Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพลบพลาว - Coggle Diagram
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพลบพลาว
ประวัติและการพัฒนาทฤษฎี
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาว (Peplau‘s Theory of Interpersonal Relations) พัฒนาขึ้นโดยฮิลด์การ์ด เพลบพลาว (Hildegard E. Peplau)
ซึ่งฮิลด์การ์ดและเพลบพลาวเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งจากการเรียนและการสอนพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต รวมทั้งประสบการณ์ในการทำงานต่างๆ จนนำไปสู่ความสนใจและพัฒนาทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลขึ้น
พัฒนาการของทฤษฎี
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาว เป็นผลจากการเรียนการสอนพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิตให้กับนักศึกษาพยาบาลและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา รวมทั้งจากประสบการณ์ในการเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลจิตเวช
จึงทำให้ฮิลด์การ์ด เพบพลาว เกิดความสนใจที่จะทำความเข้าใจสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
เกิดจากการนำทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของแฮรี่ สแต็ค ซัลลิแวน (Harry Stack Sullivan) มาอธิบายในการสังเกตการกระทำของการพยาบาล เพื่อให้พยาบาลเข้าใจและเห็นคุณค่าของการกระทำของมนุษย์ (Peplau,1952)
นอกจากนั้นระหว่างที่ทำการพัฒนาทฤษฎียังได้รับความช่วยเหลือ สนับสนุน และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆมาร่วมอภิปรายด้วย
มโนมติหลักและความสัมพันธ์ของทฤษฎี
มโนมติหลัก (Metaparadigm)
1.บุคคล
เพบพลาวกล่าวว่ามนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกายภาพ จิตใจและสังคมอยู่ตลอดเวลา ทั้งพยาบาลและผู้ป่วย
2.สิ่งแวดล้อม
เพบพลาวหมายถึงปัจจัยทางด้านกายภาพ จิตใจ และสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และรวมไปถึงบริบทของสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย ระบบสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดการคงไว้ซึ่งการเจ็บป่วย หรือการส่งเสริมสุขภาพที่ดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย
3.สุขภาพ
เพบพลาวได้กล่าวไว้ว่าเป้นคำสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการพัฒนาไปข้างหน้าของบุคลิกภาพ และกระบวนการอื่นๆของมนุษย์ไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ และมีคุณภาพต่อการดำรงชีวิตในสังคมสุขภาพเป็นเป้าหมายแรกของการพยาบาล
4.การพยาบาล
เพบพลาวกล่าวว่าการพยาบาล คือ เครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ เป็นพลังอำนาจ เพื่อส่งเสริม้เกิดความก้าวหน้าของบุคลิกภาพในแนวทางที่สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ต่อบุคคลและสังคม การพยาบาลยังหมายถึงการพัฒนาของทั้งพยาบาลและผู้ป่วย การพยาบาลเป็นศิลปะที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ ความเข้มแข็ง ความสามารถ และการเปลี่ยนแปลง
แนวคิดที่สำคัญ (Major concepts)
สัมพันธภาพระหว่างบุคค (Interpersonal relationships)
1.1 สัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ป่วย (Nurse – Patient Relationship) เป็นสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่จำเพาะเจาะจง เกิดขึ้นระหว่างพยาบาลและผู้ป่วย โดยในแต่ละระยะของสัมพันธภาพมีพัฒนาการและรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้
ระยะเริ่มต้น (Orientation phase)
ระยะแรกของการเริ่มต้นที่พยาบาลและผู้ป่วยพบหน้ากันในลักษณะของคนแปลกหน้า ในระยะนี้พยาบาลและผู้ป่วยจะมารู้จักกันในแต่ละบุคคล
ระยะดำเนินการ (Working phase)
ระยะระบุปัญหา (Identification)
เป็นระยะที่ผู้ป่วยรู้จักกับพยาบาลและเข้าใจจุดประสงค์ของสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย
ระยะดำเนินการแก้ปัญา (Exploitation)
เป็นระยะที่ผู้ป่วยดำเนินการแก้ปัญหาตามแผนที่ วางไว้ โดยใช้บริการทางการพยาบาลที่มีอยู่อย่างเต็มที่
ระยะสรุปผล (Resolution Phase)
เป็นระยะที่ทั้งสองฝ่ายตกลงสิ้นสุดสัมพันธภาพร่วมกัน เกิดขึ้นเมื่อแผนในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดประสบผลสำเร็จ
การติดต่อสื่อสาร (Communication)
2.1 ความชัดเจน (Clarity)
คำและประโยคที่ใช้ต้องมีความชัดเจน ทำให้สามารถเข้าใจตรงกัน กำหนดขอบเขตของการอ้างถึงให้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของผู้ร่วมปฏิสัมพันธ์ ความหมายง่ายต่อการทำความเข้าใจ เป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกัน
2.2 ความต่อเนื่อง (Continuity)
ความต่อเนื่องในการสื่อสารเกิดขึ้นได้ เมื่อใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้เกิดความสอดคล้องกัน หรือสัมพันธ์กันของความคิด ความรู้สึก เหตุการณ์ หรือการถ่ายทอดเนื้อหาสาระของความคิด
แบบแผนการมีปฏิสัมพันธ์ (Pattern integration)
เกิดเมื่อแบบแผนของบุคคลหนึ่งใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลหนึ่ง หรือบุคคลอื่นๆ
แบบแผนการมีปฏิสัมพันธ์เป็นได้ทั้งแบบสัมพันธภาพแบบเติมเต็มซึ่งกันและกัน สัมพันธภาพแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สัมพันธภาพแบบเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน สัมพันธภาพแบบถ่ายทอดจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง และอื่นๆ
บทบาท (Roles)
4.1 บทบาทคนแปลกหน้า (Role of the Stranger)
4.2 บทบาทแหล่งสนับสนุน (Role of Resource Person)
4.3 บทบาทครู (Teaching Roles) เป็
4.4 บทบาทผู้นำ (Role of Leadership)
4.5 บทบาทผู้ทดแทน (Surrogate Roles)
4.6 บทบาทผู้ให้คำปรึกษา (Counseling Role)
ความคิด (Thinking)
5.1 Preconceptions
ความคิดที่มีมาก่อนการสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ป่วยกับพยาบาล ซึ่งหมายถึงความคิดความรู้สึกและสมมติฐานของพยาบาลและผู้ป่วยที่มีต่อกัน
5.2 Self – understanding
การเข้าใจตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับพยาบาลเพื่อให้การปฏิบัติการพยาบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พยาบาลต้องตระหนักรู้และเข้าใจหน้าที่ของตนเอง
การเรียนรู้ (Learning)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ไม่หยุดนิ่ง เป็นการนำความสามารถในการคิดและความสามรถในการรับรู้ มาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่
1) ให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้เพื่อนำไปอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ
2) เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง
3) เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา
สมรรถนะ (Competencies)
ทักษะที่ถูกพัฒนาขึ้น สมรรถนะหรือศักยภาพที่สำคัญที่ต้องการให้เกิดการพัฒนาในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของพยาบาลและผู้ป่วย ได้แก่ สติปัญญา เป็นต้น
ความวิตกกังวล (Anxiety)
ความวิตกกังวลเป็นพลังงานที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือเกิดขึ้นจากจินตนาการ เกิดจากภายในหรือเกิดจากภายนอก ซึ่งสิ่งที่จะมากระตุ้นได้จะต้องคุกคามความเป็นตัวตนของบุคคล
ระดับต่ำ(anxiety+)
ระดับปานกลาง (anxiety++)
ระดับมาก (anxiety+++)
ระดับรุนแรง Panic (anxiety++++)
ข้อตกลงเบื้องต้น (Assumptions)
ความแตกต่างของพยาบาลแต่ละคน
ส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในการที่ผู้ป่วยแต่ละคนจะได้เรียนรู้
การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนบุคคล
เพื่อให้มีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ขึ้นนั้นเป็นบทบาทหน้าที่และการเรียนรู้ของการพยาบาล ซึ้งต้องอาศัยทั้งหลักการและวิธีการด้วย
การสร้างสัมพันธภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย
เป็นสิ่งที่พยาบาลทุกสาขาควรคำนึงในกระบวนการดูแลจิตใจ ไม่เฉพาะแต่สาขาจิตเวชเท่านั้น
ปัญหาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
สามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำๆและหลากหลายความรุนแรง
ความต้องการที่จะต้องควบคุมพลังงานที่มาจากความเครียดและความวิตกกังวล
ให้มีความหมายทางบวก เพื่อให้เกิดความชัดเจน ความเข้าใจและแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้อย่างสมบูรณ์
ทุกๆพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกหรือกระทำ
ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความพึงพอใจและเกิดความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัย
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย
ะเกิดผลดีเมื่อมีการใช้กระบวนการการติดต่อสื่อสารที่ก่อให้เกิดความเข้าใจและได้ผลดีในสถานการณ์ต่างๆ
การเข้าใจความหมายของพฤติกรรมของผู้ป่วย
เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการที่พยาบาลจะตัดสินใจตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม
ระหว่างที่บุคคลเผชิญอยู่กับภาวะวิกฤติ
แต่ละบุคคลมักจะใช้วิธีการจัดการแบบที่เคยทำแล้วได้ผลในอดีต
การนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้
การนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ทางการพยาบาล
การรวบรวมข้อมูล (Assessment)
ระยะเริ่มต้น (Orientation phase)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing Diagnosis) และการวางแผนการพยาบาล (Nursing Plan)
ระยะระบุปัญหา (Identification)
การปฏิบัติตามแผนการพยาบาล(Intervention)
ระยะดำเนินการแก้ปัญา (Exploitation)
การประเมินผลการปฏิบัติการพยาบาล
(Evaluation)
ระยะสรุปผล (Resolution Phase)
การนำทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพบพลาวไปประยุกต์ใช้ในงานวิจัย ซึ่งมีการนำไปใช้ ที่หลากหลายไม่เพียงในบริบทของการพยาบาลเท่านั้น แต่ยังมีการนำไปประยุกใช้ในกลุ่มอื่นด้วย ซึ่งมีตัวอย่างงานวิจัย ดังนี้
ผลของโปรแกรมสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของเด็กหญิงที่ถูกกระทำรุนแรง ในสถานแรกรับเด็กหญิง เขตภาคกลาง
Case Management of Substance Induced Psychosis Using Peplau’s Theory of Interpersonal Relations