Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Schizophrenia and Nursing Care - Coggle Diagram
Schizophrenia and Nursing Care
โรคจิตเภท
ความคิดหลงผิด
ความคิดหลงผิดเป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริงและไม่ได้เป็นความเชื่อในวัฒนธรรมของผู้ป่วย ซึ่งความคิดหลงผิดในผู้ป่วยจิตเภทนี้มักจะแปลกประหลาดมาก เช่น เชื่อว่าพฤติกรรมของเขาหรือของคนอื่นๆถูกบังคับให้เป็นไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากต่างดาว เชื่อว่าความคิดของตนแพร่กระจายออกไปให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จักรับรู้ได้ว่าตนคิดอะไรอยู่ หรือเชื่อว่าวิทยุหรือโทรทัศน์ต่างก็พูดถึงตัวผู้ป่วยทั้งๆที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ความคิดผิดปกติ
ผู้ป่วยจะไม่สามารถคิดแบบมีเหตุมีผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยพูดคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อคนอื่นคุยกับผู้ป่วยไม่ค่อยเข้าใจก็มักจะไม่ค่อยคุยด้วย ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยถูกแยกให้อยู่คนเดียว
ประสาทหลอน
ผู้ป่วยอาจคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาสั่งให้ตนทำโน่นทำนี่ ได้ยินคนมาพูดคุยกับตน มาเตือน หรือมาตำหนิในเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีคนพูดหรือไม่มีต้นกำเนิดเสียงเหล่านี้เลย ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า “หูแว่ว” ผู้ป่วยบางคนอาจมองเห็นคน ผี หรือสิ่งของต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่มีใครเห็นเหมือนผู้ป่วย เราเรียกอาการนี้ว่า “เห็นภาพหลอน”
การแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม
ผู้ป่วยมักจะแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังพูด เช่น พูดว่าตนกำลังถูกปองร้ายจะถูกเอาชีวิต ซึ่งขณะพูดก็หัวเราะอย่างตลกขบขัน (โดยไม่ใช่คนปกติที่ต้องการทำมุขตลก) พบได้บ่อยเช่นกันที่ผู้ป่วยจิตเภทจะไม่ค่อยแสดงสีหน้า หรือความรู้สึกใดๆ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้เสียงระดับเดียวกันตลอด ไม่แสดงน้ำเสียงใดๆ (monotone)
ซึ่งอาการของผู้ป่วยจิตเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื้อรัง มีบ้างในบางคนที่มีอาการเพียงช่วงเวลาสั้นๆและสามารถหายเป็นปกติได้ แต่ก็มักต้องการการรักษาที่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเหมือนๆ กัน
มองโลกผิดไปจากความเป็นจริง
ผู้ป่วยโรคจิตเภทมักมองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการวิตกกังวล รู้สึกสับสน อาจจะดูเหินห่าง แยกตัวจากสังคม บางครั้งอาจนั่งนิ่งเป็นหิน ไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดจาใดๆ เป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้าๆ ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา
การฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายมากสำหรับผู้ป่วยจิตเภท ถ้าผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตายหรือมีการวางแผนที่จะทำอย่างนั้น ควรจะต้องให้การช่วยเหลืออย่างรีบด่วน เพราะผู้ป่วยจิตเภทมีการฆ่าตัวตายสูง
การรักษาโรคจิตเภท
การทำจิตบำบัด
เป็นการรักษาโดยใช้วิธีพูดคุยระหว่างผู้ป่วยกับผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ จิตแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา ในเรื่องปัญหา ประสบการณ์ ความคิด ความรู้สึก ความสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจตนเองและปัญหาของตนเองมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะแยกแยะสิ่งที่เป็นความจริงกับที่ไม่ใช่ความจริง
ครอบครัวบำบัด
ครอบครัวบำบัดจะเป็นการรักษาที่มีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องคือ ผู้ป่วย ญาติพี่น้อง และผู้รักษา ซึ่งมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไปหลายอย่าง เช่น ช่วยให้ครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรคจิตเภท และปัญหาเกี่ยวกับโรคนี้ ช่วยให้ครอบครัวเข้าใจวิถีทางที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการลดน้อยลง
การฟื้นฟูสภาพจิตใจ
เป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยจิตเภทโดยที่ไม่ใช้ยา โดยจะเน้นในด้านการฝึกการเข้าสังคม การฝึกอาชีพเพื่อช่วยผู้ป่วยเอาชนะกับปัญหาที่เกิดขึ้นในด้านของสังคมหรือหน้าที่การงาน ซึ่งโปรแกรมของการฟื้นฟุสภาพจิตใจนี้จะรวมถึงการให้คำปรึกษาในด้านอาชีพ การเข้าสังคม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยประสบความสำเร็จในด้านนี้หลังจากที่หายจากโรคและเริ่มออกไปใช้ชีวิตในสังคม
กลุ่มบำบัด
กลุ่มบำบัดเป็นวิธีการรักษาที่มีผู้เกี่ยวข้องคือ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง จำนวนประมาณ 6-12 คน กับผู้รักษา 1-2 คน มาร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของกันและกัน พร้อมกับช่วยกันแก้ไขพฤติกรรมที่ผิดปกติต่างๆ จากการพูดคุยกันภายในกลุ่ม ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมากในช่วงที่จะต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมหลังป่วย ซึ่งอาจจะต้องพบปัญหาต่างๆมากมายในช่วงนั้น
1.ยาต้านโรคจิต
ยาต้านโรคจิตได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเมื่อประมาณ 40 กว่าปีก่อน ซึ่งช่วยเหลือผู้ป่วยจิตเภทได้มากทีเดียวในการลดอาการที่ป่วยอยู่ และช่วยให้กลับมาทำงานได้เกือบเหมือนเดิม แต่ยาก็ยังไม่สามารถรักษาผู้ป่วยจิตเภทให้หายขาดได้ หรือไม่สามารถรับประกันได้ว่าอาการของโรคจะกำเริบกลับมาเป็นใหม่อีก
จะต้องกินยาต้านโรคจิตไปนานเท่าไร
เป็นคำถามที่ผู้ป่วยและญาติจะถามบ่อยมาก พบว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยจิตเภทถ้าไม่ได้รับยาต่อเนื่องมักมีอาการกลับเป็นซ้ำของโรคอีก เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่มักจะต้องใช้ยารักษาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค
ผลข้างเคียงของยาต้านโรคจิต
ยาต้านโรคจิตก็เหมือนยาทั่วๆไปคือมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ในช่วงแรกหลังจากที่ได้รับยาผู้ป่วยมักจะมีอาการง่วงนอน กระสับกระส่าย ปวดเมื่อย ตัวสั่น ตาพร่ามัว ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถรักษาได้ด้วยยาอีกตัวหนึ่งที่แก้ผลข้างเคียงเหล่านี้
ลักษณะอาการ
ระยะอาการกำเริบ
3) อาการด้านความคิด
ผู้ป่วยมักมีความคิดในลักษณะที่มีเหตุผลแปลกๆ ไม่เหมาะสม ตนเองเข้าใจคนเดียว เช่น มักไปยืนหน้าต้นไม้ข้างบ้านทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน ถามก็บอกว่าเป็นการเคารพผู้อาวุโสจะได้เป็นสิริมงคล เพราะต้นไม้มีคุณค่าแก่โลกและยังมีอายุหลายสิบปี เป็นต้น
4) อาการด้านพฤติกรรม
พฤติกรรมในช่วงนี้จะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเป็นจากความหลงผิด ประสาทหลอน หรือเป็นจากความคิดแปลกๆ ของผู้ป่วย บางรายเก็บตัวมากขึ้น อยู่แต่ในห้อง ไม่อาบน้ำหลายๆ วันติดกัน ผมเผ้ารุงรัง กลางคืนไม่นอน ชอบเดินไปมา
2) อาการประสาทหลอน
ระสาทหลอนคือการมีการรับรู้ทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งกระตุ้น ซึ่งเป็นได้กับการรับรู้ทั้งทางรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส อาการประสาทหลอนที่พบบ่อย คือ เสียงแว่ว โดยผู้ที่เป็นมักได้ยินเสียงคนพูดเป็นเรื่องราว และขณะที่ได้ยินก็รู้ตัวดียู่ตลอด มิใช่ได้ยินเพียงแค่เสียงคนเรียกชื่อบางครั้ง
5) อาการด้านลบ (negative symptoms)
ผู้ป่วยขาดในสิ่งที่ควรจะมีในคนทั่วๆ ไป ได้แก่ ไม่อยากได้อยากดี ไม่กระตือรือร้น เฉื่อยชาลง ไม่สนใจเรื่องการแต่งกาย แต่งตัวมอซอ ผู้ป่วยอาจนั่งอยู่เฉยๆ ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อารมณ์เฉยเมย พูดน้อยหรือไม่ค่อยพูด หรือไม่สนใจคบหาสมาคมกับใคร ใครชวนไปไหนก็มักปฏิเสธ เวลาพูดคุยด้วยจะเห็นว่าผู้ป่วยจะเฉยๆ ไม่แสดงท่าทีหรือความรู้สึกเท่าไร อาจมียิ้มบ้าง แต่โดยรวมแล้วจะเป็นแบบเฉยๆ
1) อาการหลงผิด
ความหลงผิดที่พบในโรคจิตมีหลายรูปแบบ เช่น หวาดระแวง หลงผิดว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวล้วนแต่เกี่ยวโยงกับตนเอง หลงผิดว่าตนเองเป็นเทพ เป็นเจ้า หรือเป็นคนสำคัญกลับชาติมาเกิด ชนิดที่พบบ่อยคืออาการหวาดระแวง
ระยะเริ่มมีอาการ
ระยะนี้เป็นระยะที่เริ่มมีอาการน้อยๆ ส่วนใหญ่การเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไป มักมีปัญหาในด้านหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือด้านสัมพันธภาพ การเรียนหรือการทำงาน ญาติหรือคนใกล้ชิดมักเห็นว่าผู้ป่วยเปลี่ยนไปไม่เหมือนคนเดิม
ระยะอาการหลงเหลือ
ส่วนใหญ่แล้วอาการต่างๆ ที่กำเริบจะเป็นอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อรักษาก็จะทุเลาลง อาการหลงผิดหรือประสาทหลอนจะหายไป หรืออาจมีแต่ก็น้อยหรือเป็นนานๆ ครั้ง พูดจาฟังรู้เรื่องขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ป่วยมักยังมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง เช่น มีความคิดแปลกๆ เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์หรือโชคลาง อาการด้านลบมักพบบ่อยในระยะนี้
ญาติมีส่วนช่วยในการดูแลผู้ป่วยจิตเภท
ถ้าผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ดูสับสน วุ่นวาย ดื้อ ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมมาพบแพทย์ ญาติควรจะมาติดต่อกับแพทย์ เพื่อเล่าอาการของผู้ป่วยให้แพทย์ทราบซึ่งญาติจะได้รับคำแนะนำเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของผู้ป่วย ถ้าพบความผิดปกติ เช่น พูดพร่ำ พูดเพ้อเจ้อ พูดคนเดียว เอะอะ อาละวาด หงุดหงิด ฉุนเฉียว หัวเราะหรือยิ้มคนเดียว เหม่อลอย หลงผิด ประสาทหลอน หวาดกลัว ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
ช่วยพาผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาให้สม่ำเสมอ ตรงตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้การดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ
จัดหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำโดยเฉพาะในเวลากลางวัน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยคิดมาก ฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับบังคับมากเกินไป
ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ครวเพิ่ม หยุด หรือลดยาเอง
โรคจิตเภทเกิดขึ้นได้อย่างไร
ระบบสารเคมีในสมอง
เชื่อว่าโรคนี้เป็นจากสารเคมีในสมองที่ชื่อว่าโดปามีน (dopamine) ในบางบริเวณของสมอง มีการทำงานมากเกินไป และพบว่าการที่ยารักษาโรคจิตรักษาโรคนี้ได้เป็นจากการที่ยาไปออกฤทธิ์ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารโดปามีน
ความผิดปกติในส่วนอื่นๆ ของสมอง
พบผู้ป่วยโรคจิตเภทอยู่จำนวนหนึ่งที่มีช่องในสมอง (ventricle) โตกว่าปกติ ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอาการด้านลบเป็นอาการเด่น บางการศึกษาพบว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลง และการทำงานของสมองส่วนหน้ามีไม่เต็มที่
กรรมพันธุ์
มีผู้ที่เกิดป่วยเป็นโรคจิตเภท 1 คน หากติดตามพี่น้องของผู้ที่ป่วยเป็นโรคจิตเภทไปเรื่อยๆ 100 คนจะพบว่าเกิดป่วยเป็นโรคจิตเภท 8 คน จะเห็นว่ายิ่งมีความใกล้ชิดทางสายเลือดมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตคือแม้แต่แฝดไข่ใบเดียวกัน (คู่แฝดที่มีหน้าตาเหมือนกันเพศเดียวกัน) คนหนึ่งเป็นอีกคนหนึ่งก็ไม่ได้พบว่าเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าถึงแม้กรรมพันธุ์จะมีส่วนในการเกิดโรคแต่ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุไปทั้งหมด
การป้องกัน
การป้องกันโรคจิตเภทเป็นเรื่องยากเพราะไม่มีตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ว่าจะเกิดโรคในอนาคตมีหลักฐานเบื้องต้นบ้างว่าการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ มีผลป้องกันโรคที่ดีมีหลักฐานบ้างว่า การรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ วิธีการป้องกันอีกอย่างก็คือหลีกเลี่ยงยาที่สัมพันธ์กับการเกิดโรค รวมทั้งกัญชา โคเคน และแอมเฟตามีน
วินิจฉัย
แบบย่อย
โรคจิตเภทแบบระแวง (paranoid schizophrenia): คนไข้มีอาการหลงผิดหรือประสาทหลอนทางหู แต่ไม่มีความผิดปกติทางความคิด พฤติกรรมวุ่นวายสับสน และการไม่แสดงออกทางอารมณ์ อาการหลงผิดเป็นแบบคนตามรังควานหรือคิดว่าตนเขื่อง นอกเหนือจากนี้ ตีมอื่น ๆ เช่น ความอิจฉาริษยา ความเคร่งศาสนา และการแสดงความทุกข์ทางใจออกเป็นโรคทางกาย (somatization) ก็อาจมี (DSM code 295.3/ICD code F20.0)
โรคจิตเภทแบบสับสน (disorganized schizophrenia): เรียกว่า hebephrenic schizophrenia ใน ICD เมื่อมีความผิดปกติทางความคิดและการไม่แสดงออกทางอารมณ์เป็นอาการร่วมกัน (DSM code 295.1/ICD code F20.1)
โรคจิตเภทแบบเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonic schizophrenia): คนไข้อาจอยู่เฉย ๆ หรือมีการเคลื่อนไหวที่ไม่สงบวุ่นวาย ไร้จุดหมาย อาการอาจรวมอาการเงียบงัน (stupor) และอาการจัดท่าทางได้เหมือนหุ่นขี้ผึ้ง (waxy flexibility) (DSM code 295.2/ICD code F20.2)
รูปแบบที่ไม่ได้จัด: มีอาการโรคจิตแต่ไม่ผ่านเกณฑ์แบบย่อย คือระแวง (paranoid), สับสน (disorganized) และเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonic) (DSM code 295.9/ICD code F20.3
การวินิจฉัยแยกโรค
อาการโรคจิตอาจมีในความผิดปกติทางจิตใจ (mental disorder) อื่น ๆ รวมทั้งโรคอารมณ์สองขั้ว (BD), ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง, ความเป็นพิษจากยา และภาวะโรคจิตเหตุสารภายนอก (substance-induced psychosis) อาการหลงผิด (แบบไม่แปลก คือ non-bizarre) ยังมีด้วยในโรคหลงผิด (delusional disorder) และการถอนตัวจากสังคมในโรค social anxiety disorder, avoidant personality disorder และ schizotypal personality disorder (STPD) โดย STPD มีอาการคล้ายกันแต่รุนแรงน้อยกว่าโรคจิตเภท[6] โรคจิตเภทยังอาจเกิดพร้อมกับโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) บ่อยครั้งเกินกว่าที่จะอธิบายได้ว่าบังเอิญ แม้การแยกความหมกมุ่นของโรค OCD กับอาการหลงผิดของโรคจิตเภทอาจเป็นเรื่องยากบุคคลที่เลิกยาเบ็นโซไดอาเซพีนอาจมีอาการขาดยาที่รุนแรงและยาวนาน ซึ่งอาจคล้ายโรคจิตเภทและวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรค
เกณฑ์
อาการเคลื่อนไหวน้อยหรือมากเกิน (catatonia) ไม่จัดว่าสัมพันธ์กับโรคจิตเภทอย่างมีกำลัง
เมื่อรายงานอาการของโรค แนะนำว่าให้จำแนกให้ดีระหว่างภาวะโรคปัจจุบันกับที่ผ่านมาในอดีต เพื่อให้สามารถระบุวิถีการดำเนินของโรคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การแจกแนกแบบย่อย (subtype) เช่น ยกเลิกแบบย่อย catatonic schizophrenia และโรคจิตเภทแบบระแวง (paranoid schizophrenia) ซึ่งมีอยู่ในฉบับก่อน ๆ โดยมากตามแบบฉบับ แต่ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่มีค่าอะไร
วิทยาการระบาด
โรคจิตเภทมีผลต่อคน 0.3-0.7% ในช่วงชีวิตของตน ๆคือมีผลต่อคน 24 ล้านคนทั่วโลกจนถึงปี 2011 เกิดในชายเป็น 1.4 เท่าของหญิงและปกติเกิดเมื่อวัยเยาว์กว่าอายุที่เกิดมากสุดของชายอยู่ที่ 25 ปีและของหญิง 27 ปี การเกิดในวัยเด็กจะมีน้อยกว่า และนัยเดียวกัน การเกิดในวัยกลางคนหรือวัยชรา