Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

โรคในหญิงตั้งครรภ์ ธาลัสซีเมียlll - Coggle Diagram

- - - - 1.โรคลิ้นหัวใจ มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ streptococcus
      - 2.โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
        
        ชนิดที่ไม่มีอาการเขียวร่วม ด้วยเกิดจากภาวะ left to right shunt
        
        ชนิดที่มีอาการเขียวรวมด้วยเกิดจากภาวะ right to left shunt
    - - อาการหอบเหนื่อย, หายใจลำบากในตอนกลางคืน, ไอเป็นเลือด, เจ็บหน้าอก, หัวใจโต, อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติอย่างรุนแรง, มีอาการเขียว และนิ้วปุ้ม
    - - Class II: Slightly compromise คือ ความสามารถในการทำกิจกรรมลดลง
      - Class III: Markly compromise คือ ขณะพักจะรู้สึกสบายดี
      - Class I: Uncompromise คือ ไม่มีอาการของโรคหัวใจ
      - Class IV: Severely compromise คือ ไม่สามารถทำกิจกรรมได้
    - - ภาวะ tachyarrhythmia ที่เกิดจากการทำงานของหัวใจที่เลวลง, ภาวะปอดบวมน้ำ, ภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับการตั้งครรภ์, ตกเลือดหลังคลอด ซีด, การติดเชื้อ, thromboembolism ในมารดาที่เคยผ่าตัดลิ้นหัวใจ อาจทำให้เกิดการอุดตันที่ลิ้นหัวใจเทียม
    - - แท้ง, คลอดก่อนกำหนด, ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์, ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย, ทารกตายในครรภ์,มีโอกาสเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
    - - 3 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      - 4 การตรวจพิเศษ
      - 2 การตรวจร่างกาย
      - 1 การซักประวัติ
  - - - การป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวโดย ควรจัดท่านอนศีรษะสูง, ประเมินสัญญาณชีพทุก 30-60 นาที, การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, ติดตามภาวะทารกในครรภ์ด้วย external fetal manitaring, การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกัน bacterial endocarditis
    - - ป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวจากการมีเลือดไหลย้อนกลับเข้าสู่ระบบหัวใจในปริมาณมาก, ให้มี early ambulation, ให้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดต่อเนื่องอีก 6 สัปดาห์ ,เฝ้าระวังภาวะติดเชื้อโดยการให้ยาปฏิชีวนะต่อ, การคุมกำเนิดไม่แนะนำให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
    - - 1 หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการดูแลร่วมกันระหว่างสูติแพทย์และแพทย์โรคหัวใจ
      - 2 รับการฝากครรภ์ในหน่วยเสี่ยงสูงโดยใน 28 สัปดาห์แรกให้มารดาตรวจครรภ์ทุก 2 สัปดาห์หลังจากนั้นให้มารดาตรวจทุกสัปดาห์ตามความรุนแรงของโรค
        
        ประเมินอาการและอาการแสดงของโรคหัวใจ เช่น หายใจหอบเหนื่อย, เฝ้าระวังการติดเชื้อ, เฝ้าระวังภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์, ตรวจติดตามสุขภาพของทารกในครรภ์ด้วยการนับลูกดิ้น
  - - - ให้นอนพักผ่อนบนเตียงในท่าศีรษะสูง, ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว, ประเมินสัญญาณชีพทุก 15 ถึง 30 นาที, ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทุก 1 ชั่วโมง, รายงานแพทย์เพื่อให้ยาระงับปวด, ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา, ประเมินติดตามความก้าวหน้าของการคลอดเป็นระยะตามข้อบ่งชี้ที่, ดูแลสุขภาพทางด้านร่างกายและจิตใจ, ดูแลให้ได้รับอาหาร น้ำ หรือสารละลายทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา, ประเมินและบันทึกสารน้ำเข้าออกจากร่างกาย, เตรียมอุปกรณ์ในการทำคลอด
    - - จัดท่านอนศีรษะสูง ชันเข่า, ประเมินสัญญาณชีพทุก 5-10 นาที, ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหายใจล้มเหลวอย่างใกล้ชิด, ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ, ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกทุก 5-10 นาที, เตรียมผู้คลอดสำหรับการช่วยคลอดโดยใช้สูติศาสตร์หัตถการ
    - - อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจพยาธิสภาพของโรค, อธิบายให้เห็นความสำคัญของการฝากครรภ์และการมาตรวจตามนัด, แนะนำการพักผ่อนและการทำงาน, แนะนำการรับประทานอาหารและยา, แนะนำการดูแลทำความสะอาดร่างกาย, แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์สังเกตอาการและอาการแสดงที่บ่งชี้ถึงภาวะหัวใจล้มเหลวที่ต้องมาพบแพทย์ทันที เช่นหายใจหอบเหนื่อย, แนะนำเรื่องการนับลูกดิ้น, แนะนำเรื่องการมีเพศสัมพันธ์
    - - ควรป้องกันการเกิดภาวะช็อกและหายใจล้มเหลว, ดูแลให้รับพักผ่อนและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ, ประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้งทุก 30 นาที 2 ครั้งหลังจากนั้นประเมินทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าจะคงที่, เฝ้าระวังการประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลว, ประเมินการตัวของมดลูกและดูแลให้ได้รับยากระตุ้นการหดตัวของมนุษย์ตามแผนการรักษา, ประเมินปริมาณเลือดที่ออกจากทางช่องคลอดและแผลฝีเย็บตามหลักเพื่อป้องกันการตกเลือด, ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวหลังคลอด
- - - - ระยะเวลาคลอดที่ดีที่สุดคือครรภ์ใกล้ครบกำหนดในรายที่ควบคุมเบาหวานๆคลอดเมื่ออายุครรภ์ครบ 38 สัปดาห์, ในกรณีที่มีการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดอาจพิจารณายับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดเหมือนทั่วไปแต่ต้องหลีกเลี่ยงการให้ beta-Sympathomimatic เนื่องจากยาเหล่านี้จะทำให้ประสิทธิภาพการควบคุมน้ำตาลในมารดาลดลง, ในรายที่ผลการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์บ่งบอกว่าทารกอยู่ในภาวะอันตรายควรให้คลอดทันที, วิธีการคลอดโดยทั่วไปสามารถให้คลอดทางช่องคลอดแต่ในรายที่ทารกตัวโตมากอาจพิจารณาผ่าคลอดทางหน้าท้อง, มารดาควรได้รับน้ำและน้ำตาลอย่างเพียงพอโดยให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อให้มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 80-120 มก. / ดล. ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 1-2 ชั่วโมง, ตรวจหาการฉีกขาดของช่องทางคลอดซึ่งมีโอกาสเกิดมากขึ้นเนื่องจากทารกตัวโตเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
    - - ในรายที่เป็น overt DM จำเป็นต้องเน้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดต่อไปการให้อินซูลินต้องระมัดระวังเพราะความต้องการอินสุลินจะลดลงมากเมื่อเทียบกับก่อนคลอด, การคุมกำเนิด เช่น หลีกเลี่ยงยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูงเนื่องจากทำให้การควบคุมเบาหวานยากขึ้น, การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว, ยาฉีดคุมกาเนิดและยาฝังคุมกำเนิดสามารถใช้ได้เนื่องจากมีผลต่อคาร์โบไฮเดรตเมตาบอลิซึมน้อย, ห่วงอนามัยไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้ง่าย, การเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาสามารถให้ได้แต่ควรแนะนำให้มารดารับประทานอาหารเพิ่มอีกประมาณ 400 กิโลแคลอรี่จากที่ควรได้รับในช่วงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในช่วงที่ให้นมบุตร
    - - การตรวจหาภาวะเบาหวานในระยะตั้งครรภ์ เช่น ประเมินอาการและอาการแสดงของเบาหวานและปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์, หญิงตั้งครรภ์ที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานมาก่อนควรได้รับการตรวจระดับ HbA1c ในช่วงไตรมาสแรก, ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยง (potential risk) ดูแลให้ได้รับการตรวจคัดกรองเบาหวานด้วยวิธี 50 กรัม giucose challenge test ขณะอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดเท่าหรือมากกว่า 140 มก. / ดล. ส่งตรวจ OGTT ต่อ, เตรียมหญิงตั้งครรภ์สำหรับการตรวจ 100 กรัม OGTT ดังนี้, อธิบายเหตุผลและความสำคัญของการตรวจรวมถึงวิธีการตรวจ, การปฏิบัติตัวเพื่อควบคุบระดับน้ำตาลในเลือดในระยะตั้งครรภ์, อาหารแต่ละมื้อควรแบ่งอาหารเป็นวันละ 6 มื้อ ได้แก่ อาหาร 3 มื้อปกติและมีอาหารว่างตอนสายบ่ายและก่อนนอนทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะ Hyperglycemia