Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที 8 การใช้อาหารในการบำบัดโรค และการให้โภชนาศึกษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง -…
บทที 8 การใช้อาหารในการบำบัดโรค และการให้โภชนาศึกษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
โภชนบำบัด
ดัดแปลงอาหารธรรมดาให้เป็นอาหารที่เหมาะสมกบโรคที่เป็นอยู่
จัดใหถูกหลักโภชนาการ
การใชอาหารช่วยในการรักษาโรค
จุดมุ่งหมายที่สำคัญคือช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค
โภชนบำบัดหรืออาหารบำบัดโรค(Diettherapy)
กระบวนการทางโภชนบําบัด
การวิเคราะห์ภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
1.1 การซักประวัติ
เพื่อสืบหาสาเหตุของปัญหา โภชนาการโดยเฉพาะ
การซักประวัติอาจสอบถามจากผู้ป่วยโดยตรงหรือญาติก็ได้
ซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับอาหารบริโภค
1.2 การวัดขนาดร่างกายของผ้ปู่วย
การวัดส่วนสูงน้ำหนักและการวัดส่วนประกอบของร่างกาย
1.3 การตรวจร่างกาย
ใช้วิธีสังเกตุและวิธีตรวจร่างกายอย่างเป็นลําดับและเป็นระเบียบ
ตรวจบริเวณใดบริเวณหนึ่งทีละแห่ง
1.4 การตรวจทางชีวเคมี
การตรวจเลือดและปัสสาวะ
ช่วยยืนยันความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
การวางแผนการให้โภชนบําบัด
2.1 เป้าประสงค์ ผลลัพธ์ที่พึงปรารถนาสําหรับผู้ป่วยอย่างกว้างๆ ให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักเพิ่มข้ึน
2.2 วัตถุประสงค์ ผลระยะสั้นแต่ละขั้นตอนที่บรรลุเป้าประสงค์ ให้น้ำหนักเพิ่มข้ึนสัปดาห์ละ 500 กรัม โดยให้พลังงานเพิ่มข้ึนวันละ 500 แคลอรี
หลังจากการวิเคราะห์ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยอย่างสมบูรณ์แล้ว
2.3 ชนิดของอาหารเพื่อโภชนบำบัด พิจารณาอาหารที่จะให้แก่ผู้ป่วย
ขั้นการดําเนินการโภชนบําบัด นําแผนโภชนบําบัดมาดําเนินการให้ ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ต้องการรวมทั้งให้คำปรึกษาและให้โภชนศึกษา
ขั้นการประเมินผลโภชนบําบัด เพื่อดูความก้าวหน้าของการรักษาผู้ป่วยและประสิทธิภาพของแผนโภชนบำบัดแล้วดำเนินการ ปรับปรุงแก้ไขตามผลที่ประเมินได้
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้โภชนบําบัด
พยาบาล
2.2 หากผู้ป่วยมานอนป่วยโดยแพทย์ยังไม่ได้สั่งอาหารทางฝ่ายพยาบาลไม่สามารถติดต่อ แพทย์ให้สั่งอาหารได้ฝ่ายพยาบาลอาจสั่งอาหารอ่อนหรืออาหารน้ำให้แก่ผู้ป่วยก่อน
2.3 คอยช่วยเหลือดูแลคนไข้ระหว่างรับประทานอาหาร
2.1 เป็นผู้คัดลอกคําสั่งของแพทย์
นักกำหนดอาหาร
กำหนดอาหารและดัดแปลงอาหารให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และความพึงพอใจของผู้ป่วยด้วย
ควบคุมการจัดและการปรุงอาหารเฉพาะโรค
คิดคำนวณคุณค่าอาหารสำหรับผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่ง
เยี่ยมผู้ป่วยเพื่อจะได้ทราบผลการรับประทานอาหารของผู้ป่วย ถ้ามีปัญหาจะได้แก้ไขอย่างถูกต้อง
ทำงานร่วมกับแพทย์และพยาบาลในการให้คำปรึกษาแนะนำ ด้านอาหารกับผู้ป่วย
แพทย์ เป็นผู้สั่งอาหารให้แก่ผู้ป่วย
โรคไม่ติดต่อเรือรัง (Non-Communicable Diseases) ซึงไม่ได้เกิดจากเชือ ไม่ติดต่อ ไม่มีตัวพาหะนําโรค แต่เปนโรคทีเราสร้างขึนเองล้วนๆ จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
โรคเบาหวาน
ฺฺ-โภชนบําบัดโรคเบาหวาน
-โภชนศึกษาโรคเบาหวาน
อาหารทีเหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1.)เรียนรู้และนับคาร์บกับอาหารแลกเปลียน หมายถึง การนับปริมาณสารอาหารคาร์โบไฮเดตรในอาหาร ที่กินเข้าไปทําให้มีผลต่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ได้แก่ ข้าวสวย 1ทัพพี เส้นใหญ่ 1ทัพพี ข้าวขนมจีน 1 ทัพพี วุ้นเส้น 1 ทัพพี และขนมปัง 1 แผ่น
3.)รู้จักเลือกกินอาหารทีมีประโยชน์ 1.)เลือกคาร์โบไฮเดรตชนิดดี อาหารทีมีใยอาหารและมีค่าดัชนีนาตาลตา <55 ส่งผลต่อการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพดขนมปังโฮลแกรน โฮลวีน ถัว ธัญพืช 2.)เลือกกินชนิดไขมันทีช่วยลดคอเรสเตอรอลทีไม่ดี(LDL) โดยไม่ลดคอเรสเตอรอล(HDL) ได้แก่ นามันรําข้าว นามันมะกอก นามันถัวลิสง ดังนั้น การกินไขมันควรกินน้อยๆวันหนึงกินไม่เกิน 6 ช้อนชา 3.)กินอาหารทีมีแอนตีออกซิเดนซ์ เช่น ผักผลไม้ 5 สี ผักมือละ 2 ทัพพี ผลผไม้มือละ 1 ส่วน 4.)กินอาหหารทีมีจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น โยเกิร์ตสูตรไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย
4.)รู้จักเลือก รู้จักลด แลละงดอาหารทีเสียงต่อสุขภาพ 1.)ลดและงดคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี เพราะสารอาหารต่ำ มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและทําให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเ ร็ว เช่น น้ำตาล เครื่องดื่มรสหวาน 2.)ลดและงดไขมันทีได้จากผลิตภัณฑ์สัตว์และไขมันทรานซ์ เช่น หมูสามชั้น หนังหมู/ไก่ เป็นอาหารทีมีไขมันทรานซ์เพราะจะเพิ่ม LDL และลด HDL เช่น มาร์การีน เนยขาว เนยเทียมคุกกี้ พาย ครัวซองค์ และอาหารทีทอดต่างๆ
2.)เลือกกินเนือสัตว์อย่างฉลาด -กินโปรตีน 0.8 กรัม/น้ำหนักตัว(กิโลกรัม)เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ -กินเนื้อสัตว์ทีมีไขมันต่ำ และมีแคลเซียม เหล็ก สังกะสี เช่น ปลา -หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ทีมีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น กุนเชียง หนังหมู หมูยอ ไส้กรอก และการปรุงโดยใช้นามันมาก
5.)กินโดยควบคุมปริมาณอาหารจากพลังงานทีต้องการทีต้องการในแต่ละวัน
โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ -โภชนบําบัดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ -โภชนศึกษาหลอดเลือดสมองและหัวใจ
อาหารทีเหมาะกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ
1.หลีกเลียงอาหารที่มีไขมันสูง เช่นไขมันสัตว์หนังเป็ด/ไก่ สมองสัตว์ ตับ เครืองในสัตว์ อาหารแปลรูป
2.หลีกเลี่ยงอาหารทีมีคอเลสเตอรอลสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง หอยนางลม ปลาหมึก กุ้ง
3.งดนามันมะพร้าว นามันปาล์ม
4.หลีกเลี่ยงอาหารทอด และผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น ปาท๋องโก๋ ไก่ทอด พาย คุกกี้
5.หลีกเลียงอาหารทีทําจากไข่แดง และไขมันอิ่มตัว เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง
6.ใช้นามันในการปรุงอาหารแต่พอควร และเลือกใช้น้ำมันทีมีสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันรําข้าว
7.ควรเลือกดื่มนมประเภทไขมันตา(นมพร่องมันเนย) 8.ลดการกินอาหารเค็ม รวมไปถึงปลาเค็ม ไข่เค็ม กุนเชียง หมูยอ เปนต้น
9.กินผัก ผลไม้ เปนประจํา เพื่อให้ได้รับวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน
10.หลีกเลียงการดืมสุรา กาแฟ และงดการสูบบุรี่ 11.ออกกําลังกายสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
12.พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมให้เกิดความเครียดทังทางอารมณ์และจิตใจ
ควบคุมไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
1.ควบคุมระดับคอเลศเตอรอลในเลือดให้น้อยกว่า 220 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
2.ควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดให้ต่ำกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
3.ลดปริมาณไขมันให้น้อยลง วันหนึ่งไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด
4.ลดปริมาณกรดไขมันชนิดอิมตัวลง ควรงดไขมันจากสัตว์ ไข่แดง เนยนม นามันปาล์ม นามันมะพร้าม
5.กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถัวเหลือง ซึ่งมีกรดไลโนเลอิค และพบว่า จะช่วยลดไขมันในเลือดและความมดันโลหิตสูงได้
โรคมะเร็ง
อาหารทีทําให้ระดับไขมันตัวร้ายในเลือดสูง
1.)อาหารทีมีกรดไขมันอิ่มตัว
1.1ผลิตภัณฑ์จําพวกนม เช่น นมทีมีไขมันอยู่ครบ เนยแข็ง เนย ไอศกรีม
1.2เนื้อสตว์ทีมีไขมันสูง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมูปนมัน เบคอน กุนเชียงและไส้กรอก
1.3ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว
1.4นามันปาล์ม นามันมะพร้าว
2.)อาหารทีมีไขมันทรานซ์ พบได้ในอาหารทีมีการใช้นามันทีมีการเติมไฮโดรเจนลงในนามันที มีกรดไขมันไม่อิมตัวสูง เช่น เนยเทียม เนยขาว ได้แก่ ขนมอบต่างๆ เบเกอรี คุกกี และอาหารใช้ความร้อนต่อเนืองนานๆ
3.)อาหารทีมีคอเรสเตอรอล
3.1ไข่แดง เนื้อสัตว์ไขมันสูงและผลิตภัณฑ์นมทีมีไขมันสูง
3.2เครืองในสัตว์ เช่น ตับ 3.3สัตว์ปก เช่น ไก่ เปด 3.4สัตว์นาประเภททีมีเปลือก เช่น หอย กุ้ง ปู
โรคมะเร็ง
-โภชนบําบัดโรคมะเร็ง
-โภชนศึกษาโรคมะเร็ง
ปัญหาการกิน
1.กินครั้งละน้อย แต่บ่อยขึ้นเป็น 5-6 มื้อ
2.กินอาหารทีมีโปรตีนสูง เช่น เนือสัตว์ ได้แก่ ปลา ไก่ หมู ไข่ ถัว
3.ไไข่ กินได้ทังไข่แดง ไข่ขาว วันละ 1-2 ฟอง
4.นม เลือกนมวัวไขมันต่ำ
5.สามารถปรุงรสด้วยมะนาวหรือผักสมุนไพรจะช่ วยชูรสชาติให้ดีขึนได้
6.กินอาหารแช่เย็น เช่น ไอศกรีม หรืออมน้ำแข็ง จะช่วยบรรเทาให้อาการเจ็บแสบลดลง -ถ้ากินได้น้อย น้ำหนักลดให้กิน อาหารทางการแพทย์ สามารถดื่มแทนอาหารปกติหรือดื่มเสริมกับอาหารปกติใช้แทนอาหารทัง 3 มื้อ
แนวปฏิบัติเพือป้องกันโรคมะเร็ง -รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่น ข้าว แปง เนือสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ และไขมัน -รับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย คอเลสเตอรอลตา โดยรับประทานเนือสัตว์ไม่ติดมัน -รับประทานอาหารทีมีโปรตีนให้เพียงพอ จากเนือสัตว์ นม ไข่ -รับประทานอาหารสดใหม่ สุก สะอาด หลีกเลียงอาหารหมักดอง -ดืมนาสะอาด วันละ 8-10 แก้ว เพือช่วยให้สารเคมีทีอยู่ในร่างกายขับออกมา -พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด -งดหรือลดการดืมเครืองดืมทีมีแอลลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี
โรคความดันโลหิต
อาหารและปจจัยเสียงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
1.อาหารที่มีไขมันมากและมีคอเลสเตอรอลสูง ทานเป็นประจําอาจเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก
2.สารก่อมะเร็ง อาหารปงย่าง อาหารทีทอดต่างๆ และอาหารหมักดองทีมีการใช้สารไนไตรท์ความชืนจ ะเกิดเชือรา เช่น ถัวลิสง เมล็ดข้าวโพด เครืองดืมแอลกอฮอร์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์
3.สารก่อมะเร็งงใรสิงแวดล้อม ได้แก่ ก๊าซพิษ ควันบุรี่ สารระเหยจากสีทาบ้าน และนามันรถยนต์มลพิษ
4.ยาและเครืองสําอางบางชนิด ยาคุมกําเนิดบางชนิด สีทีผสมลิสติกและยาย้อมผมบางประเภท
ผู้ป่วยมีปัญหาเม็ดเลือดขาวต่ำ การกินอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดเลือดขาวต่ำ กินอาหารทีมีโปรตีนสูง ในวันหนึงควรกินโปรตีนประมาณ 50-80 กรัม โดยขึ้นกับนาหนักตัวว่ามากหหรือน้อย เช่น นาหนัก 50 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนเท่ากับ 50*1.2 ประมาณ 60 กรัมต่อวัน โปรตีน 1 ส่วนจะมีโปรตีน 7 กรัม -นมวัวไขมันตา 1 แก้ว = โปรตีน 7 กรัม -เนือสัตว์ 2 ช้อนโต๊ะ = โปรตีน 7 กรัม -ไข่ 1 ฟอง = โปรตีน 7 กรัม -กุ้งตัวเล็ก 5 ตัว = โปรตีน 7 กรัม -เต้าหู้ขาวแข็ง 1/2 หลอด = โปรตีน 7 กรัม -ปลาทู 1/2 ตัว =โปรตีน 7 กรัม
กินวิตามินได้จากอาหารประเภทไหน วิตามินซี;ผลไม้ เช่น ฝรัง ส้ม มะละกอ มะนาว กีวี สตรอเบอรี วิตามินอี;นามันพืช ไข่ ถัว ผักและผลไม้ต่างๆ วิตามินดี;รับแสงแดดวันละประมาณ 10 นาที โฟเลต;ผักใบเขียวเข้มต่างๆ ถัวเมล็ดแห้ง เบต้าแคโรทีน;ผักทีมีสีเขียว เช่น บร็อกโคลี ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผลไม้ เช่น มะละกอ แครอท
อาหารควรหลีกเลี่ยง
-อาหารเผ็ด
-อาหารทีพึงปรุงรสเสร็จกําลังร้อนจัด
-อาหารหรือผลไม้รสเปรี้ยวจัด อาหารทีมีลักษณะแข็งที่จะทําให้เจ็บเวลาเดียว
ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูก -ดื่มน้ำให้เพียงพอ (ประมาณ68แก้ว)เพราะน้ำช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น ควบคู่กับผักและผลไม้ทีอุ้มน้ำและมีใยอาหาร -กินธัญพืชที่ขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังมัลติเกรน และโฮลเกรน มีใยอาหารสูงช่วยในการขับถ่ายดีขึ้น -ผู้ป่วยทีมีปัญหาเรื่องการเคี้ยวอาหารหรืออ่อนเพลีย อาจนําผลไม้ทีไม่หวานจัด เช่น มะละกอ ฝรั่ง แอปเปล
โรคความดันโลหิต
-โภชนบําบัดโรคความดันโลหิตสูง
-โภชนศึกษาโรคความดันโลหิตสูง
ความดันในหลอดเลือดขณะทีหัวใจคลายตัวความดันเลื อดปกติขณะพักอยู่ในช่วง 100-140 มิลลิเมตรปรอท ในช่วงหัวใจบีบตัว และ 60-90 มิลลิเมตรปรอท ในช่วงหัวใจคลายตัว คนเราจะมีแรงดันโลหิตสูงและต่ำลงได้บ้างเปนบางครั้ง ดังนั้นผู้ทีมีภาวะความดันโลหิตสูงจึง หมายถึงผู้ทีมีความดันเลือดเท่ากับหรือสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 1.)ควบคุมน้ำหนัก พบว่า คนที่น้ำหนักเกินปกติ จะมีโอกาศเปนโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนที่มีน้ำหนักปปกติ 50%สูง เมื่อน้ำหนักลงความดันโลหิตก็จะลดต่ำลงด้วย โดยเฉพาะคนทีมีประวัติครอบครัวปวย
2.)ลดการบรโภคโซเดียม เกลือ อาหารรสเค็ม เพราะนอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตได้แล้ว ยังช่วยเพิมโพแทสเซียมในเลือดด้วย
2.1)ลดความเค็มในอาหาร เช่น ไข่เค็ม ปลาร้า ปลาเจ่าปูเค็ม ผักดอง
2.2)หลีกเลียงอาหารสําเร็จรูป อาหารกระปอง และผลิตภัณฑ์จากเนือสัตว์ทีผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม หมูยอ กุนเชียง เปนต้น
2.3)ลดความถีและปริมาณการกินอาหารที่่มีน้ำจิ้ม เช่น นาจิ้มไก่ นาจิ้มสุกกี้ หมูกระทะ งดการกินพริกกับเกลือเมื่อกินผลไม้
2.4)หลีกเลียงอาหารทีใส่สารกันเสีย ทีมีโซเดียมเป็นส่วน
2.5)ปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ หรือสมุนไพร เพือเพิ่มกลิ่น รสชาติและความอยากอาหาร เมื่อต้องปรุงอาหารอ่อนเค็ม เช่น ต้มยํา แกงเลียง แกงส้ม เปนต้น
2.6)งดหรือลดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนือสัตว์ไม่ติดมัน อาหารทอดอาหารที่มีกะทิ
2.7)งดบุหรี และเครืองแอลกอฮอล์
2.8)ควรออกกําลังกายอย่างสมาเสมอให้เหมาะสมกับวัย
โรคอ้วน
-โภชนบําบัดโรคอ้วน
-โภชนศึกษาโรคอ้วน
โรคอ้วน (Obesity) หมายถึง โรคที่เกิดจากร่างกายมีการสะสมเนื้อเยื่อไขมัน มากกว่าเกณฑ์ปกติ รู้ได้อย่างไร น้ำหนักตัว หรือ เป็นโรคอ้วน? BMI คือ ดัชนีมวลกาย BMI = น้ำหนัก(กิโลกรัม)/ส่วนสูง(เมตร)2
ธงโภชนาการ (Nutrition Flag) แนะนํา สัดส่วน ปริมาณอาาหารที่ควรบริโภคใน 1 วัน โดยในธงโภชนาการจะแสดงงกลุ่มอาหารและสัดส่วนปริมาณอาหารมาตธงโภชนาการร ดังนี้
โภชนศึกษาโรคอ้วน -ควบคุมพลังงานทีควรได้รับต่อวัน -ลดการรับประทานอาหารทีมีพลังงานสูงกลุ่ม ข้าวแป้ง ไขมัน ควรเลือกทานเช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ -เลือกรับประทานอาหารทีมีพลังงานต่ำ ไขมันต่ำ หวานน้อย ใยอาหารสูง -เลือกดื่มชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นาตาลเทียม ใส่นมสดจืด สูตรนมพร่องมันเนย -เลือกดื่มน้ำอัดลมที่ไม่ใส่นาตาล เช่น ซีโร่ แม๊ก (ไม่ควรกิน 2 แก้วต่อวัน) -เลือกเมนูผ่านการปรุง นึ่งง อบ ย่าง ต้ม มีพลังงานต่ำกว่า เมนูผ่านการทอด ผัด แกงทอดมีพลังงานสูง -เลือกรับประทานเนือกลุ่มไขมันตา คอเลสเตอรอลต่ำ -หลีกเลี่ยง อาหารทีมีไขมันทรานซ์ เพิ่มไขมันเลว (LDL-chol)แฝงอยู่ในขนมเบเกอรี อาหารผ่านน้ำมันทอดซ้ำ
รับประทานอย่างไรถึงไม่อ้วน? พลังงานทีได้รับ มากกว่า พลังงานทีใช้ไป = นาหนักตัวเพิม2000>1500=500(พลังงานส่วนเกิน) พลังงานทีได้รับ น้อยกว่า พลังงานทีใช้ไป=นาหนักตัวลดลง1500>2000=500(พลังงานส่วนขาด) พลังงานสําหรับผู้หญิงที 1500-1600กิโลแคลอรี พลังงานสําหรับผู้ชาย 1800-2000กิโลแคลอรี พลังงานสําหรับผู้ทีต้องการลดนาหนัก 1000-1200กิโลแคลอรี/วัน ลดพลังงาน 500กิโลแคลอรี/วัน นาหนัก 0.5กิโลกรัม/สัปดาห์ หรือเดือนละ
จานอาหารสุขภาพ(food plate model) เปนหลักการกําหนดสัดส่วนอาหารในอัตราส่วน 2:1:1 โดยการแบ่งอาหารในจานออกเปน 4 ส่วนใช้จานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 นิว ตักจานอาหารใส่จานสูงได้ไม่เกิน 1/2 นิ้วใน 1 จานประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน ควรเลือกเป็นประเภทไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ วุ้นเส้น ก๋วยเตียว โปรตีน 1 ส่วน เน้นกลุ่มไขมันตา เช่น เนือสัตว์ไม่ติดมัน เช่น อกไก่ หมูสันใน และถัวต่างๆ เปนประจําประมาณ 1/4จาน ผัก 2 ส่วน ควรเลือกผักให้หลากหลายสีทีเปนผักสดหรือผักสุก ทําให้ได้ใยอาาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ประมาณ 1/2 จาน ผลไม้หวานน้อย 1 ส่วน 1 มือหรือ 1 จานเล็ก เช่น ส้ม แอปเปล ฝรัง เป็นต้น
8.2) การใช้อาหารในการบําบัดโรค และการให้โภชนาการศึกษาในโรงพยาบาล
อาหารบําบัดโรคหรืออาหารเฉพาะโรค(Therapeutc diet) โรคบางโรคจะทุเลาเร็วขึน ถ้ามีการควบคุมทีเหมาะสม เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไขมันสูงในเลือด ความดันโลหิตสูง เปนต้น ดังนัน การนําอาหารบําบัดโรคมาใช้ร่วมกับการรักษาทางยา จึงมีความสําคัญและลดระยะการรักษาในโรงพยาบาลได้
อาหารลดโซเดียม(Low Sodium diet) อาหารบางชนิดมิได้มีรสเค็ม แต่ปริมาณโซเดียมสูงโดยธรรมชาติ เช่น อาหารโปรตีนทีได้จากเนือสัตว์ต่างๆ แพทย์เปนผู้กําหนดว่าอาหารนันจะต้องมีปริมาณโซเดียมเท่าใด เช่น 5 กรัม 2 กรัม หรือ 1 กรัม/วัน นักกําหนดจะต้องคํานวณปริมาณโซเดียมทีมีในอาหารทุกชนิด เช่น ผลชูรส ผงฟูทีใช้ทําขนมเค้ก ซอสปรุงรสต่างๆ อาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง เปนต้น
อาหารอ่อน
อาหารอ่อนลดโซเดียม
อาหารลดไขมัน(Low Fat diet) อาหารลดไขมันจึงเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยกว่าอาหารทั่วไป หาหารบางชนิดทีมีไขมันสูงจึงต้องงด หลีกเลี่ยง รับประทานได้ในปริมาณจํากัด หรือดัดแปลงให้มีปริมาณไขมันน้อยลง เช่น นมทีไขมันสูงเปลียนเปนนมไขมันต่ำหรือนมขาดมันเนย เนือสัตว์ทีมีไขมันสูง ได้แก่ หมูติดมัน หมูสามชัน เปลียนเป็นหมูเนือแดงไม่ติดมัน หรือือกไก่ไม่มีหนังติด เป็นต้น
อาหารธรรมดา
อาหารธรรมดาลดไขมัน
อาหารดัดแปลงโปรตีน(Protein modified diet) -อาหารที่มีโปรตีน เปนอาหารที่กําหนดให้แก่ผู้ป่วยที่มีการสูญเสียโปรตีนและจําเป็นต้องได้รับการชดเชย เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตและทําการล้างไตหรือผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้ เปนต้น โปรตีนทีกําหนดอาจจะมากกว่า 1 กรัม/นาหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน ขึนอยู่กับอาการของผู้ปวย -อาหารทีมีโปรตีนตา โปรตีนในอาหารชนิดนีจะตากว่าทีกําหนดในมาตรฐานอาหารทัวไป เป็นอาหารที่กําหนดให้แก่ผู้ป่วยโรคไตที่ไม่มีการล้างไต ทั้งนี้ เพื่อลดปริมาณของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีน โปรตีนอาจลดลงเหลือ 0.5 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน หรืออาจงดโปรตีน ขึ้นกับโรคและอาการของผู้ป่วย
อาหารธรรมดาโปรตีนต่ำ
อาหารลดคอเลสเตอรอล(Low cholesterol diet) ผู้ป่วยที่ต้องจํากัดคอเลสเตอรอลจึงต้องหลีกเลียงเนื้อสัตว์ทีมีคอเลสเตอรอลสูง หรือรับประทานในปริมาณจํากัด เนื้อสัตว์ทีมีคอเลสเตอรอลสูง ได้แก่ หนังเป็ด หนังไก่ หมูสามชั้น ขาหมู ไข่แดง ไข่ปลา เครื่องในสัตว์ เป็นต้น ปริมาณคอเลสเตอรอลทีควบคุมมากน้อยขึนอยู่กับภาวะของผู้ป่วยในระยะนัน ซึงอาจจะควบคุมตังแต่ 150-200 มก หรือ 250-300 มก/วัน
อาหารอ่อน
อาหารอ่อนลดโคเลสเตอรอล
อาหารดัดแปลงพลังงาน(Energy modified diet) -อาหารพลังงานตา(Low energy diet) เพือให้แก่ผู้ป่วยอ้วนหรือมีน้ำหนักมากกว่าปกติและจําเปนต้องลดน้ำหนัก อาหารให้พลังงานไม่ต่ำกว่า 1000 กิโลแคลอรี -อาหารพลังงานสุง(High energy diet) เพือให้นาหนักตัวเพิ่มขึ้น การเพิ่มพลังงานด้วยการเพิ่มปริมาณมากขึ้นอาจทําให้ผู้ป่วยรับประทานไม่หมด การเพิ่มมื้ออาหารและดัดแปลงอาหารให้มีไขมันสูง จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารได้หมดและได้พลังงานตามที่แพทย์สั่ง
อาหารไขมันต่ำ
อาหารไขมันสูง
อาหารธรรมดา
อาหารโรคเบาหวาน(Diabetes mellitus diet) เป็นอาหารทีแพทย์สังให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพือควบคุมระดับนาตาลในเลือดให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับภาวะปกติของคนทั่วไป รักษาน้ำหนักตัวของผู้ป่วยและป้องกันโรคแทรกซ้อนทีอาจเกิดขึน รวมทังเปนการสนับสนุนการใช้ยาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น อาหารนี้ต้องควบคุมทั้งปริมาณพลังงาน ชนิดไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ซึงแพทย์ต้องกําหนดให้แก่ผู้ปวย และนักกําหนดอาหารทําการคํานวณปริมาณอาหาร สังเตรียมและชังตวงอาหารนัน
อาหารธรรมดา
อาหารธรรมดาเบาหวาน
อาหารทางสายให้อาหาร(tube feeding diet) -สูตรอาหารป่นผสม(blenderized formula) เตรียมมาจากอาหาร 5 หมู่ โดยเลือกวัตถุดิบมาจากแหารแต่ละหมู่ มีทัง ผัก ผลไม้ เนือสัตว์ นาตาลและไขมัน ทําให้สุกและปนผสมเข้าด้วยกัน วัตถุดิบบขึนอยู่กับความต้องการพลังงานและสารอาหารคํานวณกําหนดสัดส่วน
-สูตรอาหารสําเร็จรูป(Commercial formula) เปนผลิตภัณฑ์จากบริษัทผลิตอาหารทางการแพทย์ สะดวกในการเลือกใช้ของแพทย์ เช่นENSUNE BLENDERA GLUCERNA PAN-ENTERAL AMINOLEBAN NUTREN BALANCE
8.3)การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดํา
-การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดําแบบบางส่วน -การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดําแบบสมบูรณ์
2.)การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดําแบบสมบูรณ์(Total Parenteral Nutrition:TPN)หมายถึง การให้อาหารทางเส้นเลือดดําใหญ่ สามารถให้สายอาหารได้ครบทั้งปริมาณและชนิดของสารอ าหาร เนืองจากหลอดเลือดดําใหญ่มีเลือดผ่านมากและแรงจึงช่วย dilute สารอาหารที่มีความเข้มข้นสูงให้มีความเข้มข้นลดลงได้
การใช้สารอาหารรทางหลอดเลือดดํา(Parenteral Nutrition) เป็นวิธีที่จะช่วยผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพื่อการอยู่รอดของชีวิต และสามารถต่อสู้กับการติดเชือได้ โดยปกติมนุษย์ได้รับสารอาหารและย่อยอาหารทาง GI tract แต่มีหลายภาวะหรือโรคทีทําให้ไม่สามารถรับอาหารทาง Enteral route ได้หรือไม่ได้ไม่เพียงพอจําเปนต้องให้อาหารทางหลอดเลือดดํา
Parenteral Formula อาหารทีให้ทางหลอดเลือดดําควรประกอบด้วยสารอาหารค รบถ้วนและพอเพียงกับความต้องการของผู้ปวย สารอาหารเหล่านีได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกรือแร่และนา โดยทีคาร์โบ"ฮเดรตและไขมัน จะเปนแหล่งพลังงานทีสําคัญ ส่วนโปรตีนแม้จะให้พลังงานแต่ถ้าร่างกายได้รับพลังงานจ ากค่ร์โบไฮเดรตและไขมัน เพียงพอแลล้ว ร่างกายจะสงวน โปรตีน ไว้ใช้สังเคราะห์โปรตีนในร่างกาย
Lipid ทีให้ทางหลอดเลือดดําจะอยู่ในรูปแบบของ lipid Emulsion ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Long chain fatty acid จุดประสงค์ 1.เปนแหล่งพลังงานโดยเฉพาะผู้ปวยทีมี glucose intolerance เช่น เบาหวาน โดยสารอาหารทีให้พลังงาน 9 Kcal/gm อัตราส่วนของพลังงานทีได้จาก fat ไม่ควรเกิน 50% 2.ให้Essential fatty acid ปองกันภาวะEssential fatty acid deficiency โดยให้ 10% Lipid emulsion 500 ml 2 ขวดต่อสัปดาห์ทีมีใช้ในปจจุบันส่วนมากมาจากถัวเหลือง
Protein ทีใช้ได้ทางหลอดเลือดดํา ต้องอยู่ในรูปของ amino acids เท่านันซึง ให้พลังงาน 4 kcal/gm เพราะถ้าพลังงานไม่เพียงพอจะทําให้ amino acid ถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานแทนทีจะนํามาสังเคราะห์เปนโปรตีน ในร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากเกินไปจะทําให้เกิด metabolic acidosis และ azotemia ได้ amino acid ทีมีอาจแบ่งเปน 3กลุ่มใหญ่ๆได้แก่ 1.Mixed amino 2.High branched-chain amino acids formula 3.Essential amino acids formula
Multivitamins Vitamin A 3300 IU
Vitamin D 200 IU
Vitamin E 10 IU
Vitamins C 100 mg
Thiamine 3.0 mg
Riboflavin 3.6 mg
Niacin 40 mg
Pantothenic acid 15 mg
Pyridoxine 4.0 mg
Folic acid 400 mg
Vitamin B 12 5 mg
Biotin 60 mg
Mineral 1.) Macrominerals ประกอบด้วย Sodium,Potassium ซึงอยู่ในรูปของเกลือ Chloride ,Acetate และ Phosphate ,Calcium อยู่ในรูปเกลือ gluconate หรือ chloride ส่วน magnesium มีในรูป magnesium sulfate ไม่ควรใช้เกลือ bicarbonate เช่น sodium bicarbonate เพราะจะเกิด carbon dioxide ในสารละลายทีเปนกรดในภาวะ metabolic acidosis ควรใช้ Acetate แทน chlloride
ความต้องการ macrominerals ในแต่ละวันในผู้ใหญ่ คือ Sodium 2-3 mEq/kg Potassium 1-2 mEq/kg Calcium 10-20 mEq Phosphorus 10-40 mmol Magnesium 8-24mEq Acetate 80-120 mEq Chioride 50-200 mEq
1.)การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดําแบบบางส่วน (Peripheral Parenteral nutrition:PPN)หมายถึงการให้อาหารทางหลอดเลือดดําส่ วนปลายสามารถให้สารอาหารได้เปนบางส่วน ไม่ครบตามความต้องการ เนืองจากperipheral vein ทนความเข้มข้นของสารอาหารได้เพียง 600 mOsm/L
Carbohydrate ทีใช้ใน Parenteral Nutrition ต้องอยู่ในรูป Monosaccharides ซึงมีใช้อยู่หลายตัวทีนิยม คือ Glucose ในปริมาณมากหรือในความมเข้มข้นสูงจะทําให้เ กิดภาวะ Hyperglycemia ดังนัน จึงควรเฝาระวังภาวะนาตาลในเลือดสูงในผู้ป่วย ทีได้รับสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดําในผู้ ป่วยทีมีปญหา เช่น ผู้ปวยเบาหวานนอกจากนียังมี Carbohydrate รูปอืนทีให้ทางหลอดเลือดดําได้คือ พวก sugar Alcohol เช่น Sorbitol,Glycerol กลุ่มนีถ้ามากจะเกิด Lactic acidosis