Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่11 การพยาบาลมารดาที่มีภาวะแทรกซ้อน ในระยะหลังคลอด, ทำให้เกิด,…
บทที่11
การพยาบาลมารดาที่มีภาวะแทรกซ้อน
ในระยะหลังคลอด
1.การตกเลือดหลังคลอด
(Postpartum Hemorrhage)
อาการและอาการแสดง
1.มีเลือดออกทางช่องคลอด
2.การฉีกขาดของช่องทางคลอด เลือดที่ออกจะเป็นสีแดงสด
3.การมีเศษรกค้าง ถ้าเศษรกขนาดใหญ่จะเกิดการตกเลือดทันทีจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี แต่ถ้าเศษรกขนาดเล็กจะเกิดการตกเลือดในช่วง 6 - 10 วันหลังคลอด ซึ่งเลือดจะมีสีแดงคล้ำ
1.การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี เลือดที่ออกจะเป็นสีคล้ำ
4.มดลูกปลิ้น พบว่ามีเลือดไหลพุ่งออกมาให้เห็นเป็นจำนวนมาก
5.การมีเลือดคั่งใต้ผิวหนัง (hematoma) และมีแรงกดอย่างรุนแรงใน 12 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ผิวหนังมีอาการบวม แดงออกสีม่วงคล้ าหรือสีดำคล้ำ รู้สึกปวดอย่างรุนแรงโดยไม่สัมพันธ์กับการบาดเจ็บจากการคลอด
2.มดลูกหดรัดตัวไม่ดี โดยจะคลำพบระดับมดลูกอยู่สูงและขนาดโตขึ้น อาจสูงถึงระดับสะดือหรือ
เหนือสะดือ เมื่อคลึงมดลูกจะมีก้อนเลือดและมีเลือดสดจำนวนมากออกทางช่องคลอด
3.อาการปวดท้องน้อย พบได้ในรายที่มีมดลูกปลิ้น จะมีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง
ผลกระทบของการตกเลือดหลังคลอด
ทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายลดลงเกิดภาวะ hypovolemia มีผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงไตลดลง ถ้าขาดเลือดไปเลี้ยงไตเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะไตล้มเหลวได้
ทำให้ต่อมพิทูอิทารีส่วนหน้าขาดออกซิเจนส่งผลให้อวัยวะเหล่านั้นเสียหรือทำงานน้อยลง มีผลทำให้ฮอร์โมนต่าง ๆ ลดน้อยลง
เกิดกลุ่มอาการที่
เรียกว่า Sheehan’s syndrome ซึ่งมีลักษณะ คือ น้ำนมไม่ไหล เต้านมมีขนาดเล็กลง
ในกรณีที่มีการตกเลือดจากการฉีกขาดของช่องทางคลอดและมีการฉีกขาดใกล้เคียงบริเวณท่อปัสสาวะ ทำให้ท่อปัสสาวะบวม มารดาหลังคลอดถ่ายปัสสาวะลำบากหรือถ่ายปัสสาวะไม่ได้และเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็มอาจขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูกทำให้เสี่ยงต่อการตกเลือดซ้ำได้
การตกเลือดหลังคลอดในระยะหลัง
สาเหตุ
3.การติดเชื้อในโพรงมดลูก
4.เลือดออกจากแผลในช่องทางคลอด เกิดขึ้นได้จากการอักเสบติดเชื้อทำให้ลุกลาม ไปทำให้หลอดเลือดบริเวณดังกล่าวเปิดออก
2.หมดลูกเข้าอู่ช้า ซึ่งอาจมีการอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูกร่วมด้วย อาการส่วนใหญ่เกิด
ภายหลังคลอด 5 สัปดาห์ไปแล้ว
5.สาเหตุอื่นๆ เช่น ครรภ์ไข่ปลาอุก เนื้องอกของตัวมดลูก เป็นต้น
1.เศษรกหรือเยื่อหุ้มทารกค้าง พบได้บ่อย แล้วจะมีอาการเลือดออกหลังคลอดประมาณ 1 สัปดาห์
การพยาบาลมารดาที่มีการตกเลือดหลังคลอด
ระยะคลอด
1.หลีกเลี่ยงหรือหาวิธีช่วยลดการเกิดปัจจัยเสี่ยงเช่น การคลอดยาวนาน
2.เตรียมความพร้อมในรายที่มีปัจจัยเสี่ยง
3.ในผู้คลอดที่มีความเสี่ยงสูง ควรงดน้ำและอาหารทางปาก
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
4.ทำคลอดในระยะที่ 2 และ 3 ของการคลอดอย่างถูกต้อง
5.หลังรกคลอดควรตรวจรกให้ครบถ้วน คลึงมดลูกหลังรกคลอด ตรวจช่องทางคลอด
ระยะหลังคลอด
2.ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่างโดยกระตุ้นให้ขับถ่ายปัสสาวะ
3.แนะนeมารดาหลังคลอดให้ตรวจดูการหดรัดตัวของมดลูกโดยการสอนวิธีการคลึงมดลูกให้กับมารดาหลังคลอด
1.ในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอดควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นระยะที่เกิดการตกเลือดหลังคลอดได้มากที่สุด
4.ควรประเมินบริเวณช่องทางคลอดและแผลฝีเย็บ
ระยะตั้งครรภ์
1.ค้นหาปัจจัยเสี่ยงและความตระหนัก เช่น ครรภ์แฝด ทารกตัวโตมาก
2.แก้ไขปัญหาความเข้มข้นของเลือด เช่น
เม็ดเลือดต่ำ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงยิ่งขึ้นเมื่อมีการเสียเลือด
การพยาบาลขณะที่มีการตกเลือดหลังคลอด
3.งดน้ าและอาหารทางปาก
4.จัดให้นอนหงายราบไม่หนุนหมอน
2.ตรวจวัดสัญญาณชีพจนกว่าจะอยู่ในระดับปกติ
5.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน
1.ประเมินระดับความรู้สึกตัว
การตกเลือดหลังคลอดในระยะแรก
2.Tissue
หมายถึง การมีรก หรือบางส่วนของเยื่อหุ้มทารกค้างในโพรงมดลูก เนื่องจากการที่มีรกหรือเยื่อหุ้มทารกค้างจะทำให้มดลูกหดรัดตัวได้ไม่ดี
สาเหตุ
1.การทำคลอดรกไม่ถูกวิธี โดยการคลึงมดลูกก่อนที่รกลอกตัว ทำให้รกลอกตัวบางส่วนและอาจทำให้ปากมดลูกหดเกร็ง (cervical cramp) ปิดกั้นไม่ให้รกที่ลอกตัวแล้วหลุดออกมา ซึ่งจะไปขัดขวางต่อการหดรัดตัวมดลูก
2.ความผิดปกติของรกหรือการฝังตัวของรก ได้แก่
1.รกมี infract มาก
2.ต าแหน่งที่รกเกาะมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ซึ่งพบได้ในการตั้งครรภ์แฝด หรือรกน้อย เป็นต้น
3.รกฝังตัวลึกและแน่นผิดปกติเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียเลือดได้มาก
3.Trauma
หมายถึง การมีบาดแปลฉีกขาดของช่องคลอด ซึ่งการฉีกขาดของช่องคลอดพบเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการตกเลือดหลังคลอดในระยะแรก
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการฉีกขาดของช่องคลอด ดังนี้
2.ปัจจัยด้านทารก เช่น ทารกตัวโต
3.ปัจจัยจากการคลอดและวิธีการทำคลอด ได้แก่ การคลอดเฉียบพลันทำให้ช่องทางคลอดปรับขยายตัวไม่ทันเกิดการฉีกขาด
1.ปัจจัยด้านมารดาหลังคลอด เช่น แผลเก่าจากการตัดฝีเย็บ หรือการติดเชื้อของช่องทางคลอด
Tone
หมายถึง ภาวะที่มดลูกหดรัดตัวไม่ดี (uterine atony) เมื่อมดลูกหดรัดตัวไม่ดีจึงทำให้ไม่สามารถห้ามเลือดได้ จึงมีเลือดออกมาเรื่อย ๆ ทางช่องคลอด มดลูกหดรัดตัวไม่ดีมักเป็นสาเหตุของการตกเลือดหลังคลอดในระยะแรกซึ่งพบได้ถึงร้อยละ 70 ปัจจัยที่ส่งเสริมให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี ได้แก่
1.กล้ามเนื้มดลูกขยายมากเกินไป
2.มดลูกหดรัดตัวไม่ดีระหว่างการคลอด
3.การคลอดที่ไม่ปกติ เช่น การคลอดยาวนาน การคลอดเฉียบพลัน
4.การตกเลือดก่อนคลอด
5.กระเพาะปัสสาวะเต็ม
6.สาเหตุอื่นที่ขัดขวางการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เช่น เนื้องอกมดลูก มดลูกปลิ้น
7.การได้รับยา เช่น การได้รับยาที่ท าให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัว
8.การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรมากกว่า 5 คน
9.การอักเสบติดเชื้อภายในโพรงมดลูก
4.Thrombin
หมายถึง การแข็งตัวของเลือดในผู้ที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดเมื่อคลอดบุตร ทำให้มีเลือดออกมากกว่าปกติและไม่หยุดง่าย
2.ก้อนเลือดคั่ง (Hematoma)
ก้อนเลือดคั่ง (hematoma) บริเวณปากช่องคลอด และช่องคลอด ก้อนเลือดคั่งนี้อาจจะเกิดจากการแตกของเส้นเลือดดำขอด (varicose vein) บริเวณนี้ โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์แก่หรือหลังคลอด
สาเหตุ
2.เย็บซ่อมแซมบริเวณที่มีการฉีกขาดหรือที่ตัดฝีเย็บไม่ดี
คลึงมดลูกรุนแรง ทำให้เลือดคั่งใต้เยื่อบุช่องท้อง
1.บาดเจ็บจากการคลอดอาจเกิดได้ทั้งในรายที่คลอดปกติหรือคลอดโดยใช้สูติศาสตร์หัตถการ
อาการและอาการแสดง
จะมีอาการปวดบริเวณที่มีก้อนเลือดคั่งชัดเจน ก้อนเลือดมีลักษณะสีแดงออกม่วงคล้ำ
การรักษาโดยทั่วไปถ้าขนาดของก้อนเลือดคั่งไม่ใหญ่ มักไม่ต้องทำอะไรเพียงแต่รักษาตามอาการและใช้น้ำแข็งกดทับ ให้ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ถ้าก้อนเลือดมีขนาดเกิน 10 ซม. และโตเร็วต้องสงสัยว่าอาจจะมีหลอดเลือดแดงฉีกขาดด้วย
มดลูกเข้าอู่ช้า (subinvolution)
เป็นภาวะที่กระบวนการกลับคืนสู่สภาพเดิมของมดลูกใช้เวลานาน
หรือกระบวนการหยุดไปก่อนที่มดลูกจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
สาเหตุ
3.การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
4.การไม่ให้ทารกดูดนมมารดา
2.ปัสสาวะเต็มกระเพาะปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะไม่หมดหรือมีอุจจาระมากใน rectum
5.การติดเชื้อของมดลูกหรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ
1.การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี
อาการและอาการแสดง
น้ำคาวปลาออกนานหรือมากกว่าปกติ น้ำคาวปลาเป็นสีแดง มีกลิ่นเหม็น อุณหภูมิร่างกายสูงและอาจ
ทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดในระยะหลังได้
การพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีมดลูกเข้าอู่ช้า
1.หลังทำคลอดรกตรวจให้แน่ใจว่ารถคลอดครบ
2.ส่งเสริมให้น้ำคาวปลาไหลสะดวก เช่น กระตุ้นให้มารดาลุกจากเตียงโดยเร็ว
3.ส่งเสริมให้เลี้ยงทารกด้วยน้ำนมมารดา
การติดเชื้อหลังคลอด (Puerperal infection)
การติดเชื้อแบคทีเรียของระบบอวัยวะสืบพันธุ์หลังคลอดมักเกิดในช่วง 28 วันหลังคลอดซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในช่วงหลังคลอด
สาเหตุ
1.สาเหตุโดยตรงเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วซึ่งปกติไม่ทำให้เกิดพยาธิสภาพ
2.การบาดเจ็บจากการคลอดร่วมกับการเปิดของช่องทางคลอดทำให้เชื้อโรคเข้าไปในเยื่อบุมดลูก
ซึ่งเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้และช่องทางคลอด
พยาธิสภาพ
หลังจากรกคลอดแล้ว ตำแหน่งที่รกเกาะจะเป็นแผล บริเวณเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อที่ดีของเชื้อโรค และในระหว่างการคลอดบริเวณปากมดลูก ช่องคลอด ฝีเย็บ และอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกอาจบอบช้ำทำให้แบคทีเรียเข้าไปได้ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามวิธีการแพร่เชื้อ ดังนี้
1.การติดเชื้อเฉพาะที่ มักจำกัดอยู่เฉพาะตำแหน่งที่เป็นเท่านั้น
1.1 การติดเชื้อแผลฝีเย็บ ปากช่องคลอด ช่องคลอดและปากมดลูก
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดเฉพาะที่ซึ่งไม่ค่อย
รุนแรง มักมีปัสสาวะลำบากร่วมด้วย
การรักษา
เปิดแผลให้หนองระบาย ให้ hot sitz baths และอบแผล
1.2 การติดเชื้อของเยื่อบุมดลูก
หรือการติดเชื้อของมดลูก (metritis
การรักษา
โดยทั่วไปรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ เช่น แอมพิซิลลิน การติดเชื้อหลังคลอดส่วนมาก
ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและการรักษาแบบประคับประคอง
อาการและอาการแสดง
อาการมักจะเริ่มต้นใน 48 ชั่วโมงแรกหลังคลอด มีไข้สูงแบบฟันเลื่อยระหว่าง 38.5 - 40 องศาเซลเซียส ชีพจรเร็วสัมพันธ์กั[อุณหภูมิ ปวดท้องน้อยบริเวณมดลูก น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น
การติดเชื้อลุกลามออกไปนอกมดลูก
2.1 การแพร่กระจายไปตามหลอดเลือดดำทำให้เกิด septic pelvic thrombophlebitis,
femoral thrombophlebitis จาก Infected emboli หลุดไปตามกระแสเลือด
อาการและอาการแสดง
septic pelvic thrombophlebitis เป็นภาวะที่วินิจฉัยได้ยาก ส่วนมากจะสงสัยในรายที่มีไข้สูงลอยทั้งที่ให้ยาปฏิชีวนะอย่างเพียงพอ ในรายที่เป็น femoral thrombophlebitis จะพบว่ามีขาบวมตึง กดไม่บุ๋ม
การรักษา
ให้ heparin ถ้าตอบสนองได้ดีภายใน 48 - 72 ชั่วโมง จะเป็นการยืนยันการวินิจฉัยและ
จะต้องให้ต่อจนครบ 10 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
2.2 การแพร่กระจายไปตามระบบน้ าเหลือง ทำให้เกิด pelvic cellulitis (parametritis), pelvic
abscess, petronitis
1.Pelvic cellulitis (Parametritis) เป็นการติดเชื้อของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในอุ้งเชิงกรานนอกเยื่อบุช่องท้องซึ่งเกิดได้ 3 ทาง คือ การกระจายมาตามระบบน้ำเหลือง การแพร่กระจายโดยตรงหรือการ
กระจายต่อเนื่องมาจาก thrombophlebitis ในอุ้งเชิงกราน
อาการและอาการแสดง
มีไข้สูงลอย ปวดท้องน้อย อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้าง เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะ ถ้าเป็นก้อนฝีหนองต้องระบาย
Petronitis การติดเชื้อของมดลูกกระจายทางท่อน้ำเหลืองของมดลูก ลุกลามไปถึงเยื่อบุช่องท้อง
การรักษา
ให้ยาปฏิชีวนะ ในรายที่เป็นรุนแรงอาจต้องได้รับการผ่าตัด
อาการและอาการแสดง
ปวดท้องรุนแรง ท้องโป่งตึง กดเจ็บ มี rebound tenderness ลำไส้
ไม่ทำงาน มีไข้สูง
การพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีการติดเชื้อ
การอักเสบที่เยื่อบุโพรงมดลูก
สังเกตการหดรัดตัวของมดลูกอย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง
แนะนำให้มารดาหลังคลอดนอนคว่ำ ใช้หมอนรองบริเวณท้องน้อยเพื่อให้น้ำคาวปลาไหลได้
สะดวกทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งๆ ละ 30 นาที
การอักเสบที่เยื่อบุช่องท้อง
จัดให้นอนท่า fowler's Position
กรณีที่มีอาการท้องอืดและแน่นท้องมากต้องใช้ Continuous gastric suction
หลอดเลือดดำอักเสบ (Phlebitis)
เป็นการอักเสบของหลอดเลือดดำและลิ่มเลือดมีแนวโน้มที่จะเกิด
หลังคลอดเพราะการแข็งตัวของเลือดมีสูงเนื่องจากไฟบริโนเจนเพิ่มขึ้น
และการไหลเวียนของเลือดไม่ดี มีเลือดขังอยู่
บริเวณขา ส่วนมากมักเกิดบริเวณลิ้นเปิด-ปิดของหลอดเลือดดำ
ที่มีการไหลเวียนของเลือดช้า เกิดลิ่มเลือด
การอักเสบของหลอดเลือดดำ
ในหญิงตั้งครรภ์หรือมารดาหลังคลอด
มักเกิดร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ มี
ประวัติการอักเสบของหลอดเลือดดำมาก่อน
มีหลอดเลือดดำขอดและอุ้งเชิงกาน ฯลฯ
อาการและอาการแสดง
1.กรณีมีการอักเสบของหลอดเลือดดำบริเวณพื้นผิว (superficial venous
thrombosis) จะมีอาการปวดน่องเล็กน้อย บวม แดง ร้อน หลอดเลือดดำแข็ง
2.กรณีที่มีการอักเสบของหลอดเลือดดำที่ลึกลงไป (deep venous thrombosis)
จะมีอาการไข้ต่ําๆแต่มองไม่เห็นหรือทำไม่ได้ กดหลอดเลือดดำส่วนลึกแล้วเจ็บ
การพยาบาลเพื่อป้องกันการอักเสบของหลอดเลือดด
กระตุ้นให้มารดาหลังคลอดลุกจากเตียงโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดส่วนล่าง
3.กรณีที่มีหลอดเลือดดำขอด หรือมีประวัติหลอดเลือดดำอักเสบมาก่อน แนะนำให้สวมถุงน่องช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอด
รองผ้าบนขาหยั่งเพื่อป้องกันไม่ให้น้ าหนักกดลงบนน่อง
การอักเสบติดเชื้อของเต้านม (Breast infections)
1.เต้านมอักเสบ (mastitis)
เป็นการอักเสบของต่อมน้ านม ส่วนใหญ่จะพบในช่วง 3-4 สัปดาห์หลัง
คลอด มักจะเป็นข้างเดียว และบางตำเแหน่ง เต้านมจะแดงและแข็งมากขึ้น
มีอาการปวดบริเวณที่อักเสบ
ควรให้การรักษาอย่างเหมาะสมอย่างทันท่วงที
เพื่อป้องกันไม่ให้การอักเสบการกลายไปเป็นฝีหนอง
การอักเสบมักจะดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง โดย
ให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่พบบ่อย
ให้ยาแก้ปวด เช่น paracetamol
เพาะเชื้อน้ำนมข้างที่มีการอักเสบก่อนเริ่มรักษา
2.เต้านมเป็นฝี (breast abscess)
จะคิดถึงภาวะนี้เมื่อภาวะเต้านมอักเสบไม่ดีขึ้นใน 48-72 ชั่วโมง
หลังการรักษา หรือคลำได้ก้อนที่เต้านมร่วมกับอาการบวมแดง กดเจ็บบริเวณเต้านม
การรักษาคล้ายกับการรักษาเต้านมอักเสบร่วมกับการเจาะระบายหนอง นิยมวิธีใช้เข็มเจาะดูด (needle aspiration) โดยใช้อัลตร้าซาวด์ดูตำแหน่งและให้ยาแก้ปวดเฉาะที่
การพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีการอักเสบติดเชื้อที่เต้านม
1.ล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสเต้านม
2.ทำความสะอาดเต้านมและหัวนม
3.สวมเสื้อพยุงเต้านมให้พอดี
Postpartum Depression
and psychosis
7.1 ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
(postpartum depression)
ภาวะซึมเศร้าของมารดาหลังคลอดเป็นภาวะเบี่ยงเบนด้านอารมณ์ ความคิดและการรับรู้ ส่งผลให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและพฤติกรรม เริ่มมีอาการตั้งแต่ 4 สัปดาห์ถึง 1 ปีหลังคลอด
อาการและอาการแสดง
ความรู้สึกสูญเสีย มีอารมณ์เศร้ารุนแรงอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ต้องการพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น มีความวิตกกังวลอย่างรุนแรง หวาดกลัว วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ
สาเหตุ
2.ความตึงเครียดทางจิตใจ (psychological stress)
2.ปัญหาในชีวิตสมรส
3.ไม่ได้รับความเห็นใจหรือเข้าใจ
1.การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา
ความตึงเครียดทางสังคม (Social stress)
2.ความยากจน
3.ไม่ได้รับการเตรียมตัวก่อนคลอด
1.มารดาวัยรุ่นต้องพักการเรียนและต้องพึ่งพาบิดามารดา
1.ความตึงเครียดทางร่างกาย (biologial stress)
1.การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคและสรีรวิทยาในระยะคลอด
2.การเปลี่ยนแปลงของต่อมไร้ท่อและระดับของฮอร์โมน
3.มารดาหลังคลอดมีความตึงเครียดเนื่องจากการคลอดยาก
การบำบัดรักษา
การบำบัดด้วยยา จะใช้ยารักษาโรคภาวะซึมเศร้าในกลุ่ม Selective serotonin reuptake
inhibitor เป็นอันดับแรก โดยการเลือกยาต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพการรักษาที่ต้องการ
จิตบำบัด เป้าหมายหลักในการทำจิตบำบัดคือ ลดความขัดแย้งในจิตใจที่มีอยู่ ช่วยทำให้ผู้มารดาหลังคลอดได้ระบายความรู้สึกและเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกตนเองมากขึ้น
7.2 โรคจิตหลังคลอด postpartum psychosis
อาการแสดงของโรคจิตหลังคลอด
อาการของโรคจิต
ต่อจากระยะแรก มารดาจะมีอาการโรคจิตหรือวิกลจริตร่วมกับความผิดปกติของอารมณ์ ซึ่งอาการโรคจิตที่จำเพาะของโรคจิตหลังคลอด คือ โรคไบโพล่าหรือโรคอารมณ์แปรปรวน 2 แบบ ซึ่งจะมีทั้งอาการซึมเศร้า และอาการ mania
1.อาการนำ
กระสับกระส่าย หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่แน่นอน กระวนกระวายใจ
อาการที่พบบ่อยคือ 1) นอนไม่หลับ ฝันร้าย 2) บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว
มักเริ่มเป็นระยะ 2-3 วันแรกหลังคลอด มารดาจะมีอาการไม่สุขสบายน ามาก่อน
สาเหตุ
2.มีประวัติเป็นโรคไบโพล่า
3.มารดามีบุคลิกภาพแปรปรวนอยู่ก่อนแล้ว
1.เคยมีประวัติเป็นโรคจิตหลังคลอด
การบำบัดรักษา
ยาต้านโรคจิต (Antipsychotic drug)
ยาลดภาวะซึมเศร้า (Antidepressants)
ยาควบคุมอารมณ์ (Mood stabilizer)
ทำให้เกิด
หมายถึง
หมายถึง
หมายถึง
หมายถึง