Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 8 การใช้อาหารในการบำบัดและการให้โภชนศึกษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง,…
บทที่ 8 การใช้อาหารในการบำบัดและการให้โภชนศึกษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
8.1) การใช้อาหารในการบำบัดโรค และการให้โภชนศึกษาในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
โภชนบำบัด หรืออาหารบำบัด (Diet therapy) หมายถึง การใช้อาหารช่วยในการรักษาโรค เป็นอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ และจัดให้ถูกหลักโภชนาการ โดยจุดมุ่งหมายสำคัญคือการรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค รวมทั้งป้องกันอาการทุพโภชนาการที่อาจเกิดในระหว่างที่ได้รับ
วัตถุประสงค์ของโภชนบำบัด
1.)เพื่อนำความรู้ด้านโภชนศาสตร์มากำหนดอาหารเพื่อรักษาให้หายจากโรค
2.)เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคอ้วน โรคที่เกิดตามมา ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
3.)เพื่อป้องกันภาวะทุพโภชนาการ การเจ็บป่วยอาจทำให้ผู้ป่วยเบื่ออาหารหรือมีการสูญเสีย บางชนิดมีมากขึ้นจนเกิดภาวะทุพโภชนาการ
4.)เพื่อรักษาและส่งเสริมให้ภาวะทุพโภชนาการเกิดขึ้นอยู่แล้วหายไป
กระบวนการทางโภชนบำบัด
1.)การวิเคราะห์ภาวะโภชนาการของผู็ป่วย
1.1)การซักประวัติ เพื่อสืบหารสาเหตุของปัญหา โภชนาการโดยเฉพาะ เช่น ชนิดอาหารที่บริโภคประจำ ชนิดอาหารที่ชอบและไม่ชอบ
1.2)การวัดขนาดร่างกายของผู้ป่วย หมายถึง การวัดส่วนสูง น้ำหนักและการวัดส่วนประกอบของร่างกาย เช่น ไขมัน กล้ามเนื้อ ประเมินภาวะโปรตีนและพลังงานที่เก็บสำรองในร่างกาย
1.3)การตรวจร่างกาย โดยวิธีการสังเกตและวิธีตรวจร่างกายอย่างเป็นลำดับและเป็นระเบียบ
1.4)การตรวจทางชีวเคมี โดยการตรวจเลือดและปัสสาวะ ผลตรวจทางชีวเคมีช่วยยืนยันความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น จากผลการซักประวัติ
2.)การวางแผนการให้โภชนบำบัด
2.1)เป้าประสงค์ คือ ผลลัพท์ที่พึงปรารถนาสำหรับผู้ป่วย เช่น ให้ผู้ป่วยน้ำหนักเพิ่มขึ้น ตามเกณฑ์ปกติ
2.2)วัตถุประสงค์ คือ ผลระยะสั้น เช่นให้น้ำหนักเพิ่มสัปดาห์ 500 กรัม ได้พลังงาน 500 แคลอรี่
2.3)ชนิดของอาหารเพื่อโภชนบำบัด เมื่อได้เป้าประสงค์และวัตถุประสงค์แล้วก็ต้องพิจารณาอาหารที่จะให้แก่ผู้ป่วย จะใช้อาหารชนิดใด จะจัดอย่างไร เพื่อให้ได้พลังงานเพิ่มวันละ 500 แคลอรี่
3.)ขั้นการดำเนินการโภชนบำบัด
ขั้นการดำเนินการโภชนบำบัดเป็นขั้นที่นำแผนโภชนบำบัดมาดำเนินการให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ต้องการรวมทั้งให้คำปรึกษาและให้โภชนศึกษา ความสำเร็จของโภชนบำบัด ต้องอาศัยความร่วมมือ ระหว่่างแพทย์ พยาบาล นักกำหนดอาหาร ตลอดทั้งการยอมรับและการยอมกินอาหารของผู้ป่วยด้วย
4.)ขั้นการประเมินผลโภชนบำบัด
ขั้นการประเมินผลโภชนบำบัด เพื่อความก้าวหน้าของการรักษาผู้ป่วย
การประเมินผล สังเกตหรือสอบถามเกี่ยวกับการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเกี่ยวกัลปริมาณอาหารที่รับประทานอาหารได้ ความพอใจของผู้บริโดภค เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงดัดแปลงแก้ไขได้ เหมาะสมกับสภาพความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและความต้องการของผู้ป่วย
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้โภชนบำบัด
1.)แพทย์ เป็นผู้สั่งอาหารให้แก่ผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใด แพทย์เป็นผู้สั่งลงในคำสั่งการรักษาของผู้ป่วย พร้อมทั้งลายเซ็นและวันที่กำกับไว้ด้วย หากมีการสั่ง ทางโทรศัพท์เพื่อให้ทันเวลาจัดอาหารก็ต้องมีใบสั่งอาหารตามลงมาด้วยทุกครั้ง
2.)พยาบาล
2.1)เป็นผู้คัดกรองคำสั่งของแพทย์ ลงในใบสั่งอาหารเพื่อส่งไปยังหน่วยบริการอาหารใบสั่งอาหาร
2.2)หากผู้ป่วยมานอนป่วย โดยแพทย์ไม่ได้สั่งอาหารทางฝ่ายพยาบาลไม่สามารถติดต่อแพทย์ให้ส่งอาหารได้ ฝ่ายพยาบาลอาจสั่งอาหารอ่อนหรืออาหารน้ำได้แก่ผู้ป่วยก่อน สำหรับมื้อ นั้นแหละ สำหรับมื้อต่อไปให้แพทย์สั่ง
2.3)คอยช่วยเหลือดูแลคนไข้ระหว่างรับประทานอาหาร คอยสังเกตการรับประทานอาหารของคนไข้
3.)นักกำหนดอาหาร มีบทบาทสำคัญดังนี้
3.1)คิดคำนวณคุณค่าอาหารสำหรับผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่ง การคำนวณอาหารจะต้องงจัดทำเป็นรายๆไป เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารตามแพทย์
3.2)กำหนดอาหารและดัดแปลงอาหาร ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความพึงพอใจของผู้ป่วย
3.3)ควบคุมการจัดและการปรุงอาหารเฉพาะโรค
3.4)ทำงานร่วมกับแพทย์และพยาบาลในการให้คำปรึกษาแนะนำด้านอาหารกับผู้ป่วย
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases)
ซึ่งไม่ได้เกิดจากเชื้อ ไม่ติดต่อ ไม่มีตัวพาหะนำโรค แต่เป็นโรคที่เราสร้างขึ้นเองล้วนๆ จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
โรคเบาหวาน
ฺฺ-โภชนบำบัดโรคเบาหวาน
-โภชนศึกษาโรคเบาหวาน
อาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
1.)เรียนรู้และนับคาร์บกับอาหารแลกเปลี่ยน หมายถึง การนับปริมาณสารอาหารคาร์โบไฮเดตรในอาหารที่กินเข้าไปทำให้มีผลต่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ได้แก่
ข้าวสวย 1ทัพพี เส้นใหญ่ 1ทัพพี ข้าวขนมจีน 1 ทัพพี วุ้นเส้น 1 ทัพพี และขนมปัง 1 แผ่น
2.)เลือกกินเนื้อสัตว์อย่างฉลาด
-กินโปรตีน 0.8 กรัม/น้ำหนักตัว(กิโลกรัม)เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ
-กินเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ และมีแคลเซียม เหล็ก สังกะสี เช่น ปลา
-หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น กุนเชียง หนังหมู หมูยอ ไส้กรอก และการปรุงโดยใช้น้ำมันมาก
3.)รู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
1.)เลือกคาร์โบไฮเดรตชนิดดี อาหารที่มีใยอาหารและมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ <55 ส่งผลต่อการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพดขนมปังโฮลแกรน โฮลวีน ถั่ว ธัญพืช
2.)เลือกกินชนิดไขมันที่ช่วยลดคอเรสเตอรอลที่ไม่ดี(LDL) โดยไม่ลดคอเรสเตอรอล(HDL) ได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง ดังนั้น การกินไขมันควรกินน้อยๆวันหนึ่งกินไม่เกิน 6 ช้อนชา
3.)กินอาหารที่มีแอนตี้ออกซิเดนซ์ เช่น ผักผลไม้ 5 สี ผักมื้อละ 2 ทัพพี ผลผไม้มื้อละ 1 ส่วน
4.)กินอาหหารที่มีจุลินทรีย์สุขภาพ เช่น โยเกิร์ตสูตรไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย
4.)รู้จักเลือก รู้จักลด แลละงดอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพ
1.)ลดและงดคาร์โบไฮเดรตชนิดไม่ดี เพราะสารอาหารต่ำ มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว เช่น น้ำตาล เครื่องดื่มรสหวาน
2.)ลดและงดไขมันที่ได้จากผลิตภัณฑ์สัตว์และไขมันทรานซ์ เช่น หมูสามชั้น หนังหมู/ไก่ เป็นอาหารที่มีไขมันทรานซ์เพราะจะเพิ่ม LDL และลด HDL เช่น มาร์การีน เนยขาว เนยเทียมคุกกี้ พาย ครัวซองค์ และอาหารที่ทอดต่างๆ
5.)กินโดยควบคุมปริมาณอาหารจากพลังงานที่ต้องการที่ต้องการในแต่ละวัน
พลังงาน = น้ำหนักตัว
ระดับการใช้แรงงาน
นายมีนา อายุ 56 ปี
น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ไม่ได้ออกกำลังกาย
พลังงาน =60
(22-24)
=1,320-1,440
=1,380 กิโลแคลอรี่
โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ
-โภชนบำบัดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ
-โภชนศึกษาหลอดเลือดสมองและหัวใจ
อาหารที่ทำให้ระดับไขมันตัวร้ายในเลือดสูง
1.)อาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว
1.1ผลิตภัณฑ์จำพวกนม เช่น นมที่มีไขมันอยู่ครบ เนยแข็ง เนย ไอศกรีม
1.2เนื้อสตว์ที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ปนมัน เบคอน กุนเชียงและไส้กรอก
1.3ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว
1.4น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว
2.)อาหารที่มีไขมันทรานซ์ พบได้ในอาหารที่มีการใช้น้ำมันที่มีการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น เนยเทียม เนยขาว ได้แก่ ขนมอบต่างๆ เบเกอรี่ คุกกี้ และอาหารใช้ความร้อนต่อเนื่องนานๆ
3.)อาหารที่มีคอเรสเตอรอล
3.1ไข่แดง เนื้อสัตว์ไขมันสูงและผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูง
3.2เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ
3.3สัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด
3.4สัตว์น้ำประเภทที่มีเปลือก เช่น หอย กุ้ง ปู
อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ
1.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่นไขมันสัตว์หนังเป็ด/ไก่ สมองสัตว์ ตับ เครื่องในสัตว์ อาหารแปลรูป
2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง หอยนางลม ปลาหมึก กุ้ง
3.งดน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม
4.หลีกเลี่ยงอาหารทอด และผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น ปาท๋องโก๋ ไก่ทอด พาย คุกกี้
5.หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากไข่แดง และไขมันอิ่มตัว เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง
6.ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารแต่พอควร และเลือกใช้น้ำมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันรำขข้าว
7.ควรเลือกดื่มนมประเภทไขมันต่ำ(นมพร่องมันเนย)
8.ลดการกินอาหารเค็ม รวมไถึงปลาเค็ม ไข่เค็ม กุนเชียง หมูยอ เป็นต้น
9.กินผัก ผลไม้ เป็นประจำ เพื่อให้ได้รับวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน
10.หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา กาแฟ และงดการสูบบุรี่
11.ออกกำลังกายสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
12.พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมให้เกิดความเครียดทั้งทางอารมณ์และจิตใจ
ควบคุมไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
1.ควบคุมระดับคอเลศเตอรอลในเลือดให้น้อยกว่า 220 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
2.ควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดให้ต่ำกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
3.ลดปริมาณไขมันให้น้อยลง วันหนึ่งไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด
4.ลดปริมาณกรดไขมันชนิดอิ่มตัวลง ควรงดไขมันจากสัตว์ ไข่แดง เนยนม น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าม
5.กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งมีกรดไลโนเลอิค และพบว่า จะช่วยลดไขมันในเลือดและความมดันโลหิตสูงได้
โรคมะเร็ง
-โภชนบำบัดโรคมะเร็ง
-โภชนศึกษาโรคมะเร็ง
ปัญหาการกิน
1.กินครั้งละน้อย แต่บ่อยขึ้นเป็น 5-6 มื้อ
2.กินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ได้แก่ ปลา ไก่ หมู ไข่ ถั่ว
3.ไไข่ กินได้ทั้งไข่แดง ไข่ขาว วันละ 1-2 ฟอง
4.นม เลือกนมวัวไขมันต่ำ
5.สามารถปรุงรสด้วยมะนาวหรือผักสมุนไพรจะช่วยชูรสชาติให้ดีขึ้นได้
6.กินอาหารแช่เย็น เช่น ไอศกรีม หรืออมน้ำแข็ง จะช่วยบรรเทาให้อาการเจ็บแสบลดลง
-ถ้ากินได้น้อย น้ำหนักลดให้กิน อาหารทางการแพทย์ สามารถดื่มแทนอาหารปกติหรือดื่มเสริมกับอาหารปกติใช้แทนอาหารทั้ง 3 มื้ออ
อาหารควรหลีกเลี่ยง
-อาหารเผ็ด
-อาหารที่พึ่งปรุงรสเสร็จกำลังร้อนจัด
-อาหารหรือผลไม้รสเปรี้ยวจัด
-อาหารที่มีลักษณะแข็งที่จะทำให้เจ็บเวลาเคี้ยว
ผู้ป่วยมีปัญหาเม็ดเลือดขาวต่ำ
การกินอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดเลือดขาวต่ำ กินอาหารที่มีโปรตีนสูง ในวันหนึ่งควรกินโปรตีนประมาณ 50-80 กรัม โดยขึ้นกับน้ำหนักตัวว่ามากหหรือน้อย เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนเท่ากับ 50*1.2 ประมาณ 60 กรัมต่อวัน โปรตีน 1 ส่วนจะมีโปรตีน 7 กรัม
-นมวัวไขมันต่ำ 1 แก้ว = โปรตีน 7 กรัม
-เนื้อสัตว์ 2 ช้อนโต๊ะ = โปรตีน 7 กรัม
-ไข่ 1 ฟอง = โปรตีน 7 กรัม
-กุ้งตัวเล็ก 5 ตัว = โปรตีน 7 กรัม
-เต้าหู้ขาวแข็ง 1/2 หลอด = โปรตีน 7 กรัม
-ปลาทู 1/2 ตัว =โปรตีน 7 กรัม
ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูก
-ดื่มน้ำให้เพียงพอ (ประมาณ6-8แก้ว)เพราะน้ำช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น ควบคู่กับผักและผลไม้ที่อุ้มน้ำและมีใยอาหาร
-กินธัญพืชที่ขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังมัลติเกรน และโฮลเกรน มีใยอาหารสูงช่วยในการขับถ่ายดีขึ้น
-ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวอาหารหรืออ่อนเพลีย อาจนำผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น มะละกอ ฝรั่ง แอปเปิ้ล
กินวิตามินได้จากอาหารประเภทไหน
วิตามินซี;ผลไม้ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ มะนาว กีวี่ สตรอเบอรี่
วิตามินอี;น้ำมันพืช ไข่ ถั่ว ผักและผลไม้ต่างๆ
วิตามินดี;รับแสงแดดวันละประมาณ 10 นาที
โฟเลต;ผักใบเขียวเข้มต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง
เบต้าแคโรทีน;ผักที่มีสีเขียว เช่น บร็อกโคลี ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผลไม้ เช่น มะละกอ แครอท
อาหารและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
1.อาหารที่ีมีไขมันมากและมีคอเลสเตอรอลสูง ทานเป็นประจำอาจเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก
2.สารก่อมะเร็ง อาหารปิ้งย่าง อาหารที่ทอดต่างๆ และอาหารหมักดองที่มีการใช้สารไนไตรท์ความชื้นจะเกิดเชื้อรา เช่น ถั่วลิสง เมล็ดข้าวโพด เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์
3.สารก่อมะเร็งงใรสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ก๊าซพิษ ควันบุรี่ สารระเหยจากสีทาบ้าน และน้ำมันรถยนต์มลพิษ
4.ยาและเครื่องสำอางบางชนิด ยาคุมกำเนิดบางชนิด สีที่ผสมลิสติกและยาย้อมผมบางประเภท
แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง
-รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่น ข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ และไขมัน
-รับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย คอเลสเตอรอลต่ำ โดยรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
-รับประทานอาหารที่มีโปรตีนให้เพียงพอ จากเนื้อสัตว์ นม ไข่
-รับประทานอาหารสดใหม่ สุก สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง
-ดื่มน้ำสะอาด วันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้สารเคมีที่อยู่ในร่างกายขับออกมา
-พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด
-งดหรือลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
โรคความดันโลหิต
-โภชนบำบัดโรคความดันโลหิตสูง
-โภชนศึกษาโรคความดันโลหิตสูง
ความดันในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวความดันเลือดปกติขณะพักอยู่ในช่วง 100-140 มิลลิเมตรปรอท ในช่วงหัวใจบีบตัว และ 60-90 มิลลิเมตรปรอท ในช่วงหัวใจคลายตัว คนเราจะมีแรงดันโลหิตสูงและต่ำลงได้บ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจึง หมายถึงผู้ที่มีความดันเลือดเท่ากับหรือสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
1.)ควบคุมน้ำหนัก พบว่า คนที่น้ำหนักเกินปกติ จะมีโอกาศเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนที่มีน้ำหนักปปกติ 50%สูง เมื่อลกน้ำหนักลงความดันโลหิตก็จะลดต่ำลงด้วย โดยเฉพาะคนที่มีประวัติครอบครัวป่วย
2.)ลดการบรโภคโซเดียม เกลือ อาหารรสเค็ม เพราะนอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มโพแทสเซียมในเลือดด้วย
2.1)ลดความเค็มในอาหาร เช่น ไข่เค็ม ปลาร้า ปลาเจ่าปูเค็ม ผักดอง
2.2)หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม หมูยอ กุนเชียง เป็นต้น
2.3)ลดความถี่และปริมาณการกินอาหารที่มีน้ำจิ้ม เช่น น้ำจิ้มไก่ น้ำจิ้มสุกกี้ หมูกระทะ งดการกินพริกกับเกลือเมื่อกินผลไม้
2.4)หลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่สารกันเสีย ที่มีโซเดียมเป็นส่วน
2.5)ปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ หรือสมุนไพร เพื่อเพิ่มกลิ่น รสชาติและความอยากอาหาร เมื่อต้องปรุงอาหารอ่อนเค็ม เช่น ต้มยำ แกงเลียง แกงส้ม เป็นต้น
2.6)งดหรือลดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อสัตว์ไมติดมัน อาหารทอดอาหารที่มีกะทิ
2.7)งดบุหรี่ และเครื่องแอลกอฮอล์
2.8)ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับวัย
ปริมาณโซเดียมในอาหาร
โรคอ้วน
-โภชนบำบัดโรคอ้วน
-โภชนศึกษาโรคอ้วน
โรคอ้วน (Obesity) หมายถึง โรคที่เกิดจากร่างกายมีการสะสมเนื้อเยื่อไขมันมากกว่าเกณฑ์ปกติ รู้ได้อย่างไร น้ำหนักตัว หรือ เป็นโรคอ้วน?
BMI คือ ดัชนีมวลกาย
BMI = น้ำหนัก(กิโลกรัม)/ส่วนสูง(เมตร)2
รับประทานอย่างไรถึงไม่อ้วน?
พลังงานที่ได้รับ มากกว่า พลังงานที่ใช้ไป = น้ำหนักตัวเพิ่ม2000>1500=500(พลังงานส่วนเกิน)
พลังงานที่ได้รับ น้อยกว่า พลังงานที่ใช้ไป=น้ำหนักตัวลดลง1500>2000=-500(พลังงานส่วนขาด)
พลังงานสำหรับผู้หญิงที่ 1500-1600กิโลแคลอรี่
พลังงานสำหรับผู้ชาย 1800-2000กิโลแคลอรี่
พลังงานสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก 1000-1200กิโลแคลอรี่/วัน
ลดพลังงาน 500กิโลแคลอรี่/วัน น้ำหนัก 0.5กิโลกรัม/สัปดาห์ หรือเดือนละ 2 กิโลกรัม
โภชนศึกษาโรคอ้วน
-ควบคุมพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน
-ลดการรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงกลุ่ม ข้าวแป้ง ไขมัน ควรเลือกทานเช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ
-เลือกรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ ไขมันต่ำ หวานน้อย ใยอาหารสูง
-เลือกดื่มชา กาแฟ ที่ไม่ใส่น้ำตาลเทียม ใส่นมสดจืด สูตรนมพร่องมันเนย
-เลือกดื่มน้ำอัดลมที่ไม่ใส่น้ำตาล เช่น ซีโร่ แม๊ก (ไม่ควรกิน 2 แก้วต่อวัน)
-เลือกเมนูผ่านการปิ้ง นึ่งง อบ ย่าง ต้ม มีพลังงานต่ำกว่า เมนูผ่านการทอด ผัด แกงงกะทอมีพลังงานสูง
-เลือกรับประทานเนื้อกลุ่มไขมันต่ำ คอเลสเตอรอลต่ำ
-หลีกเลี่ยง อาหารที่มีไขมันทรานซ์ เพิ่มไขมันเลว (LDL-chol)แฝงอยู่ในขนมเบเกอรี่ อาหารผ่านน้ำมันทอดซ้ำ
จานอาหารสุขภาพ(food plate model)
เป็นหลักการกำหนดสัดส่วนอาหารในอัตราส่วน 2:1:1 โดยการแบ่งอาหารในจานออกเป็น 4 ส่วนใช้จานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 นิ้ว ตักจานอาหารใส่จานสูงได้ไม่เกิน 1/2 นิ้วใน 1 จานประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน ควรเลือกเป็นประเภทไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยว โปรตีน 1 ส่วน เน้นกลุ่มไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น อกไก่ หมูสันใน และถั่วต่างๆ เป็นประจำประมาณ 1/4จาน ผัก 2 ส่วน ควรเลือกผักให้หลากหลายสีที่เป็นผักสดหรือผักสุก ทำให้ได้ใยอาาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ประมาณ 1/2 จาน ผลไม้หวานน้อย 1 ส่วน 1 มือหรือ 1 จานเล็ก เช่น ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง เป็นต้น
ธงโภชนาการ (Nutrition Flag)
แนะนำ สัดส่วน ปริมาณอาาหารที่ควรบริโภคใน 1 วัน โดยในธงโภชนาการจะแสดงงกลุ่มอาหารและสัดส่วนปริมาณอาหารมาตธงโภชนาการร ดังนี้
8.2) การใช้อาหารในการบำบัดโรค และการโห้โภชนาการศึกษาในโรงพยาบาล
อาหารบำบัดโรคหรืออาหารเฉพาะโรค(Therapeutc diet)
โรคบางโรคจะทุเลาเร็วขึ้น ถ้ามีการควบคุมที่เหมาะสม เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไขมันสูงในเลือด ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ดังนั้น การนำอาหารบำบัดโรคมาใช้ร่วมกับการรักษาทางยา จึงมีความสำคัญและลดระยะการรักษาในโรงพยาบาลได้
อาหารลดโซเดียม(Low Sodium diet)
อาหารบางชนิดมิได้มีรสเค็ม แต่ปริมาณโซเดียมสูงโดยธรรมชาติ เช่น อาหารโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ต่างๆ แพทย์เป็นผู้กำหนดว่าอาหารนั้นจะต้องมีปริมาณโซเดียมเท่าใด เช่น 5 กรัม 2 กรัม หรือ 1 กรัม/วัน นักกำหนดจะต้องคำนวณปริมาณโซเดียมที่มีในอาหารทุกชนิด เช่น ผลชูรส ผงฟูที่ใช้ทำขนมเค้ก ซอสปรุงรสต่างๆ อาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป อาหารหมัดดอง เป็นต้น
อาหารอ่อน
อาหารอ่อนลดโซเดียม
อาหารลดไขมัน(Low Fat diet)
อาหารลดไขมันจึงเป็นอาหารที่มีไขมันน้อยกว่าอาหารทั่วไป หาหารบางชนิดที่มีไขมันสูงจึงต้องงด หลีกเลี่ยง รับประทานได้ในปริมาณจำกัด หรือดัดแปลงให้มีปริมาณไขมันน้อยลง เช่น นมที่ไขมันสูงเปลี่ยนเป็นนมไขมันต่ำหรือนมขาดมันเนย เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ หมูติดมัน หมูสามชั้น เปลี่ยนเป็นหมูเนื้อแดงไม่ติดมัน หรือือกไก่ไม่มีหนังติด เป็นต้น
อาหารธรรมดา
อาหารธรรมดา
ลดไขมัน
อาหารลดคอเลสเตอรอล(Low cholesterol diet)
ผู้ป่วยที่ต้องจำกัดคอเลสเตอรอลจึงต้องหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือรับประทานในปริมาณจำกัด เนื่อสัตว์ที่มีคอเลสเตอรอลสูง ได้แก่ หนังเป็ด หนังไก่ หมูสามชั้น ขาหมู ไข่แดง ไข่ปลา เครื่องในสตว์ เป็นต้น ปริมาณคอเลสเตอรอลที่ควบคุมมากน้อยขึ้นอยู่กับภาวะของผู้ป่วยในระยะนั้น ซึ่งอาจจะควบคุมตั้งแต่ 150-200 มก. หรือ 250-300 มก./วัน
อาหารอ่อน
อาหารอ่อนลดโคเลสเตอรอล
อาหารโรคเบาหวาน(Diabetes mellitus diet)
เป็นอาหารที่แพทย์สั่งให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับภาวะปกติของคนทั่วไป รักาาน้ำหนักตัวของผู้ป่วยและป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการใช้ยาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น อาหารนี้ต้องควบคุมทั้งปริมาณพลังงาน ชนิดไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งแพทย์ต้องกำหนดให้แก่ผู้ป่วย และนักกำหนดอาหารทำการคำนวณปริมาณอาหาร สั่งเตรียมและชั่งตวงอาหารนั้น
อาหารธรรมดา
อาหารธรรมดาเบาหวาน
อาหารดัดแปลงโปรตีน(Protein modified diet)
-อาหารที่มีโปรตีน เป็นอาหารที่กำหนดให้แก่ผู้ป่วยที่มีการสูญเสียโปรตีนและจำเป็นต้องได้รับการชดเชย เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตและทำการล้างไตหรือผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้ เป็นต้น โปรตีนที่กำหนดอาจจะมากกว่า 1 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย
-อาหารที่มีโปรตีนต่ำ โปรตีนในอาหารชนิดนี้จะต่ำกว่าที่กำหนดในมาตรฐานอาหารทั่วไป เป็นอาหารที่กำหนดให้แก่ผู้ป่วยโรคไตที่ไม่มีการล้างงไต ทั้งนี้ เพื่อลดปริมาณของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีน โปรตีนอาจลดลงเหลือ 0.5 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน หรืออาจงดโปรตีน ขึ้นกับโรคและอาการของผู้ป่วย
อาหารธรรมดา
อาหารธรรมดาโปรตีนต่ำ
อาหารดดัดแปลงพลังงาน(Energy modified diet)
-อาหารพลังงานต่ำ(Low energy diet) เพื่อให้แก่ผู้ป่วยอ้วนหรือมีน้ำหนักมากกว่าปกติและจำเป็นต้องลดน้ำหนัก อาหารให้พลังงานไม่ต่ำกว่า 10001 กิโลแคลอรี่
-อาหารพลังงานสุง(High energy diet) เพื่อให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น การเพิ่มพลังงานด้วยการเพิ่มปริมาณมากขึ้นอาจทำให้ผู้ป่วยรับประทานไม่หมด การเพิ่มมื้ออาหรและดัดแปลงอาหารให้มีไขมันสูง จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารได้หมดและได้พลังงานตามที่แพทย์สั่ง
อาหารธรรมดา
อาหารธรรมดาพลังงานต่ำ
อาหารทางสายให้อาหาร(tube feeding diet)
-สูตรอาหารปั่นผสม(blenderized formula) เตรียมมาจากอาหาร 5 หมู่ โดยเลือกวัตถุดิบมาจากแหารแต่ละหมู่ มีทั้ง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ น้ำตาลและไขมัน ทำให้สุกและปั่นผสมเข้าด้วยกัน วัตถุดิบบขึ้นอยู่กับความต้องการพลังงานและสารอาหารคำนวณกำหนดสัดส่วน
-สูตรอาหารสำเร็จรูป(Commercial formula) เป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทผลิตอาหารทางการแพทย์ สะดวกในการเลือกใช้ของแพทย์ เช่นENSUNE
BLENDERA
GLUCERNA
PAN-ENTERAL
AMINOLEBAN
NUTREN BALANCE
8.3)การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
-การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำแบบบางส่วน
-การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำแบบสมบูรณ์
การใช้สารอาหารรทางหลอดเลือดดำ(Parenteral Nutrition)
เป็นวิธีที่จะช่วยผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพื่อการอยู่รอดของชีวิต และสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้ โดยปกติมนุษย์ได้รับสารอาหารและย่อยอาหารทาง GI tract แต่มีหลายภาวะหรือโรคที่ทำให้ไม่สามารถรับอาหารทาง Enteral route ได้หรือไม่ได้ไม่เพียงพอจำเป็นต้องให้อาหารทางหลอดเลือดดำ
1.)การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำแบบบางส่วน (Peripheral Parenteral nutrition:PPN)หมายถึงการให้อาหารทางหลอดเลือดดำส่วนปลายสามารถให้สารอาหารได้เป็นบางส่วน ไม่ครบตามความต้องการ เนื่องจากperipheral vein ทนความเข้มข้นของสารอาหารได้เพียง 600 mOsm/L
2.)การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำแบบสมบูรณ์(Total Parenteral Nutrition:TPN)หมายถึง การให้อาหารทางเส้นเลือดดำใหญ่ สามารถให้สายอาหารได้ครบทั้งปริมาณและชนิดของสารอาหาร เนื่องจากหลอดเลือดดำใหญ่มีเลือดผ่านมากและแรงจึงช่วย dilute สารอาหารที่มีความเข้มข้นสูงให้มีความเข้มข้นลดลงได้
Parenteral Formula อาหารที่ให้ทางหลอดเลือดดำควรประกอบด้วยสารอาหารครบถ้วนและพอเพียงกับความต้องการของผู้ป่วย สารอาหารเหล่านี้ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกรือแร่และน้ำ โดยที่คาร์โบ"ฮเดรตและไขมัน จะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ ส่วนโปรตีนแม้จะให้พลังงานแต่ถ้าร่างกายได้รับพลังงานจากค่ร์โบไฮเดรตและไขมัน เพียงพอแลล้ว ร่างกายจะสงวน โปรตีน ไว้ใช้สังเคราะห์โปรตีนในร่างกาย
Carbohydrate ที่ใช้ใน Parenteral Nutrition ต้องอยู่ในรูป Monosaccharides ซึ่งมีใช้อยู่หลายตัวที่นิยม คือ Glucose ในปริมาณมากหรือในความมเข้มข้นสูงจะทำให้เกิดภาวะ Hyperglycemia ดังนั้น จึงควรเฝ้าระวังภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ป่วยที่ได้รับสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดำในผู้ป่วยที่มีปัญหา เช่น ผู้ป่วยเบาหวานนอกจากนี้ยังมี Carbohydrate รูปอื่นที่ให้ทางหลอดเลือดดำได้คือ พวก sugar Alcohol เช่น Sorbitol,Glycerol กลุ่มนี้ถ้ามากจะเกิด Lactic acidosis
Protein ที่ใช้ได้ทางหลอดเลือดดำ ต้องอยู่ในรูปของ amino acids เท่านั้นซึ่ง ให้พลังงาน 4 kcal/gm เพราะถ้าพลังงานไม่เพียงพอจะทำให้ amino acid ถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานแทนที่จะนำมาสังเคราะห์เป็นโปรตีนในร่างกาย แต่ถ้าได้รับมากเกินไปจะทำให้เกิด metabolic acidosis และ azotemia ได้ amino acid ที่มีอาจแบ่งเป็น 3กลุ่มใหญ่ๆได้แก่
1.Mixed amino
2.High branched-chain amino acids formula
3.Essential amino acids formula
Lipid ที่ให้ทางหลอดเลือดดำจะอยู่ในรูปแบบของ lipid Emulsion ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Long chain fatty acid จุดประสงค์
1.เป็นแหล่งพลังงานโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มี glucose intolerance เช่น เบาหวาน โดยสารอาหารที่ให้พลังงาน 9 Kcal/gm อัตราส่วนของพลังงานที่ได้จาก fat ไม่ควรเกิน 50%
2.ให้Essential fatty acid ป้องกันภาวะEssential fatty acid deficiency โดยให้ 10% Lipid emulsion 500 ml 2 ขวดต่อสัปดาห์ที่มีใช้ในปัจจุบันส่วนมากมาจากถั่วเหลือง
Multivitamins
Vitamin A 3300 IU
Vitamin D 200 IU
Vitamin E 10 IU
Vitamins C 100 mg
Thiamine 3.0 mg
Riboflavin 3.6 mg
Niacin 40 mg
Pantothenic acid 15 mg
Pyridoxine 4.0 mg
Folic acid 400 mg
Vitamin B 12 5 mg
Biotin 60 mg
Mineral
1.) Macrominerals ประกอบด้วย Sodium,Potassium ซึ่งอยู่ในรูปของเกลือ Chloride ,Acetate และ Phosphate ,Calcium อยู่ในรูปเกลือ gluconate หรือ chloride ส่วน magnesium มีในรูป magnesium sulfate ไม่ควรใช้เกลือ bicarbonate เช่น sodium bicarbonate เพราะจะเกิด carbon dioxide ในสารละลายที่เป็นกรดในภาวะ metabolic acidosis ควรใช้ Acetate แทน chlloride
ความต้องการ macrominerals ในแต่ละวันในผู้ใหญ่ คือ
Sodium 2-3 mEq/kg
Potassium 1-2 mEq/kg
Calcium 10-20 mEq
Phosphorus 10-40 mmol
Magnesium 8-24mEq
Acetate 80-120 mEq
Chioride 50-200 mEq
นางสาวจุรีพร แสงถลุงเหล็ก
รหัสนักศึกษา 624N46206