Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะไม่สุขสบาย ในระยะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
ภาวะไม่สุขสบาย
ในระยะตั้งครรภ์
ไตรมาสที่1ของการตั้งครรภ์
คัดตึงเต้านม
(Breast tenderess)
คำแนะนำ
1.สวมเสื้อชั้นในพอดีตัวและหมาะสมกับขนาดของเต้านม
ที่ขยายใหญ่ขึ้น ควรใส่เสื้อชั้นในตลอดเวลาเพื่อพยุงเต้านมไว้
2.การอาบน้ำอุ่นหรือประกบด้วยน้ำอุ่น
3.ไม่ควรใช้สบู่ถูบริวณหัวนมควรล้ำงด้วยน้ำธรรมดา หลังอาบน้ำให้ใช้ครีม
ทาผิวทาที่เต้านมเพื่อให้ผิวหนังอ่อนนุ่มลง ลดอาการคัน เจ็บและระคายเคือง
สาเหตุ
การเพิ่มระดับของเอสโตรเจน(Esrogen) และโปรเจสเตอโรน(Progesterone)
อาการ
จะมีอาการตั้งเเต่ 6 สัปดาห์แรก คือเต้านมมีขนาดโตขึ้นกว่าเดิม ตึง แข็ง มองเห็นเส้นเลือดสีเขียวๆ ใดผิวหนังชัดเจน และ อาการนี้ะหายไปเมื่อเข้าไตรมาสที่สอง
คลื่นไส้อาเจียน (Nausea with or without Vomiting)
สาเหตุ
1.มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มของระดับฮอร์โมนที่สร้างจากรกได้เก่ Human Chorionic Gonadotropin(HCG) เละ Human Placental Lactogen (HPL)
2.การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง
3.จากอาการอ่อนเพลียและปัจจัยทางด้านอารมณ์ หญิงตั้งครรภ์
อาการ
1.อาการคลื่นไส้อาเจียนมักเริ่มต้นเมื่อสัปดาห์ที่ 4 และะหายไปประมาณสัปดาห์ที่16ของการตั้งครรภ์
2.มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลียวิงเวียนศีรษะ
ซึ่งส่วนใหญ่มีอาการหลังตื่นนอนตอนเช้า(Momning sickness) บางรายอาจมีอาการในช่วงเย็น(Evening sickness) รายที่เป็นมากจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตลอดเวลาไม่สามารถรับประทานน้ำหรืออาหารใดๆ หรือน้ำหนักตัวลดลงเรียกว่า Hyperemesis gravidarum
คำแนะนำ
3.อธิบายให้มารดาเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายขณะตั้งครรภ์
1.ตื่นเช้าก่อนลุกจากที่นอนให้รับประทานคาร์โบไยเดรต เช่น ขนมปิ้งกรอบ ขนมผิง เครื่องดื่มอุ่น ๆ หรือน้ำมะนาว เมื่อรับประทานเสร็จเล้วให้นอนต่อประมาณ 15-30 นาทีจึงค่อยๆ ลุกช้า ๆ ไปทำกิจวัตรประจำวัน ระวังอย่าให้กระเพาะอาหารว่างเพราะจะเป็นสาเหตุให้เกิดอการคลื่นไส้อาเจียนมากขึ้น
2.แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก ย่อยยาก อาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารที่ทำให้เกิดก๊ซในกระเพาะอาหารและลำไส้มาก
7.ควรรับประทานอาหารครั้งละน้อย แต่บ่อยครั้ง ประมาณวันละ 5 ครั้ง
และดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มระหว่างมื้ออาหาร
4.หลังอาเจียนควรบ้วนปากให้สะอาดเพื่อขจัดกลิ่นที่จะทำให้คลื่นไส้อาเจียนอีก
5.เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน ให้นอนพักประมาณ 15-20 นาที
6.หลีกเลี่ยงการแปรงฟันหลังอาหารทันที เนื่องจากแปรงสีฟันจะกระตุ้นให้คลื่นไส้ได้
แนะนำครอบครัวให้เอาใจใส่และให้กำลังใจหญิงตั้งครรภ์ เพื่อลดความวิตกกังวล
9.ถ้ามีปัญหาทางจิตใจ แพทย์จะให้การรักษาทางจิตควบคู่กันไปด้วย บางครั้งอาจต้องแยกจากสิ่งแวดล้อมเดิมและอาจต้องได้ยาระงับประสาทเพื่อให้ได้พัก
ท้องอืดและท้องผูก (Flatulence and Constipation)
สาเหตุ
1.เกิดเนื่องจากอิทธิพลของโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้คลื่อนไหวน้อยลง เกิดการสะสมของก๊าซ จึงเกิดอาการท้องอืดเละท้องผูกได้ง่าย
2.ปัจจัยสนับสนุน อื่นๆเช่น การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย การดื่มน้ำน้อย
คำแนะนำ
1.รับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ เช่น ผักสด ผลไม้
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซ เช่น กะหล่ำปลี่ อาหารทอด ถั่ว
3.รับประทานอาหารครั้งละน้อย แต่ให้บ่อยครั้ง เพราะการรับประทานอาหารมากไปจะทำให้อาหารหมักหมมอยู่ในกระเพาะอาหารนาน
4.ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ8แก้ว หรืออย่างน้อย 2000 ซีซี
8.เปลี่ยนท่าทางอิริยาบถบ่อยๆ และควรออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน
อย่างน้อยวันละ 30 นาที
6.ฝึกการถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาและสม่ำเสมอ
7.ไม่ควรใช้การสวนอุจจาระ ยาถ่ายหรือยาระบาย ยกเว้นได้รับคำแนะนำจากเเพทย์
5.งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอื่น เช่น กาเเฟชา เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้มีผล
ขับน้ำออกจากร่างกาย
อ่อนเพลีย (Fatigue)
สาเหตุ
เกิดจากการเพิ่มระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ทำให้มีการเปลี่ยนเปลงทางสรีระและจิตใจ รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ อีกทั้งการเพิ่มของระดับ Thyroid Hormone ทำให้การผาผลาญอาหารสูงขึ้น ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนมากขึ้น
คำแนะนำ
1.แนะนำให้พักผ่อนมากขึ้นและออกกำลังกายพอสมควร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
2.แนะนำให้พักในช่วงกลางวัน ลดความเครียดเรื่องงานต่างๆ
คัดจมูกเละเลือดกำเดาไหล
(Nasal Stuffiness and Epitasis)
สาเหตุ
เกิดจากการเพิ่มระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estogen) ทำให้มีเลือดไปเลี้ยง mucous membraneในโพรงจมูกมากขึ้นทำให้เกิดการคั่งของน้ำและเลือด มารดาจึงมีอาการคัดจมูก มีสารคัดหลั่งมาก เเละเลือดออกได้ง่าย
คำแนะนำ
1.แนะนำให้ทำทางเดินหายใจให้ชื้นโดยหยด 0.9% NSS เข้าทางจมูก
ปัสสาวะบ่อย (Urinary Frequency and Urgency)
สาเหตุ
1.เกิดจาการที่มดลูกโตขึ้นและไปกดกระเพาะปัสสาะวะทำให้มีความจุน้อยลง จึงมีอาการถ่ายปัสสาวะบ่อยอาการนี้จะหายไปเมื่อตั้งครรภ์ได้ 23 เดือน หรือมดลูกโตไปอยู่เหนืออุ้งเชิงกราน แต่อาการถ่ายปัสสาวะบ่อยจะกลับเป็นอีกเมื่อส่วนนำของทารกเคลื่อนตัวลงมาสู่อุ้งเชิงกราน ประมาณสัปดห์ที่36 ของการตั้งครรภ์
2.การเปลี่ยนแปลงของ Progesterone ส่งผลให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะคลายตัว หญิงตั้งครรภ์จึงมีโอกาสติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
คำแนะนำ
3.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มหรือนมก่อนนอนหรือดื่มให้ห่างจากเวลานอนให้มาก เพื่อลดการปัสสาวะบ่อยในช่วงกลางคืน ถ้าต้องลุกมาถ่ายปัสสาวะตอนกลางคืนต้องระวังอย่าให้มีของวางเกะกะทางเดินเพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
2.งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอื่น เพราะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น
1.ฝึกบริหารกล้มเนื้อหูรูดกระเพาะปีสสาวะโคยการขมิบก้น(Kegel exercise)
วันละ 50-100ครั้ง เพื่อให้กล้มเนื้อควบคุมการปัสสาวะได้ดี
4.ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยมากขึ้น
5.ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 2000 ซีซี หรือประมาณ 8 แก้วต่อวัน
เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่เป็นสาเหตุให้ปัสสาวะบ่อย
6.แนะนำการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์จากด้านหน้าไปยังทวารหนัก เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคจากทวารหนักมาทำให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
7.ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อยร่วมกับอาการแสบขัด ควรมาปรึกษาเพทย์
ตกขาว
(Vaginal discharge)
สาเหตุ
จากการเพิ่มของฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen) และมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นที่ Vaginal epithelium เเละ Cervix ทำให้เพิ่มสารคัดหลั่งในช่องคลอดมีฤทธิ์เป็นกรด pH3.5-6 ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อจากภายนอกได้
คำแนะนำ
1.อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์เข้าใจว่าจะมีตกขาวมากกว่าปกติ เพราะมีการเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน
4.แนะนำการดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ โดยการล้างด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งหลัง
อาบน้ำและขับถ่ายทุกครั้ง
3.ให้สวมกางเกงในผ้าฝ้ายหรือใช้แผ่นอนามัยเบบบาง ๆ
2.ให้สวมกางเกงในผ้าฝ้ายหรือใช้แผ่นอนามัยเบบบางๆ
5.ไม่สวนล้ำงในช่องคลอดโคยไม่จำเป็น จะทำให้ Normal flora ตาย เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
6.ถ้ามีตกขาวมากมีกลิ่น/สีผิดปกติ เช่น สีเขียว สีเหลืองหรือมีอาการคัน แสบร้อนบริเวณช่องคลอดเละอวัยวะสืบพันธุ์ ควรมาพบเเพทย์
อาการทางผิวหนัง
อาการ
1.ผิวหนังของมารดาในระยะตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ไตรมาสแรก เเต่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 3
2.มีสีคล้ำ มีรอยเเตก มีอาการคันผิวหนังบริเวณเต้านม หน้าท้อง มือหรืออาจคันทั้งร่างกาย บางคนคันมากจนพักผ่อนไม่ได้หรือบางคนอาจเกาจนเลือดออก
สาเหตุ
เนื่องจากมีการขยายของหลอดเลือดที่เลี้ยงผิวหนังทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำ บางรายมีรอยเเตกจากการยืดขยายของผิวหนัง
คำแนะนำ
1.ทาครีมหรือน้ำมันบำรุงผิวบริเวณเต้านม หน้าท้องเเละสะโพก แม้จะไม่สามารถป้องกันรอยแตกได้แต่ก็ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มชุ่มชื่นสบาย ไม่แห้งเละไม่คัน
2.หลีกเลี่ยงแสงแดด แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้ทาครีมกันเเดด
3.ดูแลความสะอาดผิวหนังด้วยสบู่อ่อนพื่อป้องกันการเกิดสิว
4.หลีกเลี่ยงการเกา เพราะจะทำให้ผิวถลอกแตกเป็นแผล ควรลูบบริวณหน้าท้องที่คันเบาๆ
5.ให้ความมั่นใจแก่หญิงตั้งครรภ์ว่าอาการต่างๆ จะค่อยๆ ลดลง
จุกเสียดยอดอก
(Heat burn or Pyrosis)
สาเหตุ
1.เกิดจากการมีระดับของโปรเจสเตอโรน(Progesterone) สูงขึ้นทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง น้ำย่อยในกระพาะอาหารค้างเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะอหารส่วนบน(Cardiae sphinctor)คลายตัว
2.มดลูกที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไปดันกระเพาะอาหารให้มีพื้นที่น้อยลง ทำให้มีการไหลย้อนกลับ(Regurgittion) ของอาหารและน้ำย่อยไปยังหลอดอาหารจนเกิดอาการแสบร้อนได้
อาการ
แสบร้อนตั้งแต่บริเวณลิ้นปี่ขึ้นมาถึงคอ
คำแนะนำ
1.พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่เกิดก๊าซและอาหารประเภทไขมัน
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารครั้งละมากๆ งดอาหารรสจัด
รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายเคี้ยวให้ละเอียดและเคี้ยวช้าๆ
3.ภายหลังรับประทานอาหารเสร็จ ควรนั่งพักประมาณ 30 นาที ไม่ควรนอนทันที
4.ขณะมีอาการควรจิบน้ำหรือนมบ่อยๆ และควรนั่งหรือนอนศีรษะสูงพื่อป้องกันน้ำย่อยถูกดันออกมาจากกระเพาะอาหาร
5.หลีกเลี่ยง กาแฟ บุหรี่ เนื่องจากกาแฟและบุหรี่จะกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
6.ถ้ามีอาการแสบร้อนยอดอกมาก ควรปรึกยาแพทย์เพื่อได้รับยาลดกรด (Antacid) รับประทานระหว่างมื้อ แต่ต้องระวังไม่ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวพร้อมกับยาพวกนี้ เพราะจะไปต้านฤทธิ์ยา
น้ำลายไหลมาก
(Excessive salivation or Ptyalism)
สาเหตุ
เกิดจากการเพิ่มของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Etrgen)
อาการ
น้ำลายออกมามากและมีกลิ่นเหม็นไม่สามารถกลืนเข้าไปได้ ต้องบ้วนทิ้ง
คำแนะนำ
1.ดูแลสุขอนามัยในช่องปาก โดยการแปรงฟันหลังรับประทานอาหารทุกมื้อและบ้วนปากบ่อยๆ
2.แนะนำให้จิบเปปเปอร์มินต์ เคี้ยวหมากฝรั่งหรือจิบครื่องดื่มที่ชอบอาจช่วยกทุเลาอาการได้บ้างเพราะขณะตั้งครรภ์ปากจะมีรสขมหรือเปรี้ยว
เหงือกอักเสบ (Gingivitis)
สาเหตุ
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน Estrogen
อาการ
มีเลือดมาคั่งบริวณเหงือกมาก เหงือกจะหนาขึ้น เศษอาหารจะติคฟัน
ได้ง่าย เชื้อโรคเจริญได้ดีทำให้เกิดการอักเสบและเลือดออกได้ง่ายขึ้น
คำแนะนำ
4.แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ เพิ่มอาหารจำพวกโปรตีน ผักและผลไม้โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูง
1.ให้รักษาความสะอาดของปากและแปรงฟันอย่างถูกวิธี ใช้แปรงที่ไม่แข็งเกินไป
2.ถ้ามีอาการเลือดออกมากผิดปกติ ควรรีบปรึกษาทันตเเพทย์
3.ใช้น้ำเกลืออุ่นๆ บ้วนปาก
ไตรมาสที่2 ของการตั้งครรภ์
จุกแสบยอดอก (Heart burn)
อาการ
รู้สึกร้อนตั้งแต่บริวณลิ้นปี่ขึ้นมาถึงคอ
คำแนะนำ
1.หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซ และอาหารประเภทไขมัน
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารครั้งละมากๆ งดอาหารรสจัด รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เคี้ยวช้าๆ ให้ละเอียด
3.ควรนอนในท่าศีรษะสูง ไม่ควรนอนหงาย
4.ให้รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย3 ชั่วโมงก่อนนอน
5.พบเเพทย์เพื่อรับยาลดกรคตามความจำเป็น ควรเป็นพวก Aluminium hydroxide ระหว่างมื้ออาหาร
สาเหตุ
1.เกิดจากการมีระดับของฮอร์โมน Pogesterone ที่สูงขึ้น ทำให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารลดลง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารค้างเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหูรูดส่วนบนของกระเพาะอาหาร (cardiac sphincter) คลายตัว
2.มดลูกขยายใหญ่ขึ้นไปดันกระเพาะอาหารทำให้มีการไหลย้อนกลับของอาหารและน้ำย่อย ไปที่หลอดอาหาร (Regurgitation) จนทำให้รู้สึกเเสบร้อนได้
ท้องผูก (Constiption)
คำแนะนำ
1.รับประทานอาหารที่มีกากมากๆ เช่น ผักสด ผลไม้
2.ควรดื่มน้ำอุ่นในเวลาเช้า และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว
3.ควรออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน
4.ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา
5.ไม่ควรใช้การสวนอุจาระ ยาถ่าย หรือยาระบาย ยกเว้นได้รับดำเนะนำจากเเพทย์
6.หลีกลี่ยงการใช้ mineral oil เนื่องจากจะไปลดการดูดซึมวิตามิA D E K
7.ในกรณีที่มีอาการ hemorrhoid แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเหน็บ
สาเหตุ
1.เนื่องจากการทำงานของลำไส้ลดลงซึ่งเป็นผลจาก Progesterone และมดลูกกดเบียดการทำงานของลำไส้
2.รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก ไม่ออกกำลังกาย
ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid)
สาเหตุ
เกิดจากการขอดพองของหลอดเลือดดำบริเวณลำไส้ส่วนล่างของทวารหนัก
2.ท้องผูก
อาการ
พบได้บ่อยในครรภ์หลัง จะมีอาการปวดมาก อาจมีอาการคันหรือมีเลือดออกผู้ที่เป็นอยู่ก่อนแล้วจะมีอาการมากขึ้นถ้าตั้งครรภ์
คำแนะนำ
1.แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกาใยมาก ระวังอย่าให้ท้องผูก
2.ถ้ามีริดสีดวงโผล่ออกมาให้ล้างทำความสะอาดแล้วใช้นิ้มือค่อยๆ ดันกลับโดยใช้สารหล่อลื่นช่วย
3.อธิบายให้ทราบว่าในรายไม่รุนแรงนัก ภายหลังคลอดจะยุบหายไปเอง
4.แนะนำให้ทำ warm siz bath เพื่อให้เลือดไหลเวียนดี หรือใช้ถุงน้ำเเข็งหรือ astingent solution เพื่อลดขนาดของริดสีดวง
5.เเพทย์บางท่านอาจใช้ Nonsteroidal ointment หรือ spray ลดอาการบวมของริดสีดวงทวาร
ความดันโลหิตต่ำเมื่อนอนหงาย (Supine hypotensive syndrome)
อาการ
เมื่อนอนหงายจะมีอาการมึนงง(Dizziness) เป็นลม(Faintness) ซีด(Pallor) ใจสั่น หัวใจต้นเร็ว(Tachycardia) เหงื่อออกเละคลื่นไส้(Sweating and nausea)
สตรีมีครรภ์ในช่วง 24 สัปดาห์แรก systolic จะลดลง 5-10 mmHg และ dastolic ลดลง 10-15 mmHg ซึ่งจะทำให้ pule presure กว้างขึ้น เป็นผลมาจากการ relax ของกล้ำมเนื้อเรียบในเส้นเลือดฝอยทำให้ลด vascular resistance
คำแนะนำ
1.แนะนำให้รีบนอนตะเเคงซ้ายทันทีที่สังเกตว่าเริ่มมีอาการ
2.ไม่ควรยืนนานๆ ในที่อากาศอบอ้าว
3.รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
4.ถ้ามีอาการบ่อยๆ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจว่ามีภาวะซีดหรือไม่
สาเหตุ
1.เนื่องจากมดลูกไปกดทับเส้นเลือด Inferior vena cava และเส้นเลือคคำใหญ่บริเวณเชิงกราน ทำให้การไหลกลับของเลือดสู่หัวใจน้อยลง ปริมาณเลือดสูบฉีดออกจากหัวใจลดลงอย่างมาก
2.นอกจากนี้พบความดันโลหิตต่ำในขณะเปลี่ยนท่าทาง (Postural hypotension) จากการที่เลือดคั่งส่วนปลายและน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นผลจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในขณะ
ตั้งครรภ์ หรืออาจเกิดจากการยืนนานๆ ในอากาศที่อบอ้าวถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว ความดันเลือดต่ำลง สมองได้รับออกซิเจนไม่พอชั่วขณะหรืออาจมีภาวะซีดร่วมด้วย
การเจ็บถ่วงบริเวณช่วงล่างของท้องน้อย (Round ligament pain)
สาเหตุ
เกิดจากการที่มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้มีการยืดขยายของ Round ligament
อาการ
ปวดเเปล็บๆ จากยอดมดลูกไปถึงกระดูกหัวเหน่า
คำแนะนำ
1.ให้บรรเทาอาการนี้คด้วยการอาบน้ำอุ่น
2.ขณะนอนตะเเคงซ้ายให้ใช้หมอนรองรับมดลูกไว้
4.เมื่อครรภ์แก่แนะนำให้ใช้ผ้าแถบหรือผ้ายืดรัดท้องพยุงไว้
5.หลีกเลี่ยงการทำให้มีการยืดขยายของ ligament เช่น เมื่อจะลุกจากที่นอนควรตะแคงไปข้างหนึ่งแล้วใช้มือยันตัวลุกขึ้น
ไตรมาสที่3 ของการตั้งครรภ์
ปวดหลัง (Backache)
คำแนะนำ
1.แนะนำการออกกำลังกายในท่านั่งขัดสมาธิ
2.แนะนำให้ใช้กางเกงในแบบ Support หน้าท้อง
3.หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก ขณะทำงานไม่ควรก้มหรือเอียงในท่าที่ทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวมากนานๆ และควรให้นอนท่าตะเเดง
4.ควรยืน/นั่งในท่าหลังตรง ไม่ควรก้มหยิบของในที่ต่ำ แนะนำให้ย่อตัวท่าลงนั่งยองก่อนหยิบ
5.ใส่รองเท้าส้นเตี้ยหรือส้นสูงไม่เกิน 1 นิ้ว
6.ถ้าปวดมากให้นวดหลังได้ หรือรับประทานยาเก้ปวดตามเเพทย์สั่ง
7.ควบคุมอย่าให้น้ำหนักเพิ่มมากไป
8.ไม่ควรนอนในที่นอนนุ่มมาก
สาเหตุ
1.กล้ามเนื้อหลังถูกดึงรั้งโดยน้ำหนักของมดลูกจนเกิด muscle pain เป็นลักษณะ lordosis ร่วมกับมีฮอร์โมน Estrogen และ Relaxin ทำให้ข้อต่อต่างๆ คลายตัว กล้ามเนื้อและเอ็นถูกดึงรั้งโดย
2.การที่มดลูกขยายใหญ่มากทำให้ต้องแอ่นหลังเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย จึงก่อให้เกิดอาการปวดหลัง
บวม(Edema)
อาการ
มีน้ำคั่งอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย มักพบได้ที่บริวณขาและเท้า
สาเหตุ
เนื่องจากมีการเพิ่มปริมาณของเลือดและน้ำในกระแสเลือดในหลอดเลือดแดงใหญ่ในอุ้งเชิงกรานและในเส้นเลือด inferior vena cava ไหลเวียนช้าลง เมื่อยืนหรือนั่งห้อยขานานๆ ความดันเลือดของขาจะสูงขึ้นเพื่อดันเลือดให้กลับขึ้นไปแต่เนื่องจากที่บริวณขาหนีบจะถูกกดด้วยน้ำหนักของมดลูกที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้แรงดันในหลอดเลือดฝอยเพิ่มมากขึ้นจึงดันให้น้ำออกจากหลอดลือดมาอยู่ระหว่างเซลล์
คำแนะนำ
1.ประเมินภาวะบวมละเเยกอาการบวมจากโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ครรภ์เป็นพิษ
2.ถ้าพบว่าการบวมนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาควรให้คำแนะนำคือ
-ให้บริหารปลายเท้าโดยทำ Dorsal reflex
-นั่ง เหยียดขาขกปลายท้สูงล็กน้อขวันละหลายๆ กรั้งๆละ 10 นาที
-นอนยกปลายเท้าสูงเล็กน้อย
-ใช้ Bandage support บริเวณขา
การหดรัดตัวเป็นครั้งคราว
(Braxton-Hick contraction)
อาการ
รู้สึกตึงๆ ที่หน้าท้องแต่ไม่รู้สึกเจ็บ เนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวเพียงล็กน้อยซึ่งเป็นอาการปกติ
คำแนะนำ
1.แนะนำให้นอนพักผ่อนถ้ามีอาการท้องแข็งตึงบ่อยๆ
2.อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์เข้าใจว่าเป็นอาการปกติที่พบได้ในขณะตั้งครรภ์ เพื่อลดความวิตกกังวล
สาเหตุ
เนื่องมาจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มสูงขึ้นและมดลูกขยายขนาด
ปัสสาวะบ่อย (Nocturia)
คำแนะนำ
1.แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาดในเวลากลางวันๆ ละ 6-8 แก้ว และพยายามไม่ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนเข้านอน
2.จัดทางเดินระหว่างที่นอนไปยังห้องน้ำให้โล่งอย่ามีสิ่งกีดขวางเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
สาเหตุ
เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 มดลูกโตเมื่อนอน มดลูกจะไปกดกับที่ Inferior vena cava และหลอดเลือดดำใหญ่ ทำให้ลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้นจึงมีการกรองปัสสาวะเพิ่มขึ้น
นอนไม่หลับ(Insomnia)
คำแนะนำ
1.แนะนำให้พยายามผ่อนกลายอารมณ์ ปรึกยาผู้รู้เพื่อหากำตอบในเรื่องที่สงสัยกังวล
2.การอาบน้ำอุ่น ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆหรืออ่านหนังสือเบาสมอง จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น
3.การนวดหลังด้วยโลชั่นจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หลับได้ง่ายขึ้น
4.อธิบายให้สามีและญติเข้าใจเพื่อการเอาใจใส่ดูเเล
5.แนะนำให้นอนตะแคงใช้หมอนบางๆ หนุนท้องและให้วางขาบนหมอนข้งเพื่อให้กล้มเนื้อ
หย่อนตัว
6.ให้ฝึกสมาธิก่อนนอน โดยเพ่งความสนใจไปที่ลมหายใจเข้-ออก หายใจลึกๆ ยาวๆ
7.ดวรนอนพักกลางวันเพียงวันละ 30 นาที อย่านานกว่านั้นเพราะจะทำให้กลางคืนไม่ง่วง
สาเหตุ
เนื่องจากมดลูกโตทำให้นอนลำบาก ไม่สุขสบายเวลานอน และทารกในครรภ์มักดิ้นแรงทำให้มารดารู้สึกไม่สุขสบายหรือเจ็บได้
ตะคริวที่ขา
(leg cram)
อาการ
เป็นการเกร็งของกล้ามเนื้อที่ขาและน่องหรือก้น
คำแนะนำ
1.ให้งดอาหารที่มีฟอสฟอรัตสูงเช่น นม เนื้อ แต่ให้เพิ่มอาหารแคลเซี่ยมสูง
2.ออกกำลังกายพอเหมาะ
3.รับประทานยาเม็ดเสริมเเคลเซี่ยม
4.ขณะมีอาการให้จับขาเหยียดตรงและยกปลายเท้า backward ไม่ควรนวดทันที อาจประคบ กระเป๋าน้ำอุ่น อาบน้ำอุ่น
สาเหตุ
อาจเกิดจากน้ำหนักของมดลูกไปกดทับประสาทที่มาเลี้ยงส่วนล่างของร่รงกาย ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดีหรือการที่กล่ามเนื้อเเละ fasciaยืดขยายมาก
ความเหน็ดหนื่อยอ่อนเพลีย หรือการมีท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
อาจเกิดจากการเสียสมคลดุลของเเคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส
หลอดเลือดขอด
(Varicose veins)
อาการ
ระยะแรกจะเห็นเป็นตาข่ายตื้นๆ (Spide network) ต่อมาจะเห็นเป็นปมหรือหลอดเลือดโป่งพองขดไปมา ส่วนมากมักจะเกิดที่น่อง บางรายเกิดที่อวัยวะเพศ หลอดเลือดขอดมักทำให้มีอาการปวดขาและที่สำคัญคืออาจแตกเป็นแผลได้ และหากเป็นที่อวัยวะเพศก็อาจแตกหรือฉีกขาดในขณะคลอดทำให้เสียเลือดมาก
คำแนะนำ
1.ไม่ยืนนั่งนานๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ เพื่อช่วยลือดไหลเวียนดีขึ้น และควรยกปลายเท้าสูงกว่าสะโพกประมาณ 45 องศาวันละ 45 ครั้งๆ ละ 5-10 นาที (ถ้ายกขาสูงเกินไปจะขัดขวางการไหลเวียนได้)
2.ถ้าเป็นที่อวัยวะเพศให้นอนราบยกสะโพกสูงวันละหลายๆ ครั้ง
สาเหตุ
เนื่องจากโปรเจสเตอโรนทำให้กล้ามเนื้อเรียบ ผนังและลิ้นกั้นหลอดเลือดคำคลายตัวเลือดไหลกลับไม่สะดวก ก่อให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดดำตามมาได้
มือเท้าชา (Carpal Tunnel Syndrome)
อาการ
มือเท้าชาหรือรู้สึกเจ็บยิบๆ (ingling) หรือเจ็บที่ฝ่ามือ
คำแนะนำ
1.นวดฝ่ามือขยับนิ้วมือขึ้นลงกางนิ้วมือทั้ง 5ให้กว้างๆสัก 20 วินาทีแล้วหุบมือ
2.เเพทย์อาจให้กินวิตามิน บี 6
สาเหตุ
เนื่องจากมีอาการมือและแขนท่อนล่างบวมไปกดต่อระบบประสาทข้อมือ