Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การศึกษาวิวัฒนาการของทฤษฎีการบริหาร, capture, maslow-s-hierarchy - Coggle…
การศึกษาวิวัฒนาการของทฤษฎีการบริหาร
ทฤษฎีการบริหารแบบดั้งเดิม (Classical Theory)
ทฤษฎีการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
เฟรดเดอริค วินสโลว์ เทเลอร์ (Frederick winslow taylor)
บิดาแห่งการบริหารงานเชิงวิทยาศาสตร์
การออกแบบงาน
กำหนดวิธีการทำงานทดแทนการทำแบบลองผิดลองถูก
มีการวางแผนแทนที่จะให้คนงานเลือกวิธีการเอง
คัดเลือกคนงานที่มีความสามารถแล้วฝึกอบรมให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆร่วมกัน
ใช้หลักแบ่งงานกันทำระหว่างผู้บริหารและคนงาน “time and motion study”
เฮนรี่ แกนต์ (Henry L Gantt)
นำเอาเทคนิคการจัดตารางสำหรับการควบคุมการปฏิบัติงานมาใช้เพื่อปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพในการทำงาน
Gantt’s chart เป็นแผนภูมิกำหนดเวลาในอนาคตไว้ในแนวนอนและงานที่ปฏิบัติไว้ในแนวตั้ง ปัจจุบันนำมาใช้อย่างแพร่หลาย
แฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ (Frank Bunker Gillbreth)
การทำงานด้วยการแบ่งงานออกตามความชำนาญเฉพาะด้านและแบ่งงานเป็นส่วนๆ (division of work) ให้ทำงานต่อเนื่องกันเป็นกระบวนการตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้เกิดงานแบบประจำ (routine)
ลิเลียน กิลเบรธ (LilianGillbreth)
ใช้หลักวิทยาศาสตร์ร่วมกับด้านจิตวิทยาที่จะช่วยส่งเสริมงานด้าน Motion Studies ให้ดียิ่งขึ้นซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรม
ทฤษฎีการจัดการเชิงบริหาร (administrative management)
เฮ็นรี่ ฟาโยล(Henry Fayol)
เป็นผู้บุกเบิกแนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการเชิงบริหาร (administrative management)
ระบุหน้าที่พื้นฐานหรือกระบวนการบริหารที่ผู้บริหารต้องปฏิบัติไว้ 5 ประการ (POCCC)
การวางแผน (planning) กำหนดเป็นแนวการปฏิบัติงาน
การจัดองค์การ (organizing) ผู้บริหารจะต้องกำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ อย่างเหมาะสม
การบังคับบัญชาและสั่งการ (commanding) ผู้บริหารจะต้องมีหน้าที่สั่งการ โดยต้องมีความเข้าใจคน เข้าใจงาน
การประสานงาน (coordinating) ประสานหรือเชื่อมโยงงานต่างๆ ให้เข้ากัน
การควบคุม (controlling) หน้าที่ในการติดตามผล ดูแล กำกับให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ลูเทอร์ กูลิคและลินดอลล์ เออร์วิค (Luther Gulick and Lyndall Urwick)
เพิ่มกระบวนการบริหารที่ Fayol ให้ไว้ 5 ประการเป็น 7 ประการ เรียกว่า POSDCoRB ซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ในด้านการบริหารการพยาบาล
ทฤษฎีระบบราชการ (bureaucracy)
แมกซ์ วีเบอร์ (Max Weber)
สร้างแนวทางการดำเนินการบริหารแบบระบบราชการขึ้นมา เน้นการมีเหตุผลเป็นสำคัญ มีลักษณะสำคัญ 7 ประการ
มีการแบ่งงานกันทำ (division of work) ตามความรู้ ความชำนาญ
มีการจัดระบบตำแหน่งหน้าที่ตามสายบังคับบัญชาระดับสูงมายังระดับต่ำ (scalar chain)
มีการกำหนดระเบียบข้อบังคับ กฎเกณฑ์ต่างๆ
บุคลากรต่างทำหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการ (impersonal)
หารจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ
มีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (career aspects)
มีอำนาจหน้าที่ (legal authority) ตามตำแหน่ง โดยมีระเบียบรองรับ
ทฤษฎีการบริหารยุคนีโอคลาสิก (NEO-Classical Theory)
เอลตัน เมโย (Elton Mayo)
เป็นผู้วางรากฐานทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถทำได้ โดยต้องทุ่มเทสนใจปัญหาและความต้องการของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
แมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor)
เจ้าของทฤษฎีเอ็กซ์และวาย (X and Y theory) ได้วางหลักสมมติฐานเกี่ยวกับคนเป็น 2 แนวตรงกันข้ามกัน ทฤษฎีทั้งสองชี้ให้เห็นว่าคนเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง คือ ดีกับไม่ดี (ทางบวกและทางลบ)
วิลเลี่ยมกูซี่ (william G. Quchi)
วิธีการทำงานแบบกลุ่มคุณภาพ ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการตัดสินใจบริหาร คือ ให้ความสำคัญกับกลุ่มไม่ใช่ตัวบุคคล
เชสเตอร์ บาร์นาร์ด
เป็นนักคิดของทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ได้รับการยกย่องว่า“เป็นบิดาแห่งการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์” (Behavioral Science)
มีแนวคิดเกี่ยวกับองค์การไว้ว่า องค์การเป็นระบบของการร่วมแรงร่วมใจ เพื่อทำให้กิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การติดต่อสื่อสาร เพื่อความเข้าใจในวัตถุประสงค์สู่แนวทางการปฏิบัติ
อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow)
เป็นนักจิตวิทยาคิดค้นแนวคิดเรื่องลำดับขั้นของความต้องการของมนุษย์ ความต้องการของมนุษย์จะเป็นไปตามลำดับขั้นจากต่ำไปหาสูง มี 5 ขั้น
เฟรเดริค เฮิร์ซเบิร์ก (Frederick Herzberg)
ให้ความสำคัญกับความต้องการของมนุษย์ โดยแบ่งปัจจัยออกเป็น 2 ปัจจัย
ปัจจัยจูงใจ หรือ ปัจจัยภายใน (Intrinsic) คือ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจให้คนทำงานอย่างมีความสุข
ปัจจัยค้ำจุน (Hygiene Factors) หรือ ปัจจัยภายนอก (Extrinsic) คือ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความพอใจในการทำงาน
เป็นแนวคิดในการบริหารคนที่ปัจจุบันผู้บริหารนำมาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจและขวัญกำลังให้แก่องค์กร
ทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่ (Modern Theory)
ทฤษฎีระบบ (System theory)
Bertalanffy บิดาแห่งทฤษฎีระบบทั่วไป เห็นว่าองค์ประกอบของทฤษฎีระบบ ประกอบด้วย 5 ส่วนที่สำคัญ
ปัจจัยนำเข้า (Inputs)
กระบวนการแปรสภาพ (Transformation Process)
ผลผลิต (Outputs)
ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back)
สิ่งแวดล้อม (Environment)
ระบบปิด (Closed system) มีความสมบูรณ์ภายในตัวเอง ไม่ผูกพันกับระบบอื่น
ระบบเปิด (open system) อาศัยการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคล องค์การหรือหน่วยงานอื่นๆ
ทฤษฎีบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory)
มุ่งเน้นที่จะยอมรับกันว่าในทางปฏิบัติไม่มีวิธีการบริหารได้ที่ดีที่สุด (no one best way) ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของสถานการณ์
ฟิดเลอร์
จำลอง “ความเป็นผู้นำตามสถานการณ์” ซึ่งอำนาจหน้าที่ การยอมรับมีผลต่อความเป็นผู้นำ
วรูมและเยตัน
เน้นการเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจของผู้นำ โดยให้ผู้ตามมีส่วนร่วม
โรเบิร์ต เฮาส์ (Robert House)
เสนอแนวความคิดผู้นำเชิงสถานการณ์ ทฤษฎีเส้นทาง-เป้าหมาย (Path-goal Theory) มีความเห็นว่า ภาวะผู้นำเกี่ยวข้องกับการจูงใจ และผู้นำขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เฮอร์เซย์ และแบลนซาร์ด
ทฤษฎี “วงจรชีวิต” เสนอทฤษฎีภาวะผู้นำตามสถานการณ์ (Situational Leadership Theory: SLT) แบ่งระดับความพร้อมของผู้ตามเป็น 4 ระดับ โดยเรียงลำดับต่ำสุดไปสู่สูงสุด
R1 หมายถึง ไม่มีความสามารถ และไม่มีความเต็มใจที่จะทำ ถือว่าความพร้อมต่ำ
R2 หมายถึง ไม่มีความสามารถ แต่เต็มใจที่จะทำ ถือว่าความพร้อมปานกลาง
R3 หมายถึง มีความสามารถ แต่ไม่มีความเต็มใจที่จะทำ ถือว่าความพร้อมปานกลาง
R4 หมายถึง มีความสามารถ และเต็มใจที่จะทำ ถือว่าความพร้อมสูง
ทฤษฎีการบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative theory)
การบริหารศาสตร์ (Management science) เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจให้แก่ผู้บริหาร ปัจจุบันใช้วิธีนี้อย่างแพร่หลายมากแม้ในการบริหารการพยาบาล เนื่องจากความก้าวหน้าด้านคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management information system : MIS) เน้นการออกแบบ และการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศ โดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อการบริหาร เช่น หอผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่สำคัญของโรงพยาบาลซึ่งมีความเกี่ยวพันกับแผนกต่างๆ ในโรงพยาบาล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีจำนวนมาก มีผลโดยตรงต่อการบริหารจัดการของโรงพยาบาล
การจัดการปฏิบัติการ (Operations management) เน้นการใช้แนวทางเชิงปริมาณเข้าช่วยในการตัดสินใจ ประกอบด้วย การกำหนดตารางการทำงาน (work scheduling) การวางแผนการผลิต (production planning) การออกแบบอาคารสถานที่ (facilities and location design) ตลอดจนการประกัน คุณภาพ (quality assurance) ในการบริหารการพยาบาลที่นำมาใช้ได้บ่อย คือ การวิเคราะห์รายการ โดยนำข้อมูลผ่านกระบวนการวิเคราะห์หรือแปลงข้อมูลให้อยู่ในโครงสร้างมาตรฐานที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้
ทฤษฎี 7’S
เป็นแนวคิดแบบจำลองของแมคคินซีย์ (Mc Kinsey) เป็นกลยุทธ์การบริหารที่ช่วยให้เกิดความสำเร็จในองค์การสูง
Structure (โครงสร้าง) : การจัดระเบียบองค์ประกอบขององค์กรที่เหมาะสม
Strategy (กลยุทธ์) : แผนกำหนดวิธีการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร
System (ระบบ) : วิธีการดำเนินงาน ระเบียบขององค์กร
Style (รูปแบบ) : ลักษณะพฤติกรรมของผู้บริหารในองค์ การทำงานอย่างจริงจัง
Staff (พนักงาน) : ความสามารถทั่วไปของพนักงานในองค์กรและความพร้อมในการพัฒนาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร
Skill (ทักษะ) : ทักษะ และความสามารถของพนักงานที่ทำให้กับองค์กร
Shared Value (ค่านิยมร่วมกัน) : เป้าหมายที่จะบรรลุผลสำเร็จ
การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ (T.Q.M.=total quality management)
เน้นคุณภาพเป็นหัวใจของทุกเรื่อง เพื่อให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพ
การรื้อปรับระบบ (reengineering)
การสร้างกระบวนการทำงานขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลง เน้นความสำคัญของผู้รับบริการเป็นหลัก (focus on customer) การบริการต้องมีคุณภาพ ค่าใช้จ่ายถูก รวดเร็ว ไม่ซับซ้อนให้ความสำคัญต่อกระบวนการทำงาน (organization change around process) โดยอยู่บนพื้นฐานกรอบแนวคิด ดังนี้
การปรับระบบด้านการจัดการทางการพยาบาล (nursing management) เน้นการบริหารแบบแมตริกซ์ (matrix organization) ที่เน้นรูปแบบการมีส่วนร่วมของหน่วยงานในองค์การ
การปรับระบบด้านบริการพยาบาล (nursing service) ต้องได้รับความสะดวก รวดเร็วในการใช้บริการ มีความพึงพอใจในบริการ ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
องค์การสมัยใหม่ (Modern Organization)
องค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) คือ จะพัฒนาเครื่องมือและวิธีการในการวิเคราะห์ระบบขององค์การของตนเองด้วย Peter M. Senge แนะนำว่า องค์การต้องสร้างวินัย 5 ประการ (fifth discipline)
บุคลากรที่มีความรอบรู้ (personal mastery)
รูปแบบความคิด (mental models)
วิสัยทัศน์ร่วม (shared vision)
การเรียนรู้เป็นทีม(team learning)
ความคิดเป็นระบบ (system thinking)
องค์การสมรรถนะสูง (High Performance Organisation) เป็นองค์การที่สามารถรับมือกับแรงกดดันต่าง ๆ ได้จากภายในและภายนอกองค์การได้ดี เป็นองค์การแห่งนวัตกรรม มีวัฒนธรรมองค์การเป็นตัวยึดเหนี่ยว ทำให้พนักงาน มีค่านิยมร่วมกัน ทำงานร่วมกันได้ดี ผูกพันกัน มีเป้าหมายเดียวกัน และมีความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จสูง
องค์การยุคหลังสมัยใหม่ (Post Modern Organization)
ใช้แนวคิดการสร้างเหตุผล (reasoning) ความเป็นอุตสาหกรรม (industrialization) และระบบราชการ (bureaucratization)
ทฤษฎีไร้ระเบียบ (Chaos theory)
หรือทฤษฎีทั่วไปทางสังคม เรียกว่า “ลัทธิไร้ระเบียบ” เชื่อว่า “สรรพสิ่งบนโลกมีเกิด มีดับ ที่เริ่มจากความระเบียบ แล้วก้าวไปสู่ความไร้ระเบียบ ในที่สุด หมุนเวียนอยู่เช่นนี้ (หมุนเวียนเป็นวงกลม) สังคมก็เช่นกัน เมื่อพัฒนาไปจนถึงที่สุดแล้วก็จะมีวิกฤติอันสภาวะยุ่งเหยิงของความไร้ระเบียบจะมีความรุนแรง
การจัดองค์การแบบแชมรอค (Shamrock Organization)
เป็นองค์กรมีรากฐานมาจากชื่อต้น คือ ต้นแชมรอค จะมีลักษณะพิเศษ คือ ใบเป็นแฉก 3 ใบที่อยู่ติดกันเป็นกระจุก ถูกนำมาเทียบเคียงกับการแบ่งกลุ่มงานภายในองค์การออกเป็น 3 กลุ่มที่สำคัญ
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (professional core)
กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากภายนอก (outsourcing vendors)
กลุ่มพนักงาน
การจัดองค์การแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิดการลดขนาดองค์การ (downsizing) เพราะองค์การแบบแชมรอค ช่วยลดจำนวนผู้ปฏิบัติงานประจำขององค์การลง จะเหลือเฉพาะผู้ปฏิบัติงานประจำที่ถือเป็นความสามารถหลักขององค์การเท่านั้น ผู้ปฏิบัติงานอีกสองไม่ถือเป็นผู้ปฏิบัติงานประจำขององค์การ
5s Model
การบริหารเน้นประสิทธิภาพ ประสิทธิผล การให้บริการตรงตามความต้องการ โดยปฏิบัติงานด้วยวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งตัวแบบ 5s
SMALL : องค์การสมัยใหม่จะมีขนาดเล็กลงแต่มีคุณภาพมากขึ้น
SMART : มุ่งสู่ความเฉลียวฉลาด มีความแปลกใหม่ มีนวัตกรรมใหม่
SMILE : องค์การที่มีความสุข
SMOOTH : องค์การไม่มีความขัดแย้งและมีการผนึก ร่วมมือกัน
SIMPLIFY : ทำเรื่องยากให้ง่ายและรวดเร็ว
องค์การเสมือนจริง (Virtual Organization)
เป็นหัวใจหลักของ Virtual Office คือ หลักจิตวิทยา ที่เชื่อมโยงบุคลากรห่างไกลให้บรรลุเป้าหมายเดี่ยวกันการเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จ ต้องได้รับความร่วมมือจากมนุษย์ด้วยกัน (Collaborated) มีความไว้ใจ ทำงานรวดเร็ว คล่องตัว ความรับผิดชอบต่อหน้าที่มีลักษณะที่สำคัญ 7 ประการ
มีการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมสังคมกับชุมชนเครือข่าย
มีการร่วมมือและพึ่งพากัน
มีความยืดหยุ่น (Flexibility)
มีความไว้วางใจ (Trust)
การบริหารตนเอง (Self- Organization)
ขอบเขตขององค์การไม่ชัดเจน
ไม่มีสถานที่ตั้งองค์การ