาด้วยไฟฟ้า และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วย/ญาติซักถามหากมีข้อสงสัย
        
        3.ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวก่อนรักษาด้วยไฟฟ้า
        
        ดูแลความสะอาดร่างกาย สระผม ตัดเล็บ โกนหนวด
        
        งดน้า อาหารและยา อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
        
        ถอดเครื่องประดับ ฟันปลอม Contact Lens -นัดหมายวันที่เข้ารับการรักษา
        
        วันที่เข้ารับการรักษาด้วยไฟฟ้า
        
        วัดสัญญาณชีพ ดูแลให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนทำการรักษาด้วย ไฟฟ้า
        
        นำส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์รักษาด้วยไฟฟ้า
        
        ตรวจสอบเอกสารและชุดประวัติผู้ป่วยนอก,ชุดประวัติ ผู้ป่วยใน
      - 2.2.ขณะรักษาด้วยไฟฟ้า
        
        ให้การรักษาด้วยไฟฟ้าโดยใช้ยานาสลบ(Modified) / การรักษา ด้วยไฟฟ้าโดยไม่ได้ใช้ยานาสลบ(Unmodified)
      - 3.หลังรักษาด้วยไฟฟ้า
        
        1.ประเมินภาวะแทรกซ้อนและให้การดูแลระยะพักฟื้น โดย
        
        ➡️
        
        -วัดสัญญาณชีพ
        
        -สังเกตอาการข้างเคียงหลังการรักษาด้วยไฟฟ้า เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง คลผื่นไส้อาเจียน -ให้การพยาบาลอาการข้างเคียงท่ีเกิดข้ึนตามความเหมาะสมหากมีภาวะหลงลืม ให้ญาติช่วยกระตุ้นความจำของผู้ป่วย ความทรงจำจะค่อยๆ ฟื้นตัวภายในระยะเวลา 2สัปดาห์ – 6 เดือน
        
        -ดูแลป้องกันการเกิดอุบัติเหตุต่างๆจากอาการมึนงง สับสน และอาการข้างเคียงต่างๆ
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนประมาณ 30 นาที หรืออาจจะมากกว่า 30 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพอาการของผู้ป่วย แต่ละคน
        
        -ปวดศีรษะ ให้ประคบเย็นแล้วนอนพัก 30 นาที - 2ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นสามารถทานยาบรรเทาปวดได้
  - - - S :ผู้ป่วยบอกว่ารู้สึกเป็นห่วงครอบครัว ผู้ป่วยอยากฆ่าตัวตายหลังมีปากเสียงกับคนรัก
      - O : -
    - - เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกหรือความขัดข้องใจด้วยรับฟังอย่างเข้าใจ เห็นใจ ไม่ตำหนิ เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ มั่นใจในตัวพยาบาลในการเล่าความคิด ความรู้สึกและร่วมหาแนวทางแก้ไขต่อไป
      - กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในด้านของสาเหตุ วิธีการแก้ไขปัญหา ข้อดีข้อเสีย หรือผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยและผู้อื่น
      - สะท้อนให้ผู้ป่วยเห็นถึงผลเสียหรือผลกระทบจากวิธีการเผชิญปัญหาที่ผ่านมาเพื่อให้ได้เรียนรู้ เข้าใจตนเองและเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น
      - กระตุ้นให้ผู้ป่วยคิดหาแนวทางในการเผชิญปัญหาที่เหมาะสมวิธีการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วย เพื่อเป็นทางเลือกในการตัดสินใจ
      - แนะนำวิธีการจัดการกับความเครียด โดยให้มีการจัดการกับอารมณ์และปัญหาเพื่อเป็นแนวทางใน การแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ป่วย
      - ชื่นชมเมื่อผู้ป่วยสามารถบอกแนวทางการเผชิญปัญหาที่เหมาะสมได้เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ กำลังใจ
      - 7.ช่วยผู้ป่วยค้นหาบุคคลหรือแหล่งที่พึ่งพาในการช่วยเหลือดูแลเมื่อกลับไปให้ชีวิตที่บ้านและสังคมตามปกติเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ