Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การป้องกันและช่วนเหลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุ, นางสาวกิตติยา จีนาภักดิ์…
การป้องกันและช่วนเหลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุ
การจมน้ำ Drowning
Near-Drowning : ผู้ที่จมน้ำแต่ไม่เสียชีวิตทันที บางรายอาจเสียชีวิตทันที บางรายอาจเสียชีวิตต่อมาในช่วงเวลาสั้นๆได้
Drowning : ผู้ที่เสียชีวิตจาก การจมน้ำ
แบ่งเป็น
1.การจมน้ำเค็ม( Salt-water Drowning)
น้ำเค็ม(Hypertonic solution) ทำให้เกิดภาวะ pulmonary edema ปริมาตรน้ำไหลเวียนในร่างกายลดลง เกิดภาวะ hypovolemia ระดับเกลือแร่ในร่างกายสูงขึ้น หัวใจผิดปกติ หัวใจวาย ช็อคได้
การจมน้ำจืด (Freshwater-Drowning)
น้ำจืด(Hypotonic solution) จะซึมผ่านเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของปอดอย่างรวดเร็ซ เกิด hypovolemia ทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดลดลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย อาจเกิดภาวะเม็โเลือดแดงแตก hemolysis
เด็กจมน้ำเป็นเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อย
วิธีช่วยเด็กจมน้ำที่ดีที่สุด
กรณีเด็กรู้สึกตัว
ให้รีบเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ผ้าคลุมตัวเพื่อ ทำให้เกิดความอบอุ่น จัดให้นอนในท่าตะแคงกึ่งคว่ำ แล้วนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
กรณีเด็กไม่รู้สึกตัว
เช็คว่ายังมีลมหายใจอยู่อยู่ หัวใจเต้นหรือเปล่า ถ้าไม่ให้โทร.เรียกหน่วยรถพยาบาลหรือหน่วยกู้ภัยโดยด่วน จากนั้นให้ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยนวดหัวใจสลลับกับการช่วยหายใจ (CPR)
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ไม้ถูกต้อง
อุ้มเด็กพาดบ่าแล้วเขย่ากระทุ้งบริเวณหน้าท้อง
เนื่องจากน้ำน้ำที่ออกมานั้นเป็นน้ำในกระเพาะ ไม่ใช่น้ำที่เด็กสำลักลงสู่ปอด
เด็กอาจเกิดอาการช้ำจากแรงกระแทกได้
ภาวะสำลักสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
เป็นปัญหาที่มีความอันตรายถึงแก่ชีวิต
ปัญหาที่เกิดตามหลังการสำลัก
2.เกิดการอุดกั้นของหลอดลมส่วนปลาย
ทำให้เกิดภาวะปอดแฟบ ปอดพอง หรือหอบหืดได้
1.ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะในเด็ก ซึ่งทางเดินหายใจในเด็กมีขนาดค่อนข้างเล็ก การอุดกั้นเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
3.เกิดการอุดกั้นการระบายของเสมหะ
ทำให้เกิดปัญหาการอักเสบติดเชื้อตามมา เช่น ปอดอักเสบ,หลอดลมอักเสบ
ทำอย่างไรหากมีสิ่งแปลกปลอมอุดตันทางเดินหายใจเด็ก
กรณีเกิดกับเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ขวบ
3.จากนั้นพลิกเด็กให้หงายบนแขนอีกข้างหนึ่งวางบนหน้าตักโดยให้ศีรษะอญุ่ต่ำลงเช่นกันแล้วกดหน้าอกโดยใช้ 2 นิ้วของผู้ช่วยกดบนกระดูกหน้าอกในต่ำแหน่งที่กว่าเส้นลาก ระหว่างหัวนมทั้งสองข้างลงมา หนึ่งความกว้างนิวมือ
4.ทำซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา
2.เคาะหลัง 5 ครั้งติดต่อกันโดยเคาะแถวๆกึ่งกลางระหว่างกระดูกสะบักทั้งสองข้าง
5.หากเด็กหมดสติ ให้ทำการประเมินการหายใจ การเต้นชีพจรและให้การช่วยเหลือการหายใจสลับกับเคาะหลังและกดหน้าอก
1.วางเด็กคว่ำลงบนแขนและวางแขนนั้นลงบนหน้าตัก โดยให้ศีรษะของเด็กอยู่ต่ำ
กรณีเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปี
1.กระตุ้นให้เด็กไอเอง
2.ถ้าเด็กไม่สามารถพูด หรือมีอาการหนักอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นหายใจลำบาก ซีด เขียว ให้ทำการกดท้องโดยผู้ช่วยยืนด้านหลังเด็ก แล้วอ้อมแขนมาด้านหน้า กำมือเป็นกำปั้นและวางกำปั้นด้านข้าง(ด้านหัวแม่มือ)บนกึึ่งกลางหน้าท้องเหนือสะดือเด็ก กดโดยให้แรงมีทิศทางเข้าด้านในและเฉียงขึ้น
3.กดซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา
4.หากเด็กหมดสติ ให้ประเมินการหายใจ การเต้นของชีพจรและให้การช่วยเหลือการหายใจสลับกับการกดท้อง
5.การกดท้องในเด็กหมดสติ ทำโดยให้เด็กอยู่ในท่านอนราบ ผุ็ช่วยนั่งคร่อมตัวเด็ก วางสันมือบนท้องเด็กตำแหน่งสูงกว่าสะดือ กดในทิศทางเข้าด้านในและเฉียงขึ้น กด 5 ครั้งแล้วเปิดปากสำรวจดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาหรือไม่กึ่งกลางท้องเด็ก
ความแตกต่างระหว่างการกดหน้าอกในแต่ละช่วงอายุ
เด็กโต (Child)
ตำแหน่งกึ่งกลางท่อนล่างกระดูกหน้าอก
กดโดยใช้มือเดียว อีกข้างให้เปิดทางเดินหายใจ
100-120 ครั้ง/นาที
ลึก 5 ซม.(1/3 ความหนาของทรวงอก)
ผู้ใหญ่ (Adult)
ตำแหน่งกึ่งกลางท่อนล่างกระดูกหน้าอก
ลึก 5-6 ซม.(2.0-2.4นิ้ว)
กดโดยใช้สองมือ
100-120 ครั้ง/นาที
ทารก (Infant)
100-120 ครั้ง/นาที
ตำแหน่งกึ่งกลางท่อนล่างกระดูกหน้าอก
ลึก 4 ซม.(1.5 นิ้วหรือ 1/3 ความหนาทรวงอก)
กดโดยใช้นิ้วมือสองนิ้วมืออีกข้างทำให้ทำการเปิดทางเดินหายใจ
กรณีผู้ช่วยเหลือ 1 คน การกดหน้าอกสำหรับผูู้ใหญ่ เด็กโตและเด็กทารกอัตราส่วนการกดหน้าอกและการช่วยหายใจเท่ากับ 30:2 โดยที่ตำแหน่งการกดและอัตรเร็วในการกดเหมือนกัน ส่วนความลึกและลักษณะการใช้มือในการกดจะแตกต่างกันไป
กรณีผู้ช่วยเหลือ 2 คนขึ้นไป อัตราส่วนการกดหน้าอกและการช่วยหายในสำหรับเด็กเล็ก (Infants) เท่ากับ 15:2
วิธีของ Heimlich
ช่วยเหลือผู้ป่วยโดยผู้ใหญ่ หรือเด็กโต ให้ทำในท่านั่งหรือยืนโน้มตัวไปทาวด้านหน้าเล็กน้อย ผู็ช่วยเหลือเข้าทางด้านหลัง
ใช้แขนสอดสองข้างโอบผู้ป่วยไว้ มือซ้ายประคองมือขวาที่กำมือวางไว้ใต้ลิ้นปี่
ดันกำมือขวาเข้าใต้ลิ้นอย่างรวดเร็วเพื่อเกิดแรงดันในช่องท้องดันเข้าใต้กระบังลมผ่านไปยังทรวงอก
เพื่อดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกจากกล่องเสียง
คำแนะนำเพื่อป้องกันการสำลักสิ่งแปลกปลอม
1.เลือกชนิดและขนาดของอาหารที่เหมาะให้แก่เด็กในวัยต่างๆ เพื่อป้องกันการสำลักอาหารและไม่ควรป้อนอาหารเด็กในขณะที่เด็กกำลังวิ่งเล่นอยู่
2.เลือกชนิด รูปร่างและขนาดของของเล่นให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก รวมทั้งจัดเก็บสิ่งของที่อาจเป็นอันตราย
กระดูกหัก
การมีรอยแยก รอยแตกหรือมีความไม่ต่อเนื่องกันของเนื้อกระดูก พบได้บ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุจนทำให้กระดูกหักและเกิดอาการเจ็บปวด บวมเคลื่อนไหวไม่ได้
แบ่งตามบาดแผล
กระดูกหักชนิดไม่มีแผล(Close fracture)
กระดูกหักชนิดไม่มีแผล (Close fracture) มีอาการกระดูกหักอย่างเดียว ไม่มีบาดแผลที่ผิวหนังและกระดูกไม่โผล่ออกมานอกผิวหนัง
กระดูกหักแบบแผลเปิด(Open fraceture)
มีบาดแผลลึกถึงกระดูกหรือกระดูกหักทิ่มแทงทะลุออกมานอกเนื้อ
เป็นชนิดร้ายแรงเพราะอาจทำให้ตกเลือดรุนแรง เส้นประสาทถูกทำลายหรือติดเชื้อได้ง่าย
เป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียแขนขาได้
แบ่งตามรอยที่มีการหักของกระดูก
กระดูกหักทั่วไป (Simple fracture)
กระดูกที่แตกออกเป็น 2 ชิ้น
กระดูกหักยุบเข้าหากัน (Impacted fracture)
ภาวะที่กระดูกทั้ง 2 ด้านได้รับแรงกด ส่งผลให้กระดูกแตกทั้ง 2 ด้าน เด็กเล็กมักเกิดกระดูกฝังที่แขน
กระดูกเดาะ(Greenstick fracture)
กระดูกที่แตกเพียงด้านเดียว ส่วนกระดูกอีกด้านโก่งไปตามแรงกดที่ปะทะเข้ามา มักเกิดขึ้นกับเด็ก เพระากระดูกของเด็กมีความยืดหยุ่นมากว่าผู้ใหญ่
การปฐมพยาบาลกระดูกหัก
3.ถ้ามีเลือดออกให้ทพการห้ามเลือดก่อนเสมอไม่ว่ากระดูกจะหักหรือไม่
ถ้าบาดแผลใหญ่หรือเลือดยังไม่หยุดไหลหรือไหลแรงให้หาสายรัด (เช่น เชือก สายไฟ เน็คไท ผ้าพันคอ)มาผูกรัดเหนืออบาดแผลให้แน่นๆ
คลายสายรัดทุกๆ15 นาที คลายนานครั้งละประมาณ 30-60วินาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหลก็รัดกระชับเข้าไปใหม่
2.ทำการปฐมพยาบาลด้วยวิธีซีพีอาร์(CPR)
1.ประเมินบริเวณที่บาดเจ็บ
4.ดามกระดูกที่หัก
ดามแบบชั่วคราวโดยใช้ แผ่นนไม้ พลาสติกแข็ง ไม้บรรทัด กิ่งไม้ ท่อนไม้ ท่อนโลหะ ด้านร่ม กระดาษแข็. กล่องกระดาษ หนังสือพิมพ์หลายๆชั้นทำเป็นเฝือกวางแนบกับส่วนที่หัก
ควรมีมีสิ่งนุ่มๆรองกับผิวหนังของอวัยวะส่วนนั้นอยู่เสมอ
5.ประคบน้ำแข็งตรงบาดแผล
การประคบเย็นจะช่วยลดอาการปวด ลดอาการบวมอักเสบและลดการไหลเวียนของเลือดได้
ประคบเย็นประมาณ 20 นาทีหรือจนกว่าบริเวณนั้นจะรู้สึกชาก่อนแล้วค่อยเอาออก
ให้ยกช่วงกระดูกที่หักให้สูงขึ้นด้วยเพื่อช่วยลดอาการบวมและชะลอการไหลของเลือด
การปฏิบัติตัว
ถ้าส่วนที่หักเป็ฯนิ้วมือให้ใช้ไม้ไอศกรีมดามนิ้ว
ถ้ากระดูกหักโผล่มานอกเนื้อ หเช้ามดึงกระดูกให้กลับเข้าที่ เพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลและทำให้ติดเชื้อ
ถ้าส่วนที่หักเป็นปลายแขนหรือมือให้ใช้ผ้าคล้องคอ
กระดูกหักตรงขาส่วนบน กระดูกสันหลัง ศีรษะหรือคอ อุ้งเชิงกรานหรือสะโพก ไม่ควรเคลื่อนไหวร่างกาย
อย่าดึงหรือจัดกระดูกให้เข้าที่ด้วยตัวเอง
งดให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารจนกว่าจะไปพบแพทย์เน่องจากในผู้ป่วยบางรายอาจไม่ต้องรับการผ่าตัด
หลังการใส่เฝือก
หากมีอาการมากและรู้สึกคับเฝือกมาก
นิ้วมือหรือนิ้วเท้าข้างที่ใส่เฝือกมีสีเขียวคล้ำหรือซีดขาวบวมมากขึ้นรู้สึกมีอาการชา
ปวเแสบปวดร้อน มีเลือด น้ำเหลือง หรือหนอง ไหลซึมออกมาจากเฝือกหรือมีกลิ่นเหม็น
ไม่สามารถขยับเขยื้อนนิ้วมือหรือนิ้วเท้าข้างที่ใส่เฝือกได้
เฝืแกหลาว บุบสลายหรือแตกหัก มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในเฝือก
ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
สารพิษ( Poisons)
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อ(Corrosive substances )
กรด ด่าง เป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน กรดวัลฟาริก กรดไฮโดรคลอริก โซเดียมคาร์บอเนต
อาการและอาการแสดง
ไหม้พอง ร้อนบริเวณริมฝีปาก ลำคอและท้อง
คลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำและมีอาการภาวะช็อค ได้แก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น
การปฐมพยาบาล
ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
อย่าทำให้อาเจียน
รีบส่งโรงพยาบาล
การรปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตเลียม
อาการและอาการแสดง
แสบร้อนบริเวณปาก คลื่นไส้ อาเจียน อาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจเป็นกลิ่นน้ำมัน
อัตรการหายใจและชีพจรเพิ่มมากขึ้น ปลายมือปลายเท้าเขียว
การปฐมพยาบาล
รีบนำส่งโรงพยาบาล
ห้ามทำให้อาเจียน
ระหว่างทางถ้าอาเจียน ให้จัดศีราะต่ำเพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด
น้ำมันก๊าด เบนวิน ยาฆ่าแมลง
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
นำส่งรพ.เพื่อล้างสารพิษออกจากกระเพาะ
ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน
ข้อห้ามในการทำให้อาเจียน
หมดสติ
ได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อ เช่นกรด ด่าง
รับประทานสารพิษพวก น้ำมันปิโตรเลียม เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน
ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหาร เพื่อลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย
ทำให้สารพิษเจอจาง ให้นม
การพยาบาลผู้ที่ได้รับ ยาแก้ปวด ลดไข้
อาการและอาการแสดง
ผู้ที่ได้รับยาแอสไพริน
หูอื้อ เหมือนมีเสียงกระดิ่งอยู่ในหู การได้ยินลดลง เหงื่อออกมาก
ปลายมือปลายเท้าแดง ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน ใจสั่น
ผู้ที่ได้รับยาพาราเวตามอล
ดูดซึมเร็ว
คลื่นไส้อาเจียน ง่วงซึม เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตต่ำ สับสน เบื่ออาหาร
การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ
เพ้อ ชัก หมดสติ มีอาการอัมพาตบางส่วน ช่องม่านตาขยายผิดปกติ
หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก เขียวปลายมือปลายเท้าหรือบริเวณริมฝีปาก
คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปากหรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีมีบริเวณปาก
ตัวเย้น เหงื่อออกมาก มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง
สารพิษจำแนกตามลักษณะการออกฤทธิ์
2.ชนิดทำให้ระคายเคือง (Irritants )
เกิดอาการปวดแสบ ปวดร้อน และอาการอักเสบในระยะต่อมาได้แก่ ฟอสฟอรัส สารหนู อาหารเป็นพิษ วัลเฟอร์ไดออกไซด์
3.ชนิดที่กดระบบประสาท(Narcotics )
ทำให้หมดสติหลับลึก ปลุกไม่ตื่น ม่านตาหดเล็ก ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน พิษจากงูบางชนิด
1.ชนิดกัดเนื้อ(Corrosive )
ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไหม้ พองได้แก่ สารละลายพวก กรดและด่างเข้มข้น น้ำยาฟอกขาว
4.ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท(Dililants)
เกิดอาการเพ้อคลั่ง ใบหน้าและผิวหนังแดง ตื่นเต้นชีพจรเต้นเร็ว ช่องม่านาขยายได้แก่ ยาอะโทรปีน ลำโพง
สารเคมีสภาพเป็นของแข็. ของเหลว หรือก๊าซ สามารถเข้าสู่ร่างกายโดยรับประทาน การฉีก การหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง
การพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการ วิงเวียน หน้ามืด หมดสติถึงแก่ความตายได้
คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน
ก๊าซที่ทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ
คอ หลอดลม และปอด ถ้าได้รับมากทำให้ตายได้ เช่นซัลเฟอร์ได้ออกไซด์
ก๊าซอันตรายทั่วร่างกาย ได้แก่ ก๊าซอาร์ซีน ไม่มีสีกลิ่นคล้ายกระเทียม
การปฐมพยาบาล
นำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ
ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจนำส่ง รพ.
กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท
การพยาบเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง
อย่ารใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพระาความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ล้างด้วยน้ำสะอาดนานๆ อย่างน้อย 15 นาที
ปิดแผลแล้วนำส่งรพ.
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
อย่ารใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพระาความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ล้างตาด้วยน้ำสะอาดนาน 15 นาที โดยการเปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อยๆ
ปิดตา แล้วนำส่งรพ.
บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก(Burns)
การพยาบาลแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
2.แผลที่เป็นตุ่มน้ำใส ไม่ควรเอาเข็มไปเจาะเพื่อระบายเอาน้ำออก เพราะเข็มอาจไม่สะอาด ทำให้ติดเชื้อบาดทะยัก
3.ถ้าบาดแผลเกิดมีขนาดกว้าง เช่น ประมาณ 10-15 %(10-15 ฝ่ามือ)อาจทำให้ผู็ป่วยเกิดภาวะช็อคได้อย่างรวดเร็ว
1.ให้ล้างแผลหรือแช่แผลด้วยน้ำสะอาดแล้วใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าแห้งสะอาดปิดแผลไว้
การรักษา
ยาปฏิชีวนะทาเฉพาะที่ (Topical antibiotic) 1% ซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซีน(Silver sulfadiazine) เพราะมีฤทธิืกว้าง-ภาวะแทรกซ้อนในระยะ 2-3 วันแรกคือภาวะขาดน้ำและช็อค ถ้าผุ้ป่วยมีบาดแผลกว่าง แพทย์จะให้สารน้ำ ได้แก่ ริงเกอร์แลกเตท(Ringer's lactate)
สำหรับแผลที่ใช้เวลามากกว่าา 3 อาทิตย์ หรือแผลที่หายหลังจาการกทำผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนัง (Skin graft)
แนะนำให้ใส่ผ้ายืด(Pressure garment) เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนหนา( Hypertrophic scar )
แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
ระดับที่ 2 (Second degree burn) สามารถแบ่งย่อย ออกเป็น 2 ชนิด
บาดแผลระดับที่ 2 ชนิดตื้น (Superficial partialthickness burns) การทำลายหนังกำพร้อาทั้งชั้นผิวนอกและชั้นในสุด
บาดแผลระดับที่ 2 ชนิดลึก (Deep partialthickness burns) บาดแผลที่มีการทำลายของหนังแท้ส่วนลึก
ระดับที่ 3 (Third degree burn)
บาดแผลที่มีการทำลายของหนังกำพร้อาและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อ ขุมขนและเซลล์ประสาท และอาจถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก
ระดับที่ 1 (First degree burn)
บาดแผลที่มีการทำลายของเวลล์หนังกำพร้าชั้นผิกนอกเท่านั้นและสามารถเจริญขึ้นมาแทนส่วนผิวนอกได้
อาการ บริเวณพื้นที่ของบาดแผล บาดแผลที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ โปรตีน และเกลือแร่ ถึงกับเกิดภาวะช็อคได้ และอาจมีโอกาสติดเชื้อ
สาเหตุเช่นไฟ สารเคมี กระแฟไฟาฟ้า รังสี การเสีดสีอย่างรุนแรง
นางสาวกิตติยา จีนาภักดิ์ เลขที่ 12 36/1 รหัส 612001013