Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การออกแบบการวิจัย (Research design) - Coggle Diagram
การออกแบบการวิจัย
(Research design)
ความหมาย
เป็นการวางรูปแบบการวิจัย กำหนดกิจกรรมและรายละเอียด
ของแผนการวิจัย เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของคำถามการวิจัย
หรือเพื่อทดสอบสมมมติฐานการวิจัย โดยรูปแบบหรือประเภท
ของการวิจัย ต้องเหมาะสมกับปัญหาวิจัยที่ศึกษา
จุดมุ่งหมาย
เพื่อให้ได้การวัดตัวแปรถูกต้อง
เพื่อให้การดำเนินการวิจัยเป็นระบบ
เพื่อควบคุมความแปรปรวนของตัวแปร
Max-Min-con principle
Max=วิธีการทำให้ความแปรปรวนของตัวแปรที่ศึกษามีค่าสูง
Min=ลดความคลาดเคลื่อนให้เหลือน้อย
Con=ควบคุมความแปรปรวนโดยการสุ่ม
/การกำจัดตัวแปรแทรกซ้อน
เพื่อความประหยัด
งบประมาณ
คน
เวลา
เพื่อให้ได้ได้คำตอบของปัญหาการวิจัยที่ถูกต้อง
มีการทบทวนวรรณกรรม ศึกษาเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎี
และหลักการทางวิทยาศาสตร์
จะทำให้ได้ผลการวิจัยที่มีความเที่ยงตรง มีความเชื่อมั่น และชัดเจน
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกแบบการวิจัย
3.ระดับของการอธิบายความเป็นเหตุเป็นผล
(Causality)
4.คำนึงถึงหลักการออกแบบการวิจัย
การเพิ่มความแปรปรวนที่มีระบบให้มีค่าสูงสุด
การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนให้มีค่าคงที่
การลดความคลาดเคลื่อนให้เหลือน้อยที่สุด
การทำให้เครื่องมือการวิจัยมีคุณภาพ
การลดความคลาดเคลื่อนที่เกิดจาก
การดำเนินการวิจัยให้น้อยที่สุด
2.ความเป็นไปได้ในการวิจัย
(Feasibility)
5.ไม่ขัดต่อหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์
1.เลือกรูปแบบการวิจัยให้เหมาะสมกับปัญหาการวิจัย
การเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ปัจจัยด้านเวลา
ปัจจัยสนับสนุน
ธรรมชาติของการปัญหาการวิจัย
ประเภท/รูปแบบของการวิจัย
1.แบ่งตามโครงสร้างของงานวิจัย
การวิจัยแบบทดลอง
(Experimental research)
การวิจัยแบบกึ่งทดลอง
(Quasi-experimental research)
เป็นการวิจัยที่มีการจัดกระทำด้วยการให้สิ่งทดลอง
กลับกลุ่มตัวอย่าง
คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยไม่มีการสุ่ม/การควบคุมตัวแปร/
อาจเลือกมาแบบเฉพาะเจาะจง
การวิจัยที่เปรียบได้กับการวิจัยแบบทดลอง
(Comparative experimental research)
เป็นการวิจัยที่มีการจัดกระทำด้วยการให้สิ่งทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง
มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
และมีการควบคุมปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อสิ่งทดลอง
แต่ไม่มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างจากประชากร
การวิจัยแบบก่อนทดลอง
(Pre-experimental research)
เป็นการวิจัยแบบทดลองเบื้องต้นที่มีการจัดกระทำด้วยการให้
สิ่งทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง
การวิจัยแบบทดลองที่แท้จริง
(True experimental research)
เป็นการวิจัยที่มีการจัดกระทำด้วยการให้สิ่งทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง
โดยมีการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อควบคุมไม่ให้ปัจจัยอื่นๆ
ที่ไม่เกี่ยว ข้องส่งผลต่อการทดลอง
รูปแบบการวิจัยอื่นๆ (Others)
การวิจัยแบบไม่ทดลอง
(Non-experimental research)
การวิจัยเชิงบรรยาย
(Descriptive research)
เป็นการวิจัยที่บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร
มีสภาพ คุณลักษณะ คุณสมบัติ ตลอดจนรายละเอียดของ
เหตุการณ์หรือสภาพการณ์นั้
การวิจัยเชิงความสัมพันธ์
(Correlational research)
Correlational research เป็นการศึกษาที่ทำความเข้าใจความสัมพันธ์
ระหว่างปรากฏการณ์หรือตัวแปร ๒ ตัว (ตัวแปรอิสระและเป็นตัวแปรตาม)
ว่าการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของ
อีกตัวแปรหนึ่งหรือไม่ อย่างไร
Predictive research เป็นการศึกษาเพื่อมุ่งเน้นการคาดการณ์
หรือ ทำนายเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (ตัวแปรตาม)
Path analytic study (Model testing) เป็นการศึกษาเพื่อมุ่งทดสอบ
ทฤษฏีโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เส้นทาง
การวิจัยเชิงสำรวจ
(Survey research)
เป็นการวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะหรือสถานการณ์
หรือสภาพทั่วๆไป
2.แบ่งตามลักษณะของเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจัยเชิงคุณภาพ
(Qualitative research)
ได้ข้อมูลเป็นเนื้อหา
ศึกษาจากมุมมองของคนในสถานการณ์
การวิจัยเชิงปริมาณ
(Quantitative research)
มีการใช้สถิต/การวิเคราะห์ด้วยตัวเลข
ศึกษาจากมุมมองของบุคคลภายนอก
การวิจัยแบบผสานวิธี
(Mixed method research)
เป็นการวิจัยที่ผสานวิธีกันระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ
และการวิจัยเชิงคุณภาพ
3.แบ่งตามระยะเวลา
การวิจัยแบบตัดขวาง
(Cross-sectional research)
เป็นการศึกษาระยะสั้น
มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเพียงครั้งเดียว หรืออาจเก็บข้อมูล
หลายครั้งแต่ห่างกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่น ๑-๒ ชม.
การวิจัยแบบระยะยาว
(Longitudinal research/ Cohort study)
เป็นการศึกษาระยะยาว
มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างมากกว่าหนึ่งครั้ง มีการติดตามกลุ่มตัวอย่างเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์เป็นระยะ เช่น
3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี
เป็นการศึกษาแบบไปข้างหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลในอนาคต
4.แบ่งตามประโยชน์ของผลการวิจัยที่นำไปใช้
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Basic/pure research)
เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวงหาความรู้ใหม่เพื่อสร้างทฤษฏี
สร้างสูตร หรือสร้างกฎ
การวิจัยประยุกต์ (Applied research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเสาะแสวง
หาความรู้ และนำผลการวิจัยไปประยุกต์
ใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ
การวิจัยและพัฒนา (Research & development: R & D)
เป็นงานวิจัยที่มุ่งเน้นนำเอาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
โดยตรงอย่างเป็นรูปธรรม
5.แบ่งตามช่วงเวลาที่ศึกษาวิจัย
การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
(Historical research)
การวิจัยร่วมสมัย
(Contemporaneous research)
การวิจัยเชิงอนาคต
(Futuristic research)
หลักการการออกแบบการวิจัย
(Principles of Research Designs)
ผู้วิจัยต้องคำนึงถึงหลักการสำคัญ ๒ หลักการ
1.ความตรง (Validity)
ความตรงจากวิธีการทางสถิติ
(Statistical Conclusion Validity)
การใช้สถิติวิเคราะห์ที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับลักษณะข้อมูล
จะทำให้ผลการวิจัยที่มีความตรงจากวิธีการทางสถิต
ความตรงภายใน
(Internal Validity)
ผลจากตัวแปรที่ศึกษาเท่านั้น
ปัจจัยที่มีผลความตรงภายใน
เหตุการณ์พ้อง (History) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยผู้วิจัยไม่ได้คาดคิด
และเป็นเหตุการณ์ที่มีผลต่อค่าตัวแปรตามที่ศึกษาผลการวิจัยที่ค้นพบ
วุฒิภาวะ (Maturation) หมายถึง ความพร้อมทางด้านร่างกายและ
ด้านจิตใจซึ่งครอบคลุมอายุ ประสบการณ์ ความฉลาด ความแข็งแรง
การทดสอบ (Testing) คือ การให้กลุ่มตัวอย่าง
ตอบแบบสอบถามชุดเดิมมากกว่า ๑ ครั้ง
เครื่องมือวิจัย (Instruments) ต้องมีความตรง ความแม่นยำ
การถดถอยทางสถิติ (Statistical Regression)
การสุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (Random Assignment)
การสูญหายของกลุ่มตัวอย่าง (Experiment Mortality)
ความคลุมเครือในทิศทางความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของตัวแปร
การแพร่ของสิ่งทดลอง (Diffusion of Treatment)
อิทธิพลร่วมระหว่างปัจจัยอื่นๆ กับการเลือกตัวอย่าง
การตอบสนองของกลุ่มตัวอย่างในกลุ่มควบคุม
การตอบสนองของกลุ่มตัวอย่างในกลุ่มทดลอง
ความตรงภายนอก
(External Validity)
ลักษณะของการวิจัยที่สามารถสรุปอ้างอิง
ผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาไปสู่ประชากรได้
อย่างถูกต้อง ชัดเจน และน่าเชื่อถือ
ประเภท
๑. ความเที่ยงตรงเชิงประชากร
(Population Validity)
เป็นการตอบคำถามว่า “ผลการวิจัยจะสามารถ
นำไปใช้กับประชากรใดได้ดี หรือได้มากน้อยเพียงใด”
๒. ความเที่ยงตรงเชิงสภาพการณ์
(Ecological Validity)
เป็นการตอบคำถามว่า “ผลการวิจัยจะสามารถนำ
ไปใช้ได้ในสถานการณ์ใด และเมื่อใช้ในสถานการณ์ใดๆ
ณ เวลาที่แตกต่างกัน จะก่อให้เกิดข้อจำกัดอย่างไร”
ความตรงตามโครงสร้าง
(Construct Validity)
เป็นความตรงที่มาจากตัวแปรในกรอบแนวคิดการวิจัย
ได้รับการจัดกระทำ
2.การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
(Control Extraneous Variables)
เป็นตัวแปรที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าตัวแปรตาม
แต่เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยไม่ได้ศึกษา จึงต้องควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนเหล่านี้
จำแนกเป็น 3 ประเภท
ตัวแปรแทรกซ้อนภายในกลุ่มตัวอย่าง
(Intrinsic to the Subjects)
ควบคุมตัวแปรแทรก
ซ้อนที่เป็นปัจจัยภายในของกลุ่มตัวอย่าง
โดยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่า
ตัวแปรแทรกซ้อนจากผู้ทดลองและกลุ่มตัวอย่าง
(Experimenter and Subjects )
ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่เกิดจากผู้ทดลอง
เป็นวิธีที่ไม่ให้กลุ่มตัวอย่างทราบว่า ตัวอย่างในกลุ่มใดเป็นกลุ่มทดลอง
และตัวอย่างในกลุ่มใดเป็นกลุ่มควบคุม
ตัวแปรแทรกซ้อนที่เป็นปัจจัยภายนอก
(External Factors)
ควบคุมปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม
และปัจจัยด้านเวลา
เกณฑ์การออกแบบการวิจัย
การวางแผนแบบการวิจัย
การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดข้อมูล และแหล่งข้อมูล
การกำหนดปัญหาการวิจัย คำถามการวิจัย และวัตถุประสงค์ของการวิจัย
การกำหนดเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การกำหนดวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิจัย
ลักษณะของแบบการวิจัยที่ดี
ปราศจากความสับสน
ปราศจากความมีอคติ
สามารถควบคุมตัวแปร
แทรกซ้อนได้
มีการเลือกใช้สถิติที่ถูกต้อง
ในการทดสอบสมมุติฐาน
การออกแบบการวิจัย
การออกแบบการวัดค่าตัวแปร
(Measurement Design)
กำหนดระดับการวัดของข้อมูล/
สร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้วัดค่าตัวแปร
ตรวจสอบคุณภาพที่จำเป็นต้องมีของเครื่องมือที่ใช้วัด
กำหนดโครงสร้าง และคานิยามของค่าตัวแปร
แต่ละตัวที่ต้องการวัดให้ชัดเจน
กำหนดวิธีการและขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ชัดเจน
กำหนดวัตถุประสงค์
กำหนดรูปแบบ วิธีวัดค่าตัวแปร หรือ
การควบคุมตัวแปรเกิน โดยวิธีการสุ่ม
การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง
(Random Sampling Assignment)
กำหนดวิธีการสุ่มตัวอย่าง
กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม
การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล
การเลือกใช้สถิติเชิงบรรยาย (Descriptive Statistics)
การเลือกใช้สถิตเชิงอ้างอิง (Inferential Statistics)