Coggle requires JavaScript to display documents.
เด็กที่มีไข้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปจนกว่าไข้จะหาย โดยเฉพาะวัคซีนที่อาจทำให้เกิดไข้ เพราะจะทำให้แยกไม่ออกว่าไข้จากโรคหรือวัคซีน แต่ถ้าป่วยเล็กน้อย เช่น เป็นหวัด น้ำมูกไหล สามารถมารับการฉีดวัคซีนได้
วัคซีนหลายชนิดอาจให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้ โดยทั่วไปวัคซีนชนิดเชื้อตายสามารถให้พร้อมกันได้ แต่ควรให้คนละตำแหน่ง (ไม่ผสมฉีดใน syringe เดียวกัน) แต่วัคซีนที่ทำให้เกิดเป็นไข้ในเวลาเดียวกัน ไม่ควรให้พร้อมกัน เพราะอาจทำให้ไข้สูง
การให้วัคซีนช้ากว่ากำหนด ไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันน้อยลง ในทางตรงกันข้ามถ้าฉีดวัคซีนเร็วกว่ากำหนด อาจทำให้ภูมิคุ้มกันน้อยลง หรืออยู่ไม่นานตามที่กำหนด เนื่องจากแอนติบอดีที่เกิดจากการให้ไปครั้งก่อนยังสูงอยู่อาจไปจับแอนติเจนที่เข้าใหม่
ผู้ที่ได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดมาไม่ถึง 3 เดือน ไม่ควรให้ฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็น จะต้องเลื่อนการให้วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอย่างน้อย 5-11 เดือน เพราะเลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือดที่ได้รับมาก่อนอาจจะมีภูมิคุ้มกันไปขัดขวางเชื้อมีชีวิตที่เข้าไปได้ จะเลื่อนการรับวัคซีนออกไปนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับ และถ้าได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดหลังได้รับวัคซีนชนิดเชื้อเป็นไม่ถึง 2 สัปดาห์ ต้องฉีดวัคซีนชนิดนั้นซ้ำอีกในเวลา 3 เดือนต่อมา ถ้าเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำอีก
เด็กที่รับประทานยาสเตียรอยด์ขนาดสูงกว่า 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่ควรให้วัคซีนชนิดเชื้อเป็นจนกว่าจะหยุดยาไปแล้วอย่างน้อย1 เดือนแต่ถ้าได้ยามาไม่เกิน 2สัปดาห์ สามารถให้วัคซีนได้ทันทีที่หยุดยา ถ้าเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัด สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติ แต่ส่วนใหญ่มักงดให้วัคซีนในช่วงที่ได้รับยาเคมีบำบัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีนชนิดเชื้อเป็น จะเริ่มให้วัคซีนหลังหยุดยาเคมีบำบัดไปแล้ว 3 – 6 เดือน
เด็กที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติแต่กำเนิด ไม่ควรให้วัคซีนชนิดเชื้อเป็น และไม่ควรให้วัคซีนป้องกันโรค โปลิโอรับประทาน (โอพีวี) แก่เด็กที่มีคนในบ้านเป็นโรคขาดภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด เพราะเชื้อโปลิโออาจออกมากับอุจจาระและแต่เชื้อไปติดเด็กอื่นได้
เด็กที่เคยได้รับวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน แล้วเกิดอาการชักภายใน 3 วันหรือมีอาการทางสมอง (encephalopathy) ภายใน 7 วัน ไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell ในครั้งต่อไป
เด็กที่มีประวัติชักจากไข้สูง สามารถให้วัคซีนได้ แต่ต้องให้ยาลดไข้ป้องกันไว้ก่อน
ผู้ป่วยที่แพ้วัคซีนหรือส่วนประกอบของวัคซีน ควรหลีกเลี่ยงการให้วัคซีน เช่น ผู้ป่วยที่แพ้ไข่ชนิด anaphylaxis ไม่ควรให้วัคซีนที่ทำจากไข่ เช่น วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ถ้าแพ้แบบลมพิษให้ได้เพราะวัคซีนมีไข่ปนเปื้อนน้อยมาก
การให้วัคซีนซ้ำ ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าเคยได้รับวัคซีนนั้นมาครบ หรือเคยเป็นโรคมาแล้ว การได้รับวัคซีนซ้ำอีก ไม่มีอันตรายใดๆ
ขนาดของวัคซีนในเด็กและผู้ใหญ่ไมได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวเหมือนยาปฏิชีวนะ เนื่องจากวัคซีนไปตามท่อน้ำเหลือง ไปยังต่อมน้ำเหลือง ไม่ว่าน้ำหนักน้อยหรือมากต่อมน้ำเหลืองมีขนาดเท่ากัน
เด็กที่คลอดก่อนกำหนดควรได้รับวัคซีนตามอายุหลังคลอดเช่นเดียวกับเด็กปกติ ยกเว้นการให้วัคซีนตับอักเสบบีในทารกที่น้ำหนักน้อยกว่า 2,000 กรัม ถ้ามารดาไม่ได้เป็นพาหะควรเลื่อนการฉีดเข็มแรกไปจนกระทั่งทารกมีน้ำหนักมากกว่า 2,000 กรัมหรืออายุ 2 เดือน
อายุที่ควรให้วัคซีนขึ้นอยู่กับข้อมูลทางวิทยาการระบาดของโรค อายุที่ป่วยเป็นโรคบ่อย เป็นต้น
เด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตาม สามารถให้วัคซีนทุกชนิดเหมือนเด็กปกติ ยกเว้น BCG ซึ่งให้เฉพาะเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี แต่ยังไม่มีอาการของโรคเอดส์ ส่วนวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) และวัคซีนป้องกันโปลิโอชนิดกิน สามารถให้ได้แม้ว่าเด็กจะมีอาการของโรคเอดส์แล้วก็ตาม เพราะเด็กกลุ่มนี้จะมีอันตรายจากการเกิดโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนมากกว่าอันตรายจากวัคซีนเอง
ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2,000 กรัม การฉีดครั้งแรกไม่นำมานับรวม ควรให้วัคซีนตับ
ทารกที่มารดามี HBsAgเป็นลบ ให้ฉีดวัคซีน จำนวน 3 ครั้ง เมื่อแรกเกิด อายุ 1 – 2
ทารกที่มีมารดาเป็นพาหะ ควรให้วัคซีนครั้งที่ 1 ภายใน 12 ชั่วโมง หลังเกิด ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 1 เดือน ครั้งที่ 3 เมื่ออายุ 6 เดือน
ไม่ควรให้วัคซีน DTP ในรายที่เมื่อได้รับวัคซีนนี้มาก่อนแล้วเกิดอาการดังนี้
เด็กที่ได้รับวัคซีนครบตามกำหนด และได้ครั้งสุดท้ายไม่เกิน 5 ปี ไม่ต้องฉีดซ้ำอีก
เด็กที่ได้รับวัคซีนครบตามกำหนด และได้ครั้งสุดท้ายมาแล้ว5 – 10 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกครั้ง
เด็กที่ได้รับวัคซีนครบตามกำหนด และได้ครั้งสุดท้ายนานเกิน 10 ปี ให้พิจารณาบาดแผล ถ้า
ในหญิงตั้งครรภ์ ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่มารดาและทารกแรกเกิด ถ้าไม่เคยได้รับวัคซีนมา
ไม่ควรให้วัคซีนนี้แก่หญิงตั้งครรภ์
ห้ามให้กับเด็กที่ป่วยเป็นวัณโรค
เด็กที่เป็นไข้