Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด, นางสาวรุ่งอรุณ พรมทา …
การพยาบาลเด็กที่มีความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
ชนิดไม่เขียว
Ventricular Septal Defect:VSD
สาเหตุ
เกิดจากการสร้างผนังกั้นหัวใจระหว่างห้องล่างซ้ายและขวาล้มเหลว
ซึ้งในภาวะปกติเมื่อตัวอ่อนในครรภ์อายุระหว่าง 4-8 สัปดาห์ จะมีการเจริญเติบโตของผนังกั้นหัวใจระหว่างห้องล่างซ้ายและขวา
พยาธิสรีรวิทยา
ระยะแรกเกิด ความต้ามต้านทานในหลอดเลือดของปอดยังสูงอยู่ ทำให้ความดันในหัวใจห้องล่างใกล้เคียง จึงไม่เกิดการไหลของเลือดผ่านรูรั่วหรือผ่านรูรั่วได้น้อย ต่อมาความต้านทานในหลอดเลือดแดงของปอดจะค่อยๆลดลง จากการที่แรงดันห้องล่างซ้ายมีแรงดันมากกว่าห้องล่างขวาเลือดจึงไหลผ่าน VSD จากห้องล่างซ้ายไปห้องล่างขวา ออกสู่ pulmonary artery อย่างรวดเราวเกิด left to right shunt ทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายขายโตตามปริมาณเลือดที่ไหลกลับจาก pulmonary vein และหัวใจห้องบนซ้ายถ้ารูรั่วมีขนาดใหญ่จะทำให้หัวใจซีกซ้ายทำงานหนัก เกิดภาวะหัวใจวายได้
อาการและอาการแสดง
ขึ้นกับขนาดของรูรั่วและแรงต้านทานหลอดเลือดในปอด ในกรณีที่รูรั่วมีขนาดเล็ก (small VSD) เด็กจะไม่มีอาการใดๆ มักตรวจร่างกายพบโดยบังเอิญ ส่วนในเด็กที่มีรูรั่วขนาดกลางหรือใหญ่ (moderate or large VSD) จะมีภาวะหัวใจวาย โดยจะมีอาการได้ตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว ดูดนมได้ช้า เช่น แต่ละมื้อนานกว่า 20 นาที เลี้ยงไม่โต และมีอาการของปอดอักเสบซ้ำๆ
การวินิจฉัยโรค
1.ซักประวัติครอบครัว
2.การตรวจร่างกายพบการเต้นของหัวใจผิดปกติ
3.การตรวจโดยการทำหัตถการ
3.1 การตรวจคลื่นไฟฟ้า ในราย VSD ขนาดเล็ก
3.2การถ่ายภาพรังสีทรวงอก VSD ขนาดเล็ก อาจปกติ VSD ขนาดปานกลางหรือขนาดใหญ่ หลอดเลือดปอดทั้งหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอยมีขนาดใหญ่ขึ้น
3.3 2D-echocardiography เพื่อบอกตำแหน่งและขนาดของ VSD
3.4 การสวนหัวใจ (cardiac catheterization) ในผู้ป่วยที่มี large VSD หรือ เพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง นอกจากนี้การสวนหัวใจยังทำเพื่อการรักษาผ่านสายสวน (cardiac intervention) โดยการใช้อุปกรณ์ปิดรูรั่ว
การรักษา
1.การรักษาทั่วไป ให้ยาควบคุมอาการถ้ามีภาวะหัวใจวาย
2.การรักษาจำเพาะ การผ่าตัดหรือปิดรูรั่วด้วยอุปกรณ์ผ่านสายสวนหัวใจ ซึ่งมีข้อบ่งชี้ดังนี้
2.1 มีภาวะหัวใจวายและไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา
2.2 การสวนหัวใจพบสัดส่วนของปริมาณเลือดไปปอด (Qp) มากกว่าร่างกาย (Qs) โดยอัตราส่วนมากกว่า 2:1
2.3 มีภาวะแทรกซ้อนจาก VSD เช่น ผู้ป่วย small VSD ที่มี AR, subaortic หรือ subpulmonic stenosis, มีการติดชื้อที่ลิ้นหัวใจและความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง
ปัญหาและการพยาบาล
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง/การกำซาบเลือดของเนื้อเยื่อลดลง เนื่องจากหัวใจล้มเหลว
การพยาบาล
1.สังเกตและประเมินการทำงานของหัวใจและปอด
2.ให้เด็กได้พักผ่อนเพื่อลดการทำงานของหัวใจ
3.จำกัดจำนวนเกลือในอาหารเพื่อป้องกันการคั่วของโซเดียม
4.ให้ยาตามแผนการรักษา
Atrial septal defect:ASD
สาเหตุ
ASD เกิดตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ ปกติหัวใจห้องบนจะถูกสร้างขึ้นในระหว่างตัวอ่อน(Embryo) มีอายุ 4-6 สัปดาห์ และทีรูเปิดถึงกันที่เรียกว่า Foramen ovale ซึ่งจะเปิดตลอดในช่วงที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา รูเปิดนี้เป็นทางใหาเลือดไหลเวียนไปปอด ภายหลังเกิดแรงดันในหัวใจห้องบนซ้ายเพิ่มสูงขึ้น Foramen ovals จึงปิด
พยาธิสรีรวิทยา
เลือดแดงจากหัวใจห้องซ้ายบน (ซึ่งเป็นเลือดแดง ผ่านการฟอกที่ปอดแล้ว) ไหลผ่านรูรั่วมายังหัวใจห้องขวาบน (ซึ่งเป็นเลือดดำ) ผ่านลงมายังหัวใจห้องขวาล่าง และออกไปยังปอด เลือดส่วนเกินนี้หลังจากถูกฟอกที่ปอดแล้วก็จะไหลกลับมายังหัวใจห้องซ้ายบนอีกครั้ง ทำให้หัวใจรับเลือดมากขึ้นกว่าปกติ
อาการและอาการแสดง
1.ASD ขนาดเล็ก กว่า8mm. จะทำให้การไหลลัดของเลือดและมีเลือดและมีเลือดไปปอดมากขึ้น
2.ASD ปานกลาง มีเลือดไหลไปปอดมากขึ้น
3.ASD ขนาดใหญ่ มีเลือดไปปอดมากยิ่งขึ้น เลือดผ่านปอดมากกว่า 2 เท่า
ASD ขนาดเล็ก จะไม่ก่อให้เกิดอาการและเด็กจะเจริญเติบโตได้ปกติ แต่ถ้าเป็นขนาดใหญ่จะทำให้เหรื่อยง่าย เหงื่อออกมาก หายใจลำบากเวลาออกกำลังกาย ไม่สะบายบ่อยๆ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
การวินิจฉัยโรค
1.2D-echocardiography เพื่อบอกชนิดของ ASD
2.การสวนหัวใจ ทำเพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง หรือเพื่อการรักษาผ่านสายสวนโดยการใช้อุปกรณ์ปิดรูรั่ว
การรักษา
1.มีอาการหัวใจวายร่วมด้วย รักษาด้วยยา digoxin จำกัดน้ำดื่ม
2.สวนหัวใจใช้ได้ผลดี
3.ผิดปกติปานกลางถึงขนาดใหญ่ ต้องผ่าตัดทางเดินหลอดเลือดระหว่างหัวใจแบะปอดและปิดASD ด้วยวิธี Dacron
ปัญหาและการพยาบาล
รูปแบบการหายใจขาดประสิทธิภาพ/การแลกเปลี่ยนก๊าซขาดประสิทธิภาพ เนื่องจาก น้ำเลือดคั่งในปอด/ปอดชื่น/มีการติดเชื้อที่ปอด
การพยาบาล
1.สังเกตและประเมินการทำงานของปอด
2.จัดท่า Fowler’s position หรือเก้าอี้นั่ง (cardiac chair) เพื่อให้ปอดขยายได้ดี
3.ให้เด็กพักผ่อน ไม่ปล่อยให้ร้องไห้หรืออกกำลังมาก
4.ดูแลให้ออกซิเจน ตามแผนการรักษา
Patent Ductus Arteriosus : PDA
สาเหตุ
1.ระยะที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดาจะมีแรงดันออกซิเจนต่ำและระดับ Prostaglandin ในกระแสเลือดสูง ทำให้ ductus arteriosus เปิดตลอดเวลา ทารกแรกเกิด เมื่อprostaglandin ลดต่ำลง ตอบสนองต่อออกซิเจนในเลือดสูง
2.จากภาวะ Hypoxia ออกซิเจนในกระแสเลือดต่ำ ทำให้ ductus arteriosus ไม่ปิด
3.มารดาติดเชื้อ กัดเยอรมันระยะ 3ทำให้ขัดขวางการสร้าง ductus arteriosus
พยาธิสรีรวิทยา
ในภาวะปกติเมื่อทารกแรกเกิดเริ่มหายใจ ออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกายทำให้หลอดเลือดแดงปอดขยาย ความดันหลอดเลือดแดงในปอดลดลง และระดับprostaglandin ที่ผลิตจากรกลดลงทำให้ smooth muscle ของ ductus arteriosus หดตัวในช่วง 10-15 ชั่วโมงหลังเกิดและไม่มีเลือดไหลผ่านบริเวณดังกล่าว ในช่วงอายุ 1-3 วัน ซึ่งเป็น functional closure และหลังจากอายุ 2- 3 สัปดาห์ ductus arteriosus จะปิดถาวรเป็น anatomical closured5 แต่ในทารกเกิดก่อนกำหนดหรือมีภาวะ hypoxia จะทำให้ smooth muscle ของ ductus arteriosus ตอบสนองต่อออกซิเจนไม่ดี และปอดที่ยังไม่เจริญเต็มที่จึงทำหน้าที่กำจัด prostaglandin ที่เหลือในกระแสเลือดได้ไม่ดี ทำให้ ductus arteriosus ไม่ปิด
อาการและอาการแสดง
ในทารกเกิดก่อนกำหนดที่มี PDA จะมีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย รับนมได้น้อยเนื่องจากท้องอืดซึ่งเกิดจากการที่มีเลือดไหลลัดไปปอด ทำให้เลือดไปเลี้ยงลำไส้ลดลง ในทารกเกิดครบกำหนดจะเริ่มมีอาการเมื่ออายุมากกว่า 6-8 สัปดาห์ เช่น หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ดูดนมได้ช้าและน้ำหนักไม่ขึ้น ในกรณีที่ PDA ขนาดเล็กมักไม่มีอาการ
การวินิจฉัยโรค
วินิจฉัยโรคได้จากอาการทางคลินิกร่วมกับภาพถ่ายรังสีทรวงอกและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอน คือ
1.2D-echocardiography เพื่อบอกขนาดของ PDA
2.การสวนหัวใจ ทำเพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง หรือเพื่อการรักษาผ่านสายสวนโดยการใช้อุปกรณ์ปิด PDA
ปัญหาและการพยาบาล
มีโอติดเชื้อในหัวใจ (Infective endocarditis) เนื่องจากปอดชื่น/เลือดคั่งในปอด/หัวใจทำงานผิดปกติ
การพยาบาล
1.สังเกตและประเมินภาวะติดเชื้อ
2.ดูแลให้เด็กได้พักผ่อนและได้รับสารอาหารเพียงพอ
3.แยกเด็ก ไม่ให้อยู่ร่วมกับเด็กติดเชื้อทางเดินหายใจ
4.ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
5.ติดตามผลห้องปฏิบัติการ
ชนิดเขียว
Tetralogy if fallcot :TOF
สาเหตุ
เกิดจากความล้มเหลวในการเจริญเติบโตของหัวใจตั้งแต่เป็นตัวอ่อนในครรภ์ระยะ 3 เดือนแรกของชีวิต
พยาธิสรีรวิทยา
1.การตีบของลิ้นพัลโมนารี(pulmonary stenosis:PS) ทำให้เลือดไหลผ่านเข้าปอดได้น้อย
2.มีรูรั่วระหว่างหัวใจห้องล่าง (Ventricular septal defect:VSD)ผนังกั้นหัวใจห้องล่างขวาไม่ปิดทำให้เลือดดำและเลือดแดงผสมกัน
3.หลอดเลือดแดงแอร์ตาอยู่ผิดตำแหน่ง
4.กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวาหนากว่าปกติ (Right ventricular hypertrophy : RHV)
สรุป: จากการตีบของลิ้นหัวใจพัลโมนารี่ไปขัดขวางการไหลเวียนเลือดไปยังปอดทำให้ความดันในห้องหัวใจห้องล่างขวาสูงขึ้น ประกอบกับการมีข่องทางติดต่อระหว่างผนังกั้นหัวใจห้องล่าง ดังนั้นเลือดดำจะไหลจากหัวใจล่างขวาไปยังหัวใจล่างซ้าย เรียกว่า right tI left shunt และออกสู่หลอดเลือดแดงเอออร์ตาทำให้หัวใจห้องล่างทำงานหนัก มีผลทำให้หัวใจห้องล่างโต จากการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือด ร่างกายได้รับเลือที่มีออกซิเจนต่ำ ร่างกายจึงมีการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ทำให้เลือดหนืด ไหลช้า เกิดภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ
อาการและอาการแสดง
1.เด็กจะไม่แสดงอาการเขียวเมื่อแรกคลอด
2.เด็กมีอาการเขียวเป็นครั้งคราว เช่น ขณะร้องไห้ อาบน้ำมีไข้เพราะเกิดการขยายตัวของหลอดเลือด
3.ภาวะ Anoxic spells เกิดจากการที่สมองขาดออกซิเจน ทำให้เป็นลม หน้ามืด ชัก หมดสติบ่อยๆ
4.ภาวะนิ้วปุ้ม (clubbed fingers & toes) เกิดจากหลอดเลือดดำส่วนปลายขาดออกซิเจนมาเลี้ยง ร่างกายจึงมีการขยายหลอดเลือดส่วนนั้นเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนมาเลี้ยงส่วนปลาย
5.ภาวะ (squatting) ผู้ป่วยเด็กทารกและสัยหัดเดินที่เป็นโรคหัวใจ TOF เวลาที่เล่น จะเกิดอาการหายใจลำบาก ต้องจับนั่งหรือนอนในท่าเข่าชิดอก Knee chest position อาการจะดีขึ้น เด็กโต คือการนั่งย่องๆ squatting
6.ภาวะ thrombotic strokes เกิดภาวะเลือดข้น polycythemia อาจปรากฎอาการอัมพาต himiplegia
การวินิจฉันโรค
1.ภาพรังสีทรวงอก ขนาดของหัวใจทั่วไปไม่โตตำแหน่ง ที่เป็นอยู่ของหลอดเลือดแดงพัลโมนารี่เว้า บุ๋ม (concave)
2.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ มีหัวใจห้องล่างขวาโตทุกราย
3.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจมีหัวใจห้องล่างขวาหนา
4.การสวนหัวใจและการฉีดสี พบความดันเลือดในหัวใจห้องล่างขวาผ่าน VSD ไปเอออร์ตา
การรักษา
1.การรักษาทางยา
ถ้า เกิด cyanosis spell( hypoxia spell) ต้องรีบรักษาทันที ลดเมตายอลิซึม ให้ยาที่ช่วยให้พักผ่อน เช่น chloral hydrate หรือ diazepam
ห้ามาให้ยาขณะมีอาการ anoxic spell ได้แก่ยาที่ทำให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น คือ epinephrine,Idoproterenol , cardiac glycoside
2.การผ่าตัด
2.1 การผ่าตัดเพื่อบรรเทาอาการ palliative surgery
2.2 corrective surgery เป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติทั้งหมด
ปัญหาและการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากภาวะหมดสติ เนื่องจากสมองขาดออกซิเจน
การพยาบาล
1.ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะหมดสติ
2.ประเมินระบบการหายใจ ทั้งอัตรา จังหวะ ความสม่ำเสมอ การขยายของปอด
3.ดูแลให้พักผ่อน ลดการทำงานของหัวใจ
4.หยุดกิจกรรมที่ให้เกิดภาวะหมดสติ ถ้าเกิดอาการกระสับกระส่าย
5.ถ้าพบว่าหมดสติ ต้องรีบจัดท่า knee chest ให้ผู้ป่วยโดยจัดให้นอนหงายหรือนอนตะแคงหรือนอนคว่ำแล้วงอเข่าชิดอก
6.ติดตามผลการตรวจความเป็นกรดด่างของเลือดแดง
Transposition of the great vessels : TGV
สาเหตุ
เกิดจากความล้มเหลวของการแบ่งตัวของ Truncus Arteriosus ตั้งแต่ในระยะ 8 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัดแต่อาจเกิดจาก มารดาติดเชื้อหัดหรือเชื้อไวรัส มารดาขาดสารอาหารดื่มแอลกอฮอล์ โรคเบาหวานร่วมกับการตั้วครรภ์ หรือตั้งครรภ์เมื่ออายุมากกว่า 40 ปี
พยาธิสรีรวิทยา
การสลับที่ระหว่างหลอดเลือดแดงใหญ่กับหลอดเลือดแดงพัลโมนารี เลือดดำถูกสูบฉีดผ่านหลอดเลือดแดงใหญ่ไปเลี้ยงร่างกายแบะเลือดแดงสูบฉีดผ่านหลอดเลือดแดงไปฟอกที่ปอดเลือดที่ออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายจึงเป็นเลือดที่มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ
อาการและอาการแสดง
อาการแสดงที่ผู้ป่วยทุกรายมี คือ
หายใจเร็ว ตื้อ หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว
ผิวหนังมีสีเขียว นิ้วปุ้ม รับประทานอาหารได้น้อย
blue-baby syndrome ผู้ป่วยอาจถึงแก่กรรมตั้งแต่แรกเกิดหากไม่มี PDA/VSD/ASD
การวินิจฉัยโรค
1.การถ่ายภาพรังสีทรวงอก พบหัวใจโต ขุ้วหัวใจแคบและยาวคล้ายกับลักษณะไข่ที่อยู่ในท่าวตะแคง Egg on side จากหลอดเลือดใหญ่ทั้งสองซ้อนกัน
2.การจรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 2-3วันแรก
3.การตรวจคลื่นเสียงสะท้อน พบหลอดเลือดใหญ่ขนานกัน ปกติจะไขว้กัน
4.การตรวจสวนหัวใจ ระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนต่ำ
การรักษา
การรักษาด้วยยา
prostaglandin E1 เพื่อป้องกันไม่ให้ ductusateriosus ปิด
การผ่าตัด
Arterial switch procedure คือการสับเปลี่ยนทางเดินหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดพัลโมนารีให้อยู่ในภาวะปกติ
Intra-arterial buffle repairs คือ การผ่าตัดซ่อมแซมภายในหลอดเลือดแดง
Rastelli procedure คือ การทำผ่าตัดปิดรูทะลุระหว่างหัวใจห้องล่างซ้าย-ขวา
ปัญหาและการพยาบาล
มีโอการเกการติดเชื้อในสมอง / การอักเสบจองเยื่อยุหัวใจชั้นใน endocarditis เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดำบางส่วนไม่ผ่านปอด
การพยาบาล
1.สังเกตและประเมินอาการติดเชื้อ
2.ดูแลให้ได้รับอาหารน้ำอย่างเพียงพอ
3.ดูแลสภาพแวดล้อม โดยจัดสิ่งของให้สะอาด
4.ล้างมือก่อนและหลังการพยาบาลทุกครั้ง
5.แยกเด็กออกจากผู้ป่วยติดเชื้ออื่น
6.ดูแลให้ได้รีบยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
7.ติดตามผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ
ภาวะหัวใจวาย Heart failure
สาเหตุ
1.ความผิดปกติของหัวใจทำงานมากขึ้น เนื่องจากมีปริมาณเลือดในหัวใจเพิ่มขึ้น
2.ความผิดปกติของหัวใจที่ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้นเนื่องจากมีความดันในเวนตริเคิลสูงกว่าปกติ
3.ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ Myocardial factor
4.จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติส่งผลให้ปริมาณเลือดไหลออกจากหัวใจลดลง
พยาธิสรีรวิทยา
1.การกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเธติคหลั่ง Catecholamine ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวแรงขึ้นและมึการหดตัวของหลอดเลือดดำ
2.เลือดไปเลี้ยงไตลดลง ไตจะตอบสนองโดยกระตุ้น renin angiotensin angio aldosterone ทำงานมากขึ้น
3.มีการเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อชดเชยการทำงานของหัวใจ
4.การขยายตัวของหัวใจโดยผนังกล้ามเนื้อของเวนตริเคิล
อาการและอาการแสดง
1.อาการของหัวใจซีกซ้ายวาย ได้แก่ หายใจเร็ว ปีกจมูกบาน หายใจลำบาก หน้าอกบุ๋ม
2.อาการของหัวใจซีกขวา ได้แก่ หลอดเลือดดำที่คอโป่งพอง หน้าบวม ตาบวม ตับโต บางรายอาจม้ามโต คลื่นไส้อาเจียน
การวินิจฉัยโรค
1.ซักประตรวจร่างกายพบว่า ออกแรงเหนื่อยง่ายเวลาดูดนม
2.Chest X-Rey พบหัวใจโตร่วมกับมีเลือดออกในปอดมากขึ้นพบ Pulmonary edema
3.ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจพบ หัวใจเต้นเร็ว/เต้นช้า หรือเวนตริเคิลโต
การรักษา
มุ่งเน้นในการแก้ไขโรคที่เป็นสาเหตุของภาวะนี้ เช่น ถ้าเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ผู้ป่วยก็ควรได้รับการฉีดสีสวนหัวใจ เพื่อพิจารณาแก้ไขหลอดเลือดโดยเร็วที่สุดเพื่อหยุดยั้งการดำเนินโรค
การรักษาโดยการใช้ยาเพื่อชะลอการดำเนินโรคและฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ
ปรับควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายโดยการคุมอาหาร ปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวัน และการปรับยาขับปัสสาวะอย่างเหมาะสม
การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจเพื่อช่วยในการบีบตัว (Cardiac resynchronize therapy หรือ CRT) ตลอดจนใส่เครื่องกระตุกหัวใจหัวใจ (Implantable cardioverter defibrillator หรือ ICD) ในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้
ปัญหาและการพยาบาล
ปริมาณเลือดออกจากหัวใจต่อนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของหัวใจหรือหลอดเลือด
การพยาบาล
1.จำกัดกิจกรรมของผู้ป่วยดูแลให้พักผ่อนอย่างเต็มที่
2.จัดท่านอนศีรษะสูง 30-45 องศา เพื่อให้ปอดขยายอย่างเต็มที่
3.ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์
4.ดูให้ออกซิเจนตามแผนการรักษาในรายที่มีอาการเหนื่อยหอบ
5.Record vital signs /intake output
6.ดูแลให้อาหารลดจืดเพื่อลดการสะสมของน้ำและโซเดียม
นางสาวรุ่งอรุณ พรมทา
61122230011 เลขที่ 9