Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ปอดอักเสบ Pneumonia - Coggle Diagram
ปอดอักเสบ Pneumonia
-
-
สาเหตุ
1.เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคนี้ที่พบบ่อยและรักษาได้ง่ายไดแก่Pneumococcus ที่พบ น้อยแต่ร้ายแรงได้แก่เชื้อStaphylococcus Streptococcus Klebsiella
-
3.เชื้อไมโคพลาสมาซึ่งทำให่เกิดปดอักเสบชนิดที่เรียกว่าAtypical Pneumoniaเพราะมักไม่มีอาการหอบอย่างชัดเจน
4.สารเคมีที่พบบ่อยได้แก่น้ำมันก๊าซ ซึ่งผู้ป่วยสำลักเข้าไปในปอด การติดต่อ อาจติดต่อ
4.1ได้จากทางเดินหายใจ โดยการไอ จามหรือการหายใจรดกัน 4.2โดยการสำลักเข้าในปอด 4.3โดยการแพร่กระจายในกระแสเลือด
การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
CBCการตรวจนับเม็ดเลือดขาวในเลือด ควรทำทุกรายแม้จะไม่สามารถใช้แยกสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสได้ชัดเจน กรณีที่พบ neutrophil สูงมากและมี toxic granules ช่วยสนับสนุนว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย
การย้อมเสมหะ (sputum หรือ nasopharyngeal aspiration) gram stain เป็นวิธีที่มีความไว (sensitive) แต่ไม่จำเพาะ (specific) ต่อเชื้อที่เป็นสาเหตุ อาจเป็นแนวทางคร่าวๆ ถึงเชื้อก่อโรค
-
การเพาะเชื้อจากเลือด (hemoculture) ควรทำเฉพาะรายที่เป็นรุนแรง เชื้อที่มักก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิต
พยาธิสภาพ
1.ระยะบวมคั่ง (Stage of Congestion or Edema)เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ปอดจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วร่างกายจะมีปฏิกิริยา ตอบสนอง มีโลหิตมาคั่ง ในบริเวณที่มีการอักเสบ หลอดโลหิตขยายตัว มีแบคทีเรีย เม็ดโลหิตแดง ไฟบริน และเม็ดโลหิตขาว(เป็นพวกนิวโตรฟิลและโฟลิมอร์ฟ)ออกมากินแบคทีเรียระยะนี้กินเวลา 24-46ชั่วโมง หลังจากเชื้อโรคเข้าสู่ปอด
2.ระยะเนื้อปอดแข็ง(Stage 0f Consolidation) ระยะแรกจะพบว่า มีเม็ดโลหิตแดงและไฟบรินอยู่ในถุงลมเป็น ส่วนใหญ่ หลอดโลหิตฝอยท่อผนังถุงลมปอดขยายตัวมากขึ้นทำให้เนื้อปอดสีแดงจัดคล้ายตับสด(Red heptization) ในรายที่มีการอักเสบรุนแรงจะมีการอักเสบลุกลามไปถึงเนื้อปอดด้วย ในเวลาต่อมาจะมีจำนวน เม็ดโลหิตขาวเข้ามาแทนที่เม็ดโลหิตแดงในถุงลมมากขึ้นเพื่อกินเชื้อโรค ระยะนี้ถ้าตัดเนื้อปอดมาดูจะเป็นสีเทาปนดำ(grey heptatization) เนื่องจากมีหนอง(Exudate) เซลล์โพลีมอร์โฟและไฟบริน หลอดโลหิตฝอยที่ผนัง ถุงลมปอดก็จะหดตัวเล็กลงระยะนี้กินเวลา 3-5วัน จากการที่ผนังถุงลมบวม มีหนองในถุงลมทำให้การระบาย อากาศภายในปอดไม่เพียงพอและหลอดลมหดรัดตัวทำให้อุดกั้นทางเดินอากาศด้วย
3.ระยะปอดฟื้นตัว(Stage of Resolution) เมื่อร่างกายสามารถต้านทานโรคไได้เม็ดโลหิตขาวสามารถทำลาย แบคทีเรียที่อยู่ในถุงลมปอดได้หมด เนื้อปอดกลับคืนสู่สภาพปกติได้การ อักเสบที่เยื่อหุ้มปอดจะหายไปหรือมีพังผืดขึ้นแทน
ถ้าเชื้อออกจากปอดทางท่อน้ำเหลืองไปถึงต่อมน้ำเหลือง ถ้าต่อมน้ำเหลืองเก็บเชื้อโรคได้หมดโรค จะเป็นเฉพาะที่ปอด แต่ถ้าต่อมน้ำเหลืองไม่สามารถเก็บเชื้อโรคได้หมดเชื้อโรคจะเข้าสู่กระแสโลหิตไปทั่ว ร่างกาย เช่น สมอง ข้อ ถ้าเชื้อมีความรุนแรงจะช็อคจากการติดเชื้อได้
การรักษา
1.การรักษาจำเพาะ
- ในรายที่เป็นโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาที่จำเพาะควรให้การรักษาแบบประคับประคอง และบำบัดรักษาทางระบบหายใจที่เหมาะสม
- ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเร็วที่สุดทันทีที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย การพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะควรเลือกใช้ตามเชื้อที่คิดว่าเป็นสาเหตุ และมีข้อมูลทางคลินิคและทางระบาดวิทยาของท้องถิ่นนั้นๆ
-
-
- ใช้ยาขยายหลอดลมในรายที่ได้ยินเสียง wheeze หรือ rhonchi และมีการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลม
- พิจารณาให้ยาขับเสมหะ หรือยาละลายเสมหะในกรณีที่ให้สารน้ำเต็มที่แต่เสมหะยังเหนียวอยู่
- ทำกายภาพบำบัดทรวงอก (chest physical therapy) เพื่อช่วยให้เสมหะถูกขับออกจากปอดและหลอดลมได้ดีขึ้น
การวินิจฉัย
- จากอาการแสดงคือ ไข้ ไอ หายใจเร็ว ร่วมกับฟังปอดได้ยินเสียง crepitations หรือ bronchial breath sounds
- ภาพรังสีทรวงอก ช่วยยืนยันการวินิจฉัยในผู้ป่วยที่ประวัติและการตรวจร่างกายไม่ชัดเจน ในรายที่มั่นใจในการวินิจฉัยแล้วไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพรังสีทรวงอก นอกจากต้องการประเมินว่าผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อจากปอดอักเสบหรือไม่
ความหมาย
เป็นกระบวนการอักเสบของถุงลมปอดทา ให้เนื้อ ปอดแข็งและมีหนองในถุงลมปอด มักพบในคนที่ไม่แข็งแรง(มีภูมิต้านทานโรคต่ำ )เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็น โรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่เป็นโรคทางปอดเรื้อรัง
อาการและอาการแสดง
อาการมักเกิดขึ้นทันทีด้วยอาการไข้สูง(อาจไข้สูงตลอดเวลา) หนาวสั่น (โดยเฉพาะในระยะที่เริ่มเป็น)และหายใจหอบ ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะต่อมาจะไอมีเสลดขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว สีสนิมหรือมีเลือดปน ในเด็กโตและผู้ใหญ่อาจมีอาการเจ็บแปลบในหน้าอก เวลาหายใจเข้าหรือไอแรงๆบางครั้งอาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้างหรือท้อง ในเด็กเล็กอาจมีอาการท้องอืด หรือท้องเดิน