Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระวิทยาในหญิงตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระวิทยาในหญิงตั้งครรภ์
5.การเปลี่ยนแปลงระบบปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะ
เกิดการอักเสบติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะได้
มีความจุมากขึ้น1,500 cc
ขนาดของมดลูกที่ใหญ่รวมถึงส่วนนำของรกไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เนื้อที่ในการเก็บปัสสาวะลดน้อยลง
รู้สึกอยากปัสสาวะบ่อย
กล้ามเนื้อเรียบของปัสสาวะลดความตึงตัว ทำให้ปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ
กรวยไตและท่อไต
กรวยไตขวาขยายออก จากการเบียดของมดลูก
ท่อไตถูกกดและบีบตัวน้อยลงทำให้เกิดปัสสาวะคั่ง
ในกรวยไตและท่อไต
1.การเปลี่ยนแปลงระบบสืบพันธุ์ของสตรีตั้งครรภ์
เต้านม Breasts ระยะแยกหญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกตึงและเจ็บคล้ายกับมีของแหลมๆเล็ๆมาแทงทำให้รู้สึกแปลบปลาบ (prickling and sensation) สัปดาห์ที่ 8 ขึ้นไปจะมีตุ่มเล็กๆประมาณ 12-30 ตุ่มเกิดขึ้นบริเวณลานนมจากการขยายของต่อมไขมันเรียกว่า Montgomerys tubercle ทำให้หัวนมอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น
Cervix จะนุ่มและเปลี่ยนเป็นสีดำจากการมีเลือดมาเลี้ยงมากเรียกว่า G00dell s sing นอกจากนั้นพบว่าต่อมปากมดลูกจะแบ่งตัวออกมาในปากมดลูกส่วนนอกเห็นเป็นสีแดงคล้ายกำมะหยี่เรียกว่า eversion
เอ็นข้อต่อของกระดูกและอวัยวะในอุ้งเชิงกรานเอ็นยึดและข้อต่อต่างๆจะยึดขยายและนุ่มขึ้นกว่าเดิม
Ovaries and Fallopian tubes ในระยะตั้งครรภ์จะไม่มีการเจริญเติบโตของ fallicle และไม่มีการตกของไข่ทำให้ไม่มีการตกไข่ Ovulation
Uterus มีนนนิเพิ่มจาก 70 g เป็น 1, 100 g และมีความจุเพิ่มขึ้นประมาณ 500-1, 000 เท่าเมื่อครบกำหนดคลอดจะเพิ่มการไหลเวียนเป็น 500 ml / min ในการตั้งครรภ์
Vulva and Vagina ขยายใหญ่จากการกระตุ้นของ estrial เลือดมาเลี้ยงกุ้งเชิงกรานมากขึ้นเยื่อบุช่องคลอดเป็นจากสีชมพูเป็นสีม่วงเรียกว่า Chadwick 's sing เกิดขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 8 wk
Uterine Contraction ไตรมาสแรกกล้ามเนื้อมดลูกมีการหดตัวเป็นครั้งคราวไม่สม่าเสมอไม่เจ็บเรียกว่า Braxton Hicks Contractions เมื่ออายุครรภ์มากการหดรัดตัวของมดลูกมากขึ้น 1-2 wk. สุดท้ายอาจเกิดบ่อยทุก 10-15 นาทีเรียกว่าการเจ็บครรภ์เตือน (false labour pain) เมื่อครบกำหนดการหดรัดตัวถี่ขึ้นแรงขึ้นเรียกว่าการเจ็บครรภ์จริง true labour pain
7.การเปลี่ยนแปลงระบบต่อมไร้ท่อและฮอร์โมน
ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland)
Growth hormone
เพิ่มขึ้นเล็กน้อยระหว่างการตั้งครรภ์ โดยระดับในเลือดใน
ช่วงไตรมาสแรก จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ (0.5 – 7.5ng/ml)
สร้างจากต่อม anterier pituitary มีผลต่อเมตาบอลิซึมของโปรตีน
คาร์โบไฮเดรตและไขมัน
ฮอร์โมนนี้จะลดลง และกลับสู่สภาพเดิมหลังคลอด 6 - 8 สัปดาห์
ระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโตในซีรั่มจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตจากรก
ต่อมใต้สมองส่วนหน้า
ต่อมใต้สมองนั้นขยายใหญ่ขึ้นในการตั้งครรภ์และนี่เป็นสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์ที่ผลิตโปรแลคตินในกลีบหน้า
Prolactin hormone
เตรียมการสร้างน้ำนมให้กับเซลล์สร้างน้ำนมของเต้านม
มีระดับสูงขึ้นมากในช่วงอายุครรภ์ใกล้ครบกำหนดคลอด
ระดับ Prolactin ขึ้นไปสูงถึง 150 ng/ml (10 เท่าของระดับปกติ)
ถูกยับยั้งการสร้างน้ำนม
estrogen และ progesterone มีระดับสูง
hypothalamus หลั่ง prolactin inhibitor factor
ต่อมใต้สมองส่วนหลัง
Oxytocin hormone
สร้างจาก posterior pituitary gland
ช่วยในการกระตุ้นการหดรัดตัวของ
กล้ามเนื้อมดลูก และการหลั่งน้ำนม ในระยะหลังคลอด
vasopressin ทำให้เส้นเลือดหดรัดตัวซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูง
ระดับ Oxytocin เพิ่มขึ้นในระยะตั้งครรภ์และช่วงสูงสุด
ในระยะตั้งครรภ์ฮอร์โมนนี้จะถูก progesterone กดการออกฤทธิ์ไว้
จนกระทั่งครรภ์ครบกำหนด
มีบทบาทในการปรับสมดุลน้ำในร่างกาย
vasopressin จะสร้างมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณเลือด และ plasma osmolality
Antidiuretic hormone (ADH)
ระดับของฮอร์โมน antidiuretic (ADH) ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
แต่การลดลงของความเข้มข้นของโซเดียมในการตั้งครรภ์ทำให้เกิดการลดลงของ osmolality
ดังนั้นจึงมีการรีเซ็ต osmoreceptors สำหรับการปล่อย ADH และความกระหาย
ต่อมหมวกไต (Adrenal gland)
ระยะแรก ๆ ของการตั้งครรภ์ ACTH ลดลง
อายุครรภ์มากขึ้น ระดับของ ACTH เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อายุครรภ์มากขึ้น คอร์ติซอลอิสระเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
Aldosterone
เพิ่มขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 15 ของการตั้งครรภ์
ระดับพลาสม่าของ renin พลาสม่าจะเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากผลกระทบของสโตรเจนในตับ ระดับที่สูงขึ้นของ renin และ angiotensin ในระหว่างตั้งครรภ์นำไปสู่ระดับ angiotensin ที่ยกระดับ II และ aldosterone ในระดับที่สูงขึ้นอย่างเด่นชัด
ถ้าสตรีมีครรภ์ไม่ได้รับโซเดียมร่างกายจะสร้าง aldosterone มากขึ้นขณะเดียวกันระดับของ angiotensin II ก็มากขึ้น aldosterone ที่
เพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะต้องการป้องกันเสียโซเดียมจากฤทธิ์ของ
โปรเจสเตอโรน
ฮอร์โมนจากตับอ่อน (pancreas)
ขณะตั้งครรภ์ตับอ่อนจะสร้าง insulin เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองกับ glucocorticoid
ขณะตั้งครรภ์ Insulin จะทำหน้าที่ลดลงเนื่องจากฮอร์โมน estrogen, progesterone และ human placental lactogen ทำ
หน้าที่เป็น insulin antagonist
ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น (hyperglycemia) เพื่อให้การส่งน้ำตาลสู่ทารกได้มากขึ้น
Diabetogenic state
สตรีที่เป็นเบาหวานก่อนตั้งครรภ์จะมีความต้องการ insulin เพิ่มขึ้น
ผู้ที่เป็นเบาหวานจะมีอาการรุนแรงขึ้นและเกิด ketoacidosis ได้ง่าย
เมื่อ insulin ทำงานได้ไม่เต็มที่ทำให้มีการสลายไขมันใช้เพื่อเป็นพลังงานทดแทน
สตรีมีครรภ์ที่มีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานจะปรากฏอาการของเบาหวานในระยะตั้งครรภ์ได้ง่าย
ต่อมพาราธัยรอยด์ (Parathyroid gland)
ระดับฮอร์โมนพาราธัยรอยด์ลดลงในไตรมาสแรก ต่อมาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ดีขึ้น ต่อมพาราไทรอยด์ควบคุมแคลเซียมเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของทารกในครรภ์
ฮอร์โมนจากพาราธัยรอยด์เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เท่า ในสัปดาห์ที่ 15-35 ของการตั้งครรภ์
ฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติ ในระยะหลังคลอด
ต่อมธัยรอยด์ (Thyroid gland)
ขณะตั้งครรภ์ต่อมธัยรอยด์ทำงานมากขึ้นจะมีการขับถ่ายไอโอดีนทางปัสสาวะมากขึ้น ทำให้ระดับไอโอดีนในเลือดลดลง ต่อมไทรอยด์จึงต้องทำงานโดยจับไอโอดีนจากเลือดมากขึ้น เพื่อมาสร้างฮอร์โมนให้เพียงพอ
free T3 และ T4 กลับสู่ระดับปกติในไตรมาสที่สอง
ฮอร์โมน thyroxin สูงขึ้น
ระดับ total T3และ T4 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ T3 ลดลง
เหงื่อออกมาก ทนต่ออากาศร้อนได้น้อย อารมณ์แปรปรวน อ่อนเพลียมีผลให้การเผาผลายอาหารเพิ่มขึ้น 25% ทำให้ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นเร็ว
ตรวจพบระดับของ protein-bound iodine ในเลือด
butanol-extractable iodine เพิ่มขึ้น
thyroxin binding capacity เพิ่มขึ้น
basal metabolic rate สูงขึ้นประมาณร้อยละ 20
สัมพันธ์กับการที่ทารกและรกต้องการใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น
สตรีมีครรภ์จะอยู่ในภาวะ Euthyroid state ฮอร์โมน estrogen จะกระตุ้นให้ต่อมธัยรอยด์ โตขึ้นเล็กน้อยในระยะแรกของการตั้งครรภ์
หากสตรีมีครรภ์ได้รับ iodine ไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดคอพอก
2.การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
ปริมาณเลือด
ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น 30-50 และขึ้นช้าๆ ตั้งแต่ไตรมาสแรก เมื่ออายุครรภ์ 28-32สัปดาห์ ปริมาณเลือดจะคงระดับไว้ถึงระยะคลอด
ปริมาณเลือด > พลาสมาและเม็ดเลือดแดง
แต่สัดส่วนระหว่างที่เพิ่มขึ้นพลาสมา > เม็ดเลือดแดง
เกล็ดเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ปริมาณโปรตีนในเลือดต่ำลง
ทารกต้องการใช้โปรตีน
ทำให้สารน้ำซึมออกไปนอกเซลล์
เท้า และหน้าแข้งสตรีตั้งครรภ์บวมกดบุ๋ม
ปริมาณไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น 1 ใน 3 ของค่าปกติ
ความดันโลหิต
ท่าทางการทรงตัวของสตรีตั้งครรภ์
ท่านั่ง และยืน ความดันโลหิตจะเพิ่มสูงขึ้น
ท่านอนหงาย ความดันโลหิตจะต่ำลง Supine hypotension
ความดันในหลอดเลือดดำบริเวรขา เพิ่มขึ้น
ความดันโลหิตลดลง 5-10 mmHg. ในไตรมาสที่ 2 จะกลับสู่ค่าปกติในไตรมาสที่ 3
อาจมี
Arterial hypotention
อาการ: หน้ามืด ซีด เหงื่อออก ตัวชื้น แก้อาการดังกล่าวได้โดย นอนตะแคงซ้าย
หัวใจ
cardiac output เพิ่มขึ้น
พิ่มสูงสุด ร้อยละ 30-50 ในสัปดาห์ที่ 30-32
ท่านอนตะแคง cardiac output สูงกว่าท่านอนหงาย
กระบังลมยกสูงขึ้น หัวใจจะถูกเคลื่อนไปทางซ้ายและสูงขึ้น ทำให้ apex เคลื่อนไปด้านข้างมากขึ้น หัวใจโตขึ้น
อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 10-15 ครั้ง/นาที
diastolic murmurs ร้อยละ 20
ได้ยินเสียงลิ้นหัวใจ ชนิด Systolic murmurs พบได้ร้อยละ 90
เสียงลิ้นหัวใจที่สงสัยว่าสตรีตั้งครรภ์เป็นโรคหัวใจ
Systolic murmurs
diastolic murmurs
pre-systolic หรือ continuours
ทั้ง 3 เสียงนี้ฟังได้ตั้งแต่ เกรด 3/6 ขึ้นไป
3.การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ
การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค
ทรวงอกจะขยายขนาดขึ้น
กระบังลมที่ถูกมดลูกดันให้สูงขึ้นมาประมาณ 4 ซม.
มดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามอายุครรภ์จะเบียดดันให้ลำไส้ขึ้นมาเบียดกระบังลมจะทำให้รู้สึกหายใจอึดอัด ปอดมีความจุเพิ่มมากขึ้น
เส้นเลือดและกล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมเกิดการคลายตัวจากผลของฮอร์โมน
มักจะหายใจเร็วและแรงขึ้น และการหายใจจะเปลี่ยนจากหายใจด้วยหน้าท้องมาเป็นหน้าอกแทนหลังจากตั้งครรภ์ได้ 24 สัปดาห์
เส้นผ่านศูนย์กลางทรวงอกเพิ่ม 2 ซม.
เส้นรอบวงเพิ่ม 6 ซม.
การเปลี่ยนแปลงการทำงาน
ร่างกายต้องใช้ปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้น
มีการลดลงของ residual volume , functional residual capacity และ total lung volume
มีการเพิ่มขึ้นของ tidal volume ,minute ventilation และ inspiratory capacity
การเปลี่ยนแปลงของ minute ventilation มีผลต่อภาวะสมดุลกรด-ด่าง
เป็นผลมาจาก โปรเจสเตอโรนที่ไปเพิ่มความไว central chemoreceptor ในการตอบสนองต่อ CO2
ทำให้ ventilation เพิ่มขึ้น ระดับของ PCO2 ในหลอดเลือดแดงลดลง
ร่างกายมีการปรับตัวโดยเพิ่มการขับ bicarbonate ทางไตออกมากขึ้นจึงเกิด respiratory alkalosis
อัตราการหายใจจะไม่เปลี่ยนแปลง
4.การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหาร
หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้ มีอาการเรอเปรี้ยว แสบร้อนในอกและลำคอจากผลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนทำให้กระเพาะอาหารเคลื่อนไหวช้าลง ทำให้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกง่าย และริดสีดวงทวารหนักจะพบได้ง่ายเนื่องจากมีความดันโลหิตสูง
ด้านปากและช่องปาก อาจมีเลือดออดง่าย มีเลือดคั่งมาก และทำให้เกิดอาการเหงือกบวม และฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาก
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือ คลื่นไส้อาเจียน และเกิดอาการไม่สุขสบาย
ตับและการทำงานของตับ จะเพิ่มขึ้นโดยจะพบว่าระดับ cholesterol,lipoprotin.triglyceride จะเพิ่มสูงขึ้น
ถุงน้ำดี โป่งพอง ความตึงตัวลดลงจากผลของฮอร์โมนเจสเตอโรนทำให้น้ำดีไหลช้า
6.การเปลี่ยนแปลงระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
เอ็นยึดข้อต่อของกระดูกและอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
กล้ามเนื้อหน้าท้อง
มีการยืดหยุนขยายเพื่อรองรับขนาดของมดลูกที่โต
ทำให้เกิดการแยกใยของกล้ามเนื้อ
มีการยืดขยายและนุ่มกว่าเดิม เพื่อให้ขณะคลอดมีการขยายใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกปวดเมื่อยและเดินไม่ถนัด
แรกการตั้งครรภ์ relaxin และ progesterone ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ มีการยืดหยุ่นของข้อต่อหรือเอ็นต่าง ๆ
ทำให้ symphysis pubis อาจแยกได้ตั้งแต่ช่วง 28-30 สัปดาห์ ซึ่งทำให้สตีตั้งครรภ์เดินลำบาก
มดลูกมีขนาดใหญ่ ทำให้กระดูกแอ่นมาข้างหน้ามากขึ้น เพื่อช่วยในการทรงตัว ทำให้มีอาการปวดหลัง
กระดูกสันหลัง
สตรีตั้งครรภ์จะเคลื่อนไหวไม่สะดวกมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลัง ทำให้มีการปวดหลังมากขึ้น มีการดึงรั้งของกล้ามเนื้อบริเวณคอ
การดึงรั้งอาจมีอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงบริเวณแขน
ทำให้จุดศูนย์ถ่วงเลื่อนมาข้างหน้าเพื่อรักษาสมดุลของการทรงตัว
ขนาดมดลูกที่โตขึ้นกดเส้นเบียดประสาท และหลอดเลือดในอุ้งเชิงกราน
ทำให้สตีตั้งครรภ์รู้สึกปวดถ่วงในอุ้งเชิงกราน
8.การเปลี่ยนแปลงของระบบเผาผลาญสารอาหาร
น้ำ(water metabolism)
น้ำจะสะสมในร่างกายมากขึ้นเมื่อครบกำหนดคลอดมีการสะสมน้ำประมาณ6.5ลิตรโดยเป็นส่วนของน้ำคร่ำประมาณ3.5ลิตร เนื่องจากผลของsteroid hormones ที่ทำให้มีการดูดซึมกลับของโซเดียมและน้ำการมีระดับโปรตีนในเลือดที่ต่ำลงส่งผลให้osmotic pressure ลดลงตลอดจนการเพิ่มแรงดันในหลอดเลือด(venous pressure)มากขึ้นจึงทำให้น้ำออกไปอยู่นอกเซลล์และทำให้มีอาการบวมที่ข้อท้ายของการตั้งครรภ์
การเพิ่มของน้ำหนักในระยะตั้งครรภ์
การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวหญิงตั้งครรภ์แต่ละคนจะไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ว่าอยู่ในเกณฑ์ใด ซึ่งสามารถคำนวณได้จากค่าดัชนีมวลกาย (body mass index; BMI) เพื่อหาว่ามีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ใด ถ้าหญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวน้อย ระหว่างตั้งครรภ์ควรเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้นกว่าปกติ หรือถ้ามีน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์มาก ควรเพิ่มน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป
การเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต
ในระยะครึ่งแรกของการตั้งครรภ์กลูโคสจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญถ้าหญิงตั้งครรภ์ไม่รับประทานอาหารเป็นเวลานานจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้(Hypoglycemia)และค่าน้ำตาลในเลือดเมื่ออดอาหาร(Fasting blood glucose)จะต่ำกว่าในระยะไม่ตั้งครรภ์จะสูงกว่าภาวะปกติ(hyperglycemia)จากผลของinsulin antagonist ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนน้ำตาลให้ทารกซึ่งมีระดับน้ำตาลต่ำกว่า และสตรีตั้งครรภ์จะเกิดภาวะhypoglycemiaเมื่ออดอาหารดังนั้นควรให้สตรีตั้งครรภ์ได้รับอาหารแคลอรีสูงและไม่ควรงดอาหารนานกว่า12ชั่วโมง
การเผาผลาญสารอาหารโปรตีนและไขมัน
ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์มีความต้องการโปรตีนเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของทั้งมารดาและทารก ความต้องการโปรตีนจะสูงสุดในระยะไตรมาสสุดท้ายหรือ 3 เดือนก่อนคลอด เซลล์สมองของทารกจะมีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้ามารดาได้รับโปรตีนและแคลอรีไม่เพียงพอจะทำให้มีจำนวนเซลล์สมองน้อยและขนาดเล็ก ซึ่งมีผลต่อสติปัญญาและการเรียนรู้ของเด็กในอนาคตคณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ได้แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ กินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ 25 กรัม เนื่องจากโปรตีนประมาณ 1.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และประมาณ 2 ใน 3 ของโปรตีนที่ได้รับควรเป็นโปรตีนจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น
9.การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคมของหญิงตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงทางจิตสังคมของบุตรคนก่อนๆ
บุตรส่วนใหญ่กลัวการเปลี่ยนแปลงของสัมพันธภาพระหว่างตนเองกับบิดา มารดา การเตรียมบุตรคนก่อนควรเตรียมตามวัย บิดามารดาต้องให้ความมั่นใจว่า บุคคลสิ่งของ หรือกิจกรรมในครอบครัวเป็นเช่นเดิม เพียงแต่จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา เปิดโอกาสให้บุตรคนก่อนได้แสดงความเห็น หรือระบายความรู้สึกให้ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือบิดา มารดาในการดูแลบุตรคนใหม่
การสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกในครรภ์
Attachment สัมพันธภาพ หรือ การสัมผัส เป็นรูปแบบของปฏิสัมพันธ์ของบุคคลที่แสดงออกในทางบวก ซึ่งผลของสัมพันธภาพนี้ทารกเป็นผู้เก็บประสบการณ์ที่ได้เพื่อจัดระบบพฤติกรรมและพัฒนาทางด้าน ร่างกาย จิตใจ และสังคมในอนาคต Bonding ความรักใคร่ผูกพัน เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมารดาได้สัมผัสบุตรทันทีหลังคลอด
พันธกิจของหญิงตั้งครรภ์(Tasks of Pregnancy)
ขั้นที่ 1 การสร้างความมั่นใจและการยอมรับการตั้งครรภ์ (Pregnancy validity)
ขั้นที่ 2 การมีตัวตนของบุตรและรับรู้ว่าบุตรในครรภ์เป็นส่วนหนึ่งของตน (Fetal embodiment)
ขั้นที่ 3 การยอมรับว่าทารกเป็นบุคคลหนึ่งที่มีบุคลิกภาพที่แตกต่างไปจากตน (Fetal distinction)
ขั้นที่ 4 การเปลี่ยนบทบาทการเป็นมารดา (Role transition)
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัวต่อบทบาทการเป็นมารดา
ประสบการณ์การเลี้ยงดู
วุฒิทางอารมณ์ของหญิงตั้งครรภ์
ลักษณะทางสังคมและครอบครัว
สภาพทางเศรษฐกิจ
ประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ที่ผ่านมา
สถานภาพสมรส
การยอมรับสภาพความเป็นจริง
การเรียนรู้และการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องขณะตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์
ไตรมาสแรก Ambivalence (มีความรู้สึกสองฝักสองฝ่าย
ไตรมาสที่ 2 Acceptace (เริ่มยอมรับการตั้งครรภ์)
ไตรมาสที่ 3 เริ่มกลัวและวิตกกังวลเกี่ยวกับการคลอด และทารกในครรภ์
2.การเปลี่ยนแปลงทางด้านภาพลักษณ์ ( Body image )
ภาพในจิตใจของบุคคลที่มีต่อร่างกายของตนเอง ผลของภาพลักษณ์ที่ดีจะก่อให้เกิดความ ภาคภูมิใจ การยอมรับ ความมีคุณค่า
การเปลี่ยนแปลงด้านเพศสัมพันธ์
การแสดงออกด้านเพศสัมพันธ์เป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ และการมี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น พยาบาลต้องสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจให้หญิงตั้งครรภ์ยอมรับ บอกเล่าปัญหาด้านเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น
การปรับตัวเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดา
บทบาท ( Role ) กลุ่มพฤติกรรมที่แสดงออกตามความคาดหวังของสังคมตามสถานภาพของบุคคลนั้นๆ Maternal role บทบาทการเป็นมารดาเป็นการเปลี่ยนแปลง บทบาทที่สำคัญของหญิงตั้งครรภ์ที่เพิ่มจากบทบาทภรรยาเป็นบทบาทของมารดา
10.การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
อาการแสดงว่าอาจตั้งครรภ์
ได้ยินเสียงของหลอดเลือดมดลูก(uterine souffle)
การขยับคลอนทารก(ballottement)
คลำขอบเขตตัวทารกได้
การหดรัดตัวของมดลูก(Braxton hicks contractions)
การเปลี่ยนแปลงของมดลูกและปากมดลูก
หน้าท้องใหญ่ขึ้น(enlargement of the apdomen)
อาการแสดงว่าตั้งครรภ์แน่นอน
เห็นทารกผ่านทางคลื่นเสียงความถี่สูง
ได้ยินเสียงหัวใจของทารก(fetal heart sound)
เห็นการเคลื่อนไหวและคลำส่วนต่างๆของทารกได้
การใช้รังสีเอกซเรย์(radiological demonstration)
อาการและการแสดงที่คาดว่าจะตั้งครรภ์
การเปลี่ยนสีของเยื่อบุช่องคลอด
การเปลี่ยนแปลงของสีผิวและการเกิดรอยแตกของผิวหนัง
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม
อาการเหนื่อยล้ามาก(fatigue)
การขาดประจำเดือน
อาการคลื่นไส้