Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิจัยทางการพยาบาล, นางสาวศิรินันท์ อินต๊ะวิเศษ เลขที่87 รหัสนักศึกษา613101…
วิจัยทางการพยาบาล
บทที่4
2.การกำหนดสมมุติฐานการวิจัย hypothesis
เป็นคำตอบที่คาดการณ์ไว้แล้วอย่างสมเหตุสมผล มี2ตัวแปรขึ้นไป
ความสำคัญสมมุติฐานการวิจัย
เป็นแนวทางในการกำกับแนวทางงานวิจัยไม่หลงทิศทาง ช่วยอกแบบงานวิจัย สร้างเครื่องมือ ช่วยแปรผลสรุปผล ช่วยทดสอบและสร้างทฤษฎี
ประเภทของสมมติฐานการวิจัย2ประเถท
1.ประเภทของสมมติฐานการวิจัย สมมติฐานทางวิจัย (Research hypothesis)
วิธีการตั้งสมมติฐาน
เริ่มจาก จุดมุ่งหมายของการวิจัยก่อนว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างไร แล้วจึงตั้งสมมติฐานทางวิจัย
จะตั้งแบบมีทิศทางหรือไม่มีทิศทางก็ได้
เมื่อกำหนดตั้งสมมติฐานทางวิจัยได้แล้ว จึงตั้งสมมติฐานทางสถิติ
จะต้องตั้งทั้งสมมติฐานเป็นกลาง และสมมติฐานไม่เป็นกลางควบคู่กันไป
เทคนิคการเขียนสมมติฐานทางวิจัย
.
1.สมมติฐานแบบมีทิศทาง (directional hypothesis)
สามารถระบุได้แน่นอนถึงทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปรว่าสัมพันธ์ทางบวกหรือลบ
.
สมมุติฐานแบบไม่มีทิศทาง (Non-directional hypothesis)
ระบุได้แค่ตัวแปรมีความสัมพันธ์กัน
ถ้าเป็นวิจัยเปรียบเทียบบอกแค่ได้ว่าสองกลุ่มนี้มีลักษณะแตกต่างกัน
สมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis)ใช้ตัวย่อ สัญญาลักษณ์ มี2แบบ
สมมติฐานหลัก
H0ตั้งตรงข้ามกับทางเลือก
สมมติฐานทางเลือก
H1 หรือHa คาดคะแนตรงคำตอบ การเขียนจะกำหนดให้สอดคล้องกับสมมติฐานการ
แหล่งที่มาของสมมติฐานการวิจัย
1.การทบทวนวรรณกรรม
ประสบการณ์เบื้องต้นของผู้วิจัย
การได้ร่วมอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาที่จะศึกษากับบุคคลอื่น ๆ ได้มัตติร่วมกัน
การสังเกตพฤติกรรมหรือความสัมพันธ์ต่างๆ
การสนทนากับผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ
ลักษณะของสมมติฐานที่ดี
สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ตอบคำถามอธิบายได้ สมเหตุสมผล ตรวจสอบได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ มีขอบเขตที่เหมาะสมไม่แคบหรือกว้างเกินไป คาดการณ์คำตอบได้
1.การกำหนดตัวแปร Variable
ระดับการวัดตัวแปร
มีผลต่อการใช้สถิติ
.
4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale)
สมบูณ์ที่สุด เรียงความสำคัญได้ทั้งหมด เพราะมี0แท้ สามารถบวกลบคูณหารกันได้
3. มาตราอันตรภาค (Interval Scale)
บอกปริมาณความแตกต่างได้บวกลบได้ แต่คูณหารกันไม่ได้เพราะไม่มี0แท้
2. มาตราอันดับ (Ordinal Scale)
บอกลำดับว่ามากหรือน้อย แต่เทียบค่าไม่ได้กันไม่ได้ บอกไม่ได้ว่าสูงกว่ากันเท่าไหร่ ไท่สามารถบวกลบคูณหารกันไม่ได้
1. มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale)
เป็นการการวัดจัดกลุ่มประเภทไม่เป็นตัวเลขเป็นสัญญาลักษณ์ เช่นเพศ ระดับการศึกษา ไม่สามารถเอามาบวกลบคูณหารกันได้ เป็นแค่ตัวแทนค่าเท่านั้น
นิยามตัวแปร
คือการให้ความหมายตัวแปรที่จะศึกษา เขียนด้วยว่าวัดด้วยอะไร เพื่อให้คนที่จะมาศึกษาวิจัยให้เข้าใจร่วมกัน
ชนิดของตัวแปร (Types of Variables)*
1. ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable)
ไม่ขึ้นกับใคร เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลกับตัวแปรตาม กำหนดหรือจัดทำขึ้นเอง
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable)
ขึ้นกับตัวแปรตามมีผลมาจากตัวแปรอิสระ แปรผันมาจากตัวแปรอิสระ ต้องการหาคำตอบ คือคำตอบของปัญหา
3.ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรเกิน (Extraneous variables)
ตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษาแต่เป็นตัวแปรที่รบกวนมีผลต่อตัวแปรอิสระทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ จะต้องควบคุมให้มีผลน้อยที่สุด เรียกว่าตัวแปรควบคุมcontrol variable
4. ตัวแปรสอดแทรก (intervening variable)
ตัวแปรปนเปลื้อน มีผลต่อการวิจัย ไม่สามารถคาดการณ์ได้
ลักษณะการนิยามตัวแปร
การนิยามเชิงทฤษฎี (Conceptual definition)เป็นการอธิบายกว้างๆ ตามทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือตามพจนานุกรม
การนิยามลักษณะปฏิบัติการ (Operational definition) ใช้ได้เลย เป็นวิธีการปฏิบัติ
ลักษณะของตัวแปร
ตัวแปรรูปธรรม (Concept)
: มองเห็นชัดเจน คนทั่วไปรับรู้ได้ตรงกันหรือสอดคล้องกัน เช่น เพศ อายุ ความสูง เชื้อชาติ อาชีพระดับการศึกษา เป็นต้น
ตัวแปรนามธรรม (Construct)
: มองเห็นไม่ชัดเจนต้องอธิบายให้ความหมายไม่เหมือนกัน เช่น ความวิตกกังวล ความเกรงใจ ทัศนคติ ความเป็นผู้นำ แรงจูงใจ เป็นต้น ตัวแปรนี้สังเกตโดยตรงไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องมือบางอย่างในการวัด ตัวแปรในลักษณะนี้จึงต้องนิยามให้ชัดเจน และต้องระบุด้วยว่าวัดได้อย่างไร
3.› การกำหนดขอบเขตการวิจัยDelimitation
.
ขอบเขตการวิจัยประกอบด้วย
1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
4.ขอบเขตที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่ศึกษา
2.ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา มีตัวแปรอะไรบ้าง
3.ขอบเขตที่เกี่ยวกับเวลา ทำเดือนไหนถึงเดือนไหน จะศึกษาช่วงเวลาใด
บทที่6การเลือกกลุ่มตัวอย่าง
3.ลักษณะกลุ่มตัวอย่างที่ดี
1.ต้องเป็นตัวแทนที่ดี
2.มีขนาดพอเหมาะ
วิธีการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง
3.การใช้สูตรคำนวณ
2.ไม่ทราบขนาดของประชากรสูตรของคอแครน (Cochran)ไม่ทราบขนาดของประชากรที่แน่นอน แต่ทราบว่ามีจำนวนมาก
1.ทราบขนาดของประชากร สูตรของ ทาโร ยามาเน่
สูตรของเครซี่และมอร์แกน
2.การใช้ตารางสำเร็จรูป
ตารางสำเร็จของทาโร ยามาเน่ รู้ขนาดของประชากร จะใช้กับกลุ่มประชากรที่มีขนาดใหญ่มากกว่า500คนหรือ1000คนขึ้นไป
ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และเมอร์แกน ใช้สำหรับวิจัยที่มีจำนวนประชากลุ่มเล็ก
1.จากการกำหนดเกณฑ์
จำนวนประชากรที่แน่นอน ใช้เกณฑ์โดยกำหนดเป็นร้อยละของประชากรในการพิจารณา ดังนี้ ขนาดประชากรเป็นหลักร้อย ควรใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 25%
ขนาดประชากรเป็นหลักพัน ควรใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 10%
ขนาดประชากรเป็นหลักหมื่น ควรใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 5%
ขนาดประชากรเป็นหลักแสน ควรใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 1%
1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร (Population)
หมายถึง สมาชิกทุกหน่วยของสิ่งที่สนใจศึกษา
Inclusion criteria:
ลักษณะประชากรที่เอาเข้ามาศึกษา
เป็นการกำหนดลักษณะประชากรที่ผู้วิจัยตัองการศึกษา เป็นประชากรที่ต้องการจะอ้างผลการศึกษาไปถึง (generalization)
Exclusion criteria:
ประชากรที่ไม่ต้องการศึกษา ptที่ไม่ยอมเข้า เป็นระบุลักษณะบุคคลที่จะไม่นำมาศึกษาแม้ว่าจะมีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเลือกเพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดในงานวิจัย
กลุ่มตัวอย่าง (Sample)
ตัวแทนของประชากร
ต้องมีการเลือกตัวอย่างและขนาดตัวอย่างที่เหมาะสม
จำเป็นต้องใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างต้องเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรเพื่อการอ้างอิงไปยังประชากรอย่างน่าเชื่อถือได้
2.วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่าง
2.การสุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability sampling )
ไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน ประชากรมีโอกาสไม่เท่ากัน
2.การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive หรือ Judgmental Sampling)
3.การเลือกตัวอย่างแบบโควต้า (Quota Sampling)
1.การเลือกตัวอย่างแบบสะดวกสบาย (Convenience หรือ Accidental Sampling)
4.การเลือกตัวอย่างแบบลูกโซ่ (Snowball Sampling) การเลือกแบบนี่มีความเสี่ยง
1.การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็น ( Probability sampling)
ประชากรทุกหน่วยมีโอกาสเท่ากัน อ้างอิงประชากรได้แน่นอน น่าเชื่อถือ
การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) เช่นการจับฉลาก การจับตารางเลขสุ่ม
2.สุ่มอย่างเป็นระบบ (Systematic Random Sampling) เช่น เรืองตามบัญชีรายชื่อ จัดลำแบ่งบ้าน เท่าๆกัน
การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) แยกประชากร ลักษณะที่เหมือนกันในแต่ละชั้น
การสุ่มเป็นระดับชั้นอย่างเป็นสัดส่วน นำประชากรที่เหมือนกันเป็นกลุ่มย่อย แล้วเลือกตัวอย่างแต่ละกลุ่มตามสัดส่วนประชากร
การสุ่มตามระดับชั้นต่างไม่เป็นสัดส่วน
การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling )
การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage Stage sampling) บางวิจัยใช้หลายขั้นตอนตั้งแต่2ขั้นขึ้นไปแต่อาจจะเขียนชื่อตามขั้น
นางสาวศิรินันท์ อินต๊ะวิเศษ เลขที่87 รหัสนักศึกษา613101088