Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคไวรัสตับอักเสบ บีร่วมกับการตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
โรคไวรัสตับอักเสบ บีร่วมกับการตั้งครรภ์
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อ Hepatitis B virus ซึ่งมีระยะฟักตัวนานประมาณ 50-180 วัน จึงเป็นพาหะได้อย่างเรื้อรัง
วิธีการได้รับเชื้อ
เพศสัมพันธุ์
สัมผัสเลือด สิ่งคัดหลั่ง อุจจาระ ปัสสาวะ
ใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น มีดโกน เข็มฉีดยา
ทารกได้รับเชื้อขณะคลอด
ทารกได้รับเชื้อจากการผ่านทางรก
อุบัติการณ์
พบได้ 1 -2 รายในสตรีตั้งครรภ์ 1000 ราย โดยเพาะสตรีตั้งครรภ์ในประเทศกำลังพัฒนาสตรีอาชีพพิเศษ ชายรักร่วมเพศ
อาการ
บางรายอาจไม่มีอาการ บางรายมีอาการคล้ายไข้หวัดต่อมามีอาการตาและตัวเหลือง อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหารรับประทานอาหารไม่ได้
ผลของการติดเชื้อตับอักเสบบีต่อสตรีตั้งครรภ์
มีอาการของการติดเชื้อไวรัส เช่น มีไข้ ตาตัวเหลือง ตรวจพบตับม้ามโต
เจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
แท้งบุตร
ผลของการติดเชื้อตับอักเสบบีต่อทารก
ติดเชื้อจากมารดาจากมีการแตกของเส้นเลือดจากรก
ตายในครรภ์หรือตายคลอดจากการติดเชื้อขณะคลอด
ติดเชื้อหลังคลอดจาการให้นมแม่หัวนมการเลี้ยงดู
เป็นพาหะของโรคโดยไม่มีอาการ
เป็นตับอักเสบเฉียบพลันแรกคลอด(มักพบHBsAg + ก่อนอายุ 2 เดือน)
การแปลผลAntigenและAntibodyโรคตับอักเสบบี
การวินิจฉัย
ประวัติ
อาการเเละอาการเเสดง
เจาะเลือดหา HBsAb, HBeAb หากได้ผลบวกหมายถึงการมีภูมิคุ้มกันต่อตับอักเสบบี
เจาะเลือดตรวจหาHBsAg, HBeAg หากผล HBeAg เป็นบวกมีโอกาสที่ทารกจะติดเชื้อจากมารดาได้สูง
คำแนะนาในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการดาเนินโรคที่รุนแรงขึ้นและการแพร่กระจายของโรค
ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค สาเหตุ การติดต่อ การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ การดาเนินของโรคและการรักษาพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูก
แนะนำการปฏิบัติตัวในระยะตั้งครรภ์และตลอดชีวิต
งดการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
หลีกเลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อราAlpha toxin ที่ทาลายตับมากขึ้น เช่น ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆข้าวสารที่เก็บไว้นานจนเกิดเชื้อรา พริกป่น
รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ไม่รับประทานอาหารไขมันสูง หรือปิ้งย่าง งดอาหารสุกๆดิบๆ ที่อาจจะมีพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น
รักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทำจิตใจให้แจ่มใส
หากจะรับประทานสมุนไพรหรือวิตามินเสริมควรปรึกษาแพทย์เพราะยาหรือสารเคมีอาจจะทาให้ค่าผลเลือดการทางานของตับเปลี่ยนแปลง
ลดการแพร่เชื้อ โดยการระวังการแพร่เชื้อจากตนเองสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะบุคคลในครอบครัว เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การระวังการปนเปื้อนสารคัดหลั่งหรือเลือด
แนะนำการลดการแพร่กระจายของเชื้อทางอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวโดยการทำลายอย่างถูกวิธีและการทำความสะอาดพื้นผิวของภาชนะและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ด้วยน้ำผสมผงซักฟอกในอัตรา 1:10 และหากมีผู้ดูแลการทำความสะอาดบ้าน ด้วยให้ผู้ดูแลสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น ถุงมือ เป็นต้น (CDC, 2013)
การดูเเลทารกกรณีมารดาติดเชื้อ
ระหว่างตั้งครรภ์
หลีกเลี่ยงหัตถการความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ทำแก่ทารกในครรภ์
อาจทำการตรวจด้วยวิธี non-invasive prenatal testing แทน
หากจำเป็นต้องทำ chorionic sampling และ amniocentesis ควรแจ้งให้มารดาทราบถึงความเสี่ยง
หลังคลอด
ให้ HBIG 0.5 ML เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุดถ้าไม่มีให้ทันทีให้พยายามหา HBIG ให้ทารกภายใน 7 วันหลังคลอด
ให้ HB vaccine 0.5 ML เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุดภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอดและ 1 เดือนจากนั้นให้ดี DTP-HB ที่ 2,4,6 เดือน
หากทารกน้ำหนักน้อยกว่า 2,000 กรัมสามารถฉีด HB ได้ทันทีแต่ให้นับเป็นเข็มพิเศษแล้วฉีดเข็มขัดไปเมื่ออายุ 1 เดือนหรือน้ำหนักตัวมากกว่า 2000 กรัม
ระยะหลังคลอด
ส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาและควรให้เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียว 6 เดือน
แนะนำการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะท่าการให้นมบุตรที่ถูกวิธี การให้ทารกอมหัวนมอย่างถูกต้อง
ประเมินประสิทธิภาพของการให้นมบุตร ที่จะช่วยป้องกันการเจ็บหัวนม หัวนมแตกมากจนเลือดไหลที่เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาค่าผลเลือดการทางานของตับ และทำอัลตราซาวด์ช่องท้องค้นหาการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น
การติดตามทารกกรณีมารดาเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
การติดตามทารกกรณีมารดาเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีติดตามทารกเมื่ออายุครบ 12 เดือนเพื่อเจาะเลือดตรวจ HBsAg เเละ Anti-HBs
กรณี HBsAg เป็นลบและ Anti-HBs เป็นบวก
เด็กทารกดังกล่าวไม่ติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี
กรณี HBsAg เป็นบวก - ให้ถือว่าเด็กทารกดังกล่าวติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีควรส่งต่อให้กุมารแพทย์ดูแลรักษาต่อไป-
กรณี HBsAg เป็นลบและ Anti-HBs เป็นลบ เด็กทารกดังกล่าวไม่ติดเชื้อแต่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคไวรัสตับอักเสบบีให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี 3 อีก 3 เข็มโดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือนและเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 6 เดือน