Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สภาวะไม่สุขสบายในหญิงตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
สภาวะไม่สุขสบายในหญิงตั้งครรภ์
ระยะไตรมาสที่1
ตะคริวที่ขา
การพยาบาล
แนะนำการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เย็นจัดและการใช้กำลังมากเกินไป
แนะนำให้คุณแม่รับประทานให้ครบห้าหมู่ ดื่มนมให้มากขึ้น
หากเกิดตะคริวให้ใช้มือนวดกล้ามเนื้อส่วนนั้น ถ้าเป็นที่ต้นขาให้เหยียดขาตรง ยกเท้าให้พ้นจากพื้นเล็กน้อย แล้วกระดกปลายเท้าลงล่าง ถ้าเป็นที่น่องให้เหยียดขาให้ตรงแล้วกระดกปลายเท้าให้มากที่สุด แต่ถ้าเป็นตะคริวจากการนอน ให้ยกขาสูง ใช้หมอนรอง 2 ใบ
ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย
การพยาบาล
ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ
ช่วงกลางวันให้คุณแม่ดื่มน้ำมากๆ และดื่มน้อยลงในช่วงกลางคืนหรืองดดื่มน้ำก่อนเข้านอน งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เพราะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง
ฝึกขมิบช่องคลอด เพื่อให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรง
สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบขัด สีเข้ม มีเลือดปน มีไข้ ปวดหลังปวดบั้นเอว ถ้ามีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบคุณหมอก่อนกำหนดนัดตรวจครรภ์
ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น อ้อยแดง สับปะรด กระเจี๊ยบ เพื่อให้ขับปัสสาวะได้ดีขึ้นป้องกันการคั่งค้างของปัสสาวะ ซึ่งจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย
อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน
วิงเวียนศีรษะ (Morning sickness)
การพยาบาล
รับประทานอาหารที่ไม่มัน มีคาร์โบไฮเดรตสูง และทานอาหารให้น้อยลงแต่ทานบ่อย ๆ ให้อยู่ท้อง
หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยากและสิ่งกระตุ้นทำให้คลื่นไส้อาเจียน
เมื่อตื่นตอนเช้าให้ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ เช่น นม น้ำขิง รวมถึงขนมปังกรอบ หรือคาร์โบไฮเดรตแห้งพวกบิสกิตในตอนเช้า 20 นาทีก่อนลุกขึ้นจากเตียง
มื้อสาย สามารถจิบน้ำขิง น้ำตะไคร้ หรือน้ำอุ่นๆ บางท่านไม่อยากให้รู้สึกขมในปาก ลองกัดบ๊วยเค็ม หรือผลไม้ที่มีรสชาติ อมเปรี้ยว จะช่วยบรรเทาอาการผะอืดผะอมได้
มื้อกลางวัน รับประทานอาหารเบาๆ ย่อยง่ายๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ควรหลีกเลี่ยงของทอดของมัน เพราะอาหารมักมีกลิ่นที่ทำให้คุณแม่ไม่อยากกิน
มื้อบ่าย กินอาหารย่อยง่าย เช่น ผลไม้สด สลัด หรือโยเกิร์ต และพักผ่อนอาจจะเป็นการนั่งเอนหลังฟังเพลง หลับสัก 1ชั่วโมง
มื้อเย็น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น ปลาหมึก ทุเรียน อาหารที่ผัด รสฉุน เพราะจะทำให้คุณแม่อยากอาเจียนมากขึ้น พร้อมทั้งอยู่ให้ ห่างจากกลิ่นฉุนต่างๆ เช่น น้ำหอม ดอกไม้
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เวลาจามหรือไอ
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่ดื่มน้ำมาก ๆ และปัสสาวะบ่อย ๆ
ฝึกขมิบปากช่องคลอดก่อนไอ เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นกระชับ และควรฝึกขมิบแล้วปล่อย 50 ครั้งต่อวัน (รอบละ 10 ครั้ง)
อาการอ่อนเพลียเมื่อยล้า (Fatique)
การพยาบาล
ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รับประทานอาหารกลางวันและอาหารค่ำทุกมื้อ
ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ
พักผ่อนให้เพียงพอ นอนวันละ 8-10 ชั่วโมงในช่วงกลางคืน และงีบหลับบ้างช่วงกลางวัน 30-60 นาที
หลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องออกแรงมาก ทำงานติดต่อกันนานๆ โดยไม่หยุดพักหรือเคร่งเครียดตลอดเวลา
ออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการเดินเล่นวันละประมาณ 30 นาที
ผ่อนคลายความตึงเครียดในแต่ละวัน ด้วยการเดินเล่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูละครที่ชอบ
อารมณ์แปรปรวน (Mood swing)
การพยาบาล
แนะนำให้คนในครอบครัวควรให้กำลังใจและรับฟังปัญหาของคุณแม่
พยายามอธิบายและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวให้คุณแม่ได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ผ่อนคลายความตึงเครียดบ้าง เช่น ฟังเพลงสบายๆ อ่านหนังสือที่ชอบ ดูหนังสนุกๆ หางานอดิเรกท าให้เพลิดเพลิน ไม่คิดฟุ้งซ่านหรือหมกมุ่นอยู่กับตัวเองจนเกินไป
ออกกำลังกายเบาๆ หรือ การนั่งสมาธิเพื่อจิตทำจิตใจให้สงบและผ่อนคลายนอกจากจะทำให้ร่างกายคุณแม่หลั่งสารแห่งความสุขที่ทำให้อารมณ์ดีแล้ว ยังทำให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์มีสุขภาพดีอีกด้วย
อาการปวดศีรษะ (Headaches)
การพยาบาล
แนะนำให้นวดต้นคอด้านข้าง โดยเริ่มจากฐานของกะโหลกศีรษะ หรือขอให้คุณพ่อนวดใบหน้า ลำคอ และไหล่
ดื่มน้ำบ่อย ๆ ในระหว่างอาหารแต่ละมื้อ และพยายามรับประทานอาหารอย่างสม่ำเสมอให้ครบทุกมื้อ
ผ่อนคลายตนเองด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น เดินเล่น ฟังเพลง นั่งสมาธิ สวดมนต์ นอนหลับสบายๆ
ประคบหน้าผาก ต้นคอ ขมับ หรือบริเวณที่ปวดด้วยความร้อนอุ่นๆ หรือความเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ
สังเกตว่ามีสิ่งใดที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ และหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีตัวกระตุ้นเหล่านั้น เช่น เสียงดัง ไฟกระพริบ อากาศร้อนหรือเย็นจัด กลิ่นเหม็น
หลีกเลี่ยงอาหาร ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ปวดศีรษะ เช่น อาหารที่มีไนเตรท ได้แก่อาหารที่มีสารกันบูด หรือสารเติมแต่ง เช่น เนื้อหมัก เบคอน แฮม ไส้กรอกรมควัน เนื้อกระป๋อง หรืออาหารที่มีสารซัลไฟต์ เช่น สารฟอกขาว น้ าตาลเทียม อาหารหมักดอง ช็อคโกแลต
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทั้งกลางวัน และกลางคืน
กินอาหารให้เป็นเวลา อย่าปล่อยให้รู้สึกหิว ควรมีขนม ลูกอมติดตัวไว้กินเมื่อรู้สึกหิว เพื่อป้องกันน้ำตาลในเลือดต่ำ
อาการใจสั่น เป็นลม (Tachycardia, Fainting
and Supine Hypotension)
การพยาบาล
รับประทานอาหารให้บ่อยครั้งขึ้น เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
หากนอนหลับให้นอนตะแคงซ้าย เพื่อป้องกันไม่ให้มดลูกไปกดทับหลอดเลือดขนาดใหญ่
แนะนำให้คุณแม่เปลี่ยนอิริยาบถอย่างช้า ๆ
ท้องผูก
การพยาบาล
กินอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ในตอนเช้าถ้ายังไม่รู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ ควรดื่มน้ำอุ่น นมอุ่นๆ น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ หรือน้ำมะนาวจะช่วยให้รู้สึกอยากถ่ายอุจจาระ
อุจจาระทันทีที่รู้สึกปวด ไม่กลั้นอุจจาระ
ออกกำลังกายทุกวัน เช่น เดิน ว่ายน้ำออกกำลังเบาๆ 20-30 นาทีต่อวันหรือฝึกบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง อุ้งเชิงกราน และทวารหนัก โดยหายใจเข้าหน้าท้องป่อง หายใจออกหน้าท้องแฟบ และฝึกขมิบก้นแล้วคลายบ่อยๆ
ไม่ซื้อยาระบายมากินเอง หากท้องผูกบ่อยควรปรึกษาคุณหมอ
เวียนศีรษะและเป็นลม หน้ามืด
การพยาบาล
กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และกินยาบำรุงเลือดตามที่คุณหมอจัดให้เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางและภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนหงายเป็นเวลานาน ควรนอนตะแคง
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด อากาศร้อน ควรสวมเสื้อผ้าหลวมๆ
เปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ เช่น ตะแคงตัวก่อนลุกจากที่นอน นั่งสักพักก่อนลุกยืน
ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ ขณะมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ
น้ำลายมาก (Ptyalism, Salivation)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่รับประทานอาหารน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งขึ้นในแต่ละวัน
ระยะไตรมาสที่3
หายใจลำบาก
(Breathlessness)
การพยาบาล
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนแออัด การทำกิจกรรมเร่งรีบ
แนะนำให้คุณแม่นอนศีรษะสูง45-90 องศา
ฝึกหายใจช้า ๆ และลึก ๆ
ไม่นอนหงายเป็นเวลานาน ใช้หมอนหนุนศีรษะและหลังส่วนบน หรือนอนตะแคงซ้ายเพื่อไม่ให้หลอดเลือดดำบริเวณหลังถูกกด
บริหารร่างกายโดยยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะหายใจเข้าช้าๆ วางมือลงพร้อมหายใจออกช้าๆ หรือ กางแขนออกแล้วยกมือขึ้นแตะกันเหนือศีรษะ หายใจเข้าช้าๆ จากนั้นกางแขนออกช้าๆ พร้อมหายใจออก จะทำให้ช่องออกยืดออกกว้างขึ้น
เส้นเลือดขอด (Vericose Veins)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่นอนในท่าที่สบายที่สุดและยกเท้าขึ้นสูงประมาณ 5-10 นาที หรือเปลี่ยนท่าทางบ้าง เช่น การเดินไปมา ไม่ยืนอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ หรือนอนตะแคงเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
การนวดเพื่อลดอาการปวดเมื่อย ด้วยการนั่งบนเก้าอี้และยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาพาดบนเข่าอีกข้าง แล้วใช้มือจับบีบที่น่องไปเรื่อย ๆ
การพันผ้ายืดจากข้อเท้าขึ้นมาถึงใต้เข่าหรือโคนขา เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับและลดอาการปวด แต่ระวังอย่าพันจนแน่นเกินไปเพราะจะทำให้รู้สึกชาได้
ใส่เสื้อผ้าหลวมๆและใส่กางเกงพยุงครรภ์
รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่และอาหารที่มีวิตามินซีมาก ๆ เช่น ฝรั่ง มะนาว ส้ม สตรอเบอรี่ มะเขือเทศ
แนะนำให้ออกกำลังกายเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่ขา
ปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน
(Pelvic pain)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่ปัสสาวะบ่อย ๆ เพื่อระบายกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง
นั่งเอนตัวไปข้างหน้า อย่าให้น้ำหนักกดบริเวณอุ้งเชิงกรานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินติดต่อกันนานๆ
ออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณข้อต่อแข็งแรง
หากเตียงแข็งเกินไปให้หาผ้าห่มหรือถุงนอนมาปูใต้ผ้าปูที่นอน แล้วให้คุณแม่นอนตะแคงด้านข้าง กอดหมอนข้างหรือวางหมอนระหว่างเข่าและใต้ท้องของคุณแม่ เวลาก้าวขึ้นเตียงนอนให้งอเข่าก้าวขึ้นเตียงแล้วค่อย ๆ เอนกลิ้งลงนอนอย่างช้า ๆ
อาการปวดหลัง
(Back pain)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก
หลีกเลี่ยงการนั่งพับเข่า ให้ยืนหรือนั่งในท่าหลังตรง พักผ่อนในท่านอนตะแคง ให้คุณพ่อช่วยนวดบริเวณหลัง
แนะนำให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ย
แนะนำออกกำลังกายยืน เดิน ในท่าที่สบาย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
ไม่ยกของหนัก และหากจำเป็นต้องยกของ ให้ย่อเข่าแล้วใช้กล้ามเนื้อต้นขาทั้งสองข้างดันตัวขึ้นยืน ห้ามเกร็งกล้ามเนื้อท้องและหลัง หรือก้มหลังยกของเด็ดขาด
อาการคันและผื่นแดง
(Itching and Rashes)
การพยาบาล
หากมีอาการปวดร้าวไปที่แก้มก้นและขาให้บีบนวดที่ก้น ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้ยืนจับพนักเก้าอี้แล้วแกว่งขาไปมาด้านข้างเฉียง 45 องศา หลายๆ ครั้งทุกวัน และถ้าไม่ดีขึ้นหรือปวด
มากควรปรึกษาคุณหมอ
แนะนำให้คุณแม่ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ ดูแลตนเองในเรื่องการทำความสะอาดร่างกาย โดยใช้แชมพูอาบน้ำแทนสบู่ที่ทำให้ผิวแห้ง ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินอี หรือเบบี้โลชั่นที่เย็น ๆ
สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากคอตตอน
หลีกเลี่ยงการเกาบริเวณที่คัน เพราะจะทำให้ผิวหนังถลอกและอักเสบ หากรู้สึกว่าเป็นมากจนผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์
อาการอ่อนเพลียเมื่อยล้า
(Fatique)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่พักผ่อนให้มากขึ้นพักผ่อนเป็นระยะ ๆ ในช่วงกลางวัน
ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รับประทานอาหารกลางวันและอาหารค่ำทุกมื้อ
ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ
อาการบวมที่เท้าและข้อเท้า
(Swelling of the feet, Swelling Ankles)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่ยกขาขึ้นบ่อย ๆ หรือยกเท้าให้สูงเท่าที่จะทำได้
ลดอาหารเค็ม
นอนตะแคงข้างเพื่อลดการกดทับของเส้นเลือด
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้าหรือถุงน่องรัด ๆ ใส่รองเท้าสบาย ๆ
สวมรองเท้าที่ใส่สบาย เพราะเท้าจะบวมมากกว่าปกติในช่วงบ่ายและเย็นของแต่ละวัน ไม่สวมแหวนเพราะเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นแหวนจะคับนิ้วจนถอดไม่ออก
สังเกตอาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่ มือบวม ใบหน้าบวม น้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็ว ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ ปัสสาวะออกน้อย ถ้ามีอาการดังกล่าวควรรีบ
ไปตรวจและรับการรักษาทันที
ปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน
(Pelvic pain)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่ปัสสาวะบ่อย ๆ เพื่อระบายกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง
หากเตียงนอนแข็งเกินไปให้หาผ้าห่มหรือถุงนอนมาปูใต้ผ้าปูที่นอน แล้วให้คุณแม่นอนตะแคงด้านข้าง กอดหมอนข้างหรือวางหมอนระหว่างเข่าและใต้ท้องของคุณแม่ เวลาก้าวขึ้นเตียงนอนให้งอเข่าก้าวขึ้นเตียงแล้วค่อย ๆ เอนกลิ้งลงนอนอย่างช้า ๆ
เจ็บชายโครง
การพยาบาล
นั่งตัวตรง ยืดตัว จะทำให้อาการเจ็บชายโครงน้อยลง
สวมเสื้อผ้าหลวมสบาย ไม่รัดแน่น
ทำกายบริหาร โดยยกแขนข้างหนึ่งชูขึ้นเหนือศีรษะช้าๆ พร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ ค่อยๆ ลดแขนลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจออก ทำสลับแขนซ้าๆ หลายๆ ครั้งจนอาการหายไป
เจ็บเต้านม
การพยาบาล
เปลี่ยนยกทรงให้มีขนาดพอดีกับเต้านม เลือกยกทรงที่ทำจากผ้าฝ้ายที่สวมใส่สบาย ถ้าเต้านมใหญ่มาก คุณแม่ควรสวมยกทรงขณะนอนด้วย
สวมแผ่นซับน้ำนมไว้ใต้เสื้อยกทรงเพื่อซับน้ำนมที่ไหลออกมา
ทำความสะอาดเต้านมและหัวนมวันละครั้ง ขณะอาบน้ำด้วยสบู่แล้วซับให้แห้ง
ทาหัวนมด้วยโลชั่นหรือออยด์ส าหรับเด็กอ่อน
เวียนศีรษะและเป็นลม หน้ามืด
การพยาบาล
กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และกินยาบำรุงเลือดตามที่คุณหมอจัดให้เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางและภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนหงายเป็นเวลานาน ควรนอนตะแคง
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด อากาศร้อน ควรสวมเสื้อผ้าหลวมๆ
เปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ เช่น ตะแคงตัวก่อนลุกจากที่นอน นั่งสักพักก่อนลุกยืน
ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ ขณะมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ
ระยะไตรมาสที่2
ริดสีดวงทวาร
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ลูกพรุน แก้วมังกร ส้ม ผักกะเฉด คะน้า ผักหวาน ใบยอ พวกธัญพืชหลายชนิดก็ให้กากใยสูงเช่นกัน ได้แก่ ข้าวโพด ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
ดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา และให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด
ถ้ามีหัวริดสีดวงโผล่ออกมาให้แช่ก้นด้วยน้ำอุ่นประมาณ 15 นาที แล้วใช้นิ้วมือค่อยๆ ดันกลับเข้าไปในรูทวารหนัก
นอนในท่าหงายชันเข่า ประมาณ 15 นาทีทุกวัน หรือนอนยกสะโพกสูงโดยใช้หมอนรองก้น จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
บริหารด้วยการขมิบกล้ามเนื้อบริเวณอวัยวะเพศ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงการยกของหนักเพราะจะไปเพิ่มความดันภายในช่องท้อง ทำให้เส้นเลือดขอดที่ทวารหนักโป่งพองมากขึ้น
ตะคริวที่ขา
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่รับประทานให้ครบห้าหมู่ ดื่มนมให้มากขึ้น
หากเกิดตะคริวให้ใช้มือนวดกล้ามเนื้อส่วนนั้น ถ้าเป็นที่ต้นขาให้เหยียดขาตรง ยกเท้าให้พ้นจากพื้นเล็กน้อย แล้วกระดกปลายเท้าลงล่าง ถ้าเป็นที่น่องให้เหยียดขาให้ตรงแล้วกระดกปลายเท้าให้มากที่สุด แต่ถ้าเป็นตะคริวจากการนอน ให้ยกขาสูง ใช้หมอนรอง 2 ใบ
แนะนำการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เย็นจัดและการใช้กำลังมากเกินไป
อาการปวดหลัง (Back pain)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก
หลีกเลี่ยงการนั่งพับเข่า ให้ยืนหรือนั่งในท่าหลังตรง พักผ่อนในท่านอนตะแคง ให้คุณพ่อช่วยนวดบริเวณหลัง
แนะนำให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ย
แนะนำออกกำลังกายยืน เดิน ในท่าที่สบาย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
ไม่ยกของหนัก และหากจำเป็นต้องยกของ ให้ย่อเข่าแล้วใช้กล้ามเนื้อต้นขาทั้งสองข้างดันตัวขึ้นยืน ห้ามเกร็งกล้ามเนื้อท้องและหลัง หรือก้มหลังยกของเด็ดขาด
อาการตกขาว (Leukorrhea)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่ดูแลความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาดและแห้ง
ใช้น้ำและสบู่และทำความสะอาดหลังขับถ่ายหรือทำความสะอาดร่างกาย
ห้ามสวนล้างช่องคลอดหรือใช้นิ้วสอดเข้าไปทำความสะอาดอวัยวะภายใน
หลีกเลี่ยงการใส่ชุดชั้นในที่คับ ควรใช้ผ้าฝ้าย
หากมีอาการคันหรือมีสิ่งผิดปกติที่แสดงว่าอาจติดเชื้อ ตกขาวมีสีและกลิ่นเปลี่ยนไป เช่น ตกขาวเป็นสีเหลืองปนเขียว มีลักษณะขุ่น ข้น เป็นก้อนคล้ายนมบูดและมีกลิ่นเหม็น ควรรีบพาคุณแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลโดยเร็ว
สีผิวเปลี่ยน เส้นคล้ำที่หน้าท้อง (Stretchmarks)
การพยาบาล
แนะนำให้ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มขึ้นมากจนเกินไป
แนะนำให้คุณแม่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการทาออยล์หรือครีมบำรุง
การผายลม (Flatulence)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่รับประทานอาหารอย่างช้า ๆ
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส และดื่มชาเปปเปอร์มินต์หรือชาดอกคาโมมายล์
โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ
(Carpal tunnel syndrome)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่นวดฝ่ามือ ขยับนิ้วมือขึ้นลง กางนิ้วมือทั้ง 5 ออกกว้าง ๆ ประมาณ 2-3 วินาทีแล้วหุบมือ หรือตอนกลางคืนให้นอนห้อยมือลงมาข้างเตีย
แนะนำการรับประทานวิตามินบี6
อาการปวดท้อง (Abdominal pain)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่พยายามนวดแบบเบา ๆ ในบริเวณที่ปวด ด้วยการใช้ฝ่ามือ โดยเคลื่อนไหวฝ่ามือช้าๆ
แนะนำให้ใส่กางเกงพยุงครรภ์
นอนไม่หลับ
การพยาบาล
ห้องนอนควรสงบ ไม่มีแสงสว่างมากเกินไป และอากาศเย็นสบาย
ไม่กังวลกับการนอนไม่หลับมากเกินไป อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ หาสิ่งที่ชอบทำจนรู้สึกอยากนอนจึงเข้านอน
นอนตะแคงซ้าย หาหมอนรองขาให้สบาย เพราะทำให้หลังไม่ต้องรับน้ำหนักของท้องทั้งหมด จะช่วยให้หลับสบายขึ้น และช่วยให้เลือดไหลเวียนไปมดลูกได้ดียิ่งขึ้น
กินอาหารที่มีโพแทสเซียมจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น ส้ม ลูกพรุน กล้วย ผักปวยเล้ง ผักกาดหัว แครอท ว่านหางจระเข้
งดดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มหลังอาหารเย็นหรือก่อนเข้านอนเพราะจะทำให้ตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆช่วงกลางคืน แต่ควรดื่มน้ำมากๆ ในเวลากลางวัน
ปวด ชาฝามือและนิ้วมือ
การพยาบาล
แช่มือด้วยน้ำอุ่น เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดที่ฝ่ามือดีขึ้น
นวดข้อมือและฝ่ามือบ่อยๆ ขยับนิ้วมือขึ้นลงหรือกางนิ้วมือออกกว้างๆค้างไว้2-3 วินาทีแล้วหุบนิ้วมือ
ขณะนอนควรวางมือบนหมอนให้สูงจากที่นอนเล็กน้อย จะช่วยลดอาการข้อมือบวม และไม่นอนทับแขน หรือนอนงอแขน
สวมยกทรงขนาดที่เหมาะสม แต่ไม่รัดแน่นจนเกินไปเพื่อช่วยพยุงรับน้ำหนักเต้านม
มดลูกหดรัดตัว
การพยาบาล
นั่งพัก ตอนตะแคง ขยับเปลี่ยนท่าทางบ้าง พร้อมกับหายใจเข้า-ออกลึกๆ
ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงมดลูกได้ดีอย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
หางานอดิเรกทำให้เพลิดเพลิน ไม่จับจดหรือเครียดมากเกินไป
แช่ตัวในอ่างน้ำอุ่นที่สะอาดจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้
เหงือกอักเสบ (Gingivitis)
การพยาบาล
ควรแนะนำให้คุณแม่เปลี่ยนมาใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม แล้วล้างปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก (หากต้องการใช้ไหมขัดฟันควรใช้อย่างเบามือ)
แนะนำให้ดูแลสุขภาพฟัน โดยหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือน
รับประทานอาหารให้ได้สัดส่วน เพิ่มอาหารที่มีโปรตีน ผักและผลไม้
ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน
อาการเรอเปรี้ยว
หรือแสบร้อนยอดอก (Heart burn)
การพยาบาล
แนะนำให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส
งดอาหารรสจัด แล้วเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่ย่อยได้ง่าย โดยรับประทานครั้งละน้อย ๆ แต่ทานบ่อย ๆ และรับประทานอย่างช้า ๆ
แนะนำให้ดื่มนมหรือน้ำอุ่น ๆเมื่อรู้สึกว่ามีอาการร้อนในอกเกิดขึ้นเพื่อเจือจางกรด
นั่งหรือเดินเล่นหลังกินอาหาร และไม่นอนราบ หรือนั่งหลังงอหลังกินอาหารทันทีเมื่อรู้สึกแน่นท้องให้ดื่มน้ำขิง และเดินเล่นสักพัก
กินอาหารช้าๆ ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หรือเพิ่มมื้ออาหารให้มากขึ้นเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 6-8 มื้อ แทนที่จะกินมื้อใหญ่ๆเพียง 3 มื้อ เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารเต็มจนเกินไป
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากๆ ระหว่างกินอาหาร แต่ควรดื่มให้ได้ 8-10 แก้วต่อวัน
หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมัน เพราะย่อยยากและจะไปกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือกินอาหาร 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน อาจดื่มนม 1 แก้วเพื่อช่วยลดความเป็นกรดของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารได้
หลีกเลี่ยงการกินผลไม้ ดื่มน้ำผลไม้รสเปรี้ยว หรืออาหารที่เผ็ดร้อน
ดื่มน้ำมะตูม น้ำขิง หรือน้ำกระชายร้อนๆ กับขมิ้นขาว หรือขมิ้นชัน เพื่อช่วยขับลมช่วยย่อยอาหาร และแก้ลมจุก
หากมีอาการรุนแรง ให้นอนศีรษะสูงหรือหนุนหมอนหลายใบรองตั้งแต่เหนือเอวถึงศีรษะ